บทที่ 270 ขนอาหารทะเล
หลี่เฟิงพาโจวต้าฝูมายังท่าเรือขายส่งอาหารทะเล ที่นี่มีแต่ของสดใหม่ที่ชาวประมงจับมาได้ ซึ่งนอกจากจะสดแล้ว ยังมีหลากหลายชนิดอีกด้วย
ข้อเสียเพียงอย่างเดียวคือ ในช่วงเวลานั้นเทคโนโลยีการแช่เย็นยังไม่ดีนัก ทำให้อาหารทะเลจำนวนมากเก็บรักษาได้ยาก ต้องใช้น้ำแข็งในการแช่เย็น แต่ก็รักษาความสดไว้ได้ไม่นานนัก นั่นจึงเป็นเหตุผลที่อาหารทะเลยังคงหายากในเมืองปักกิ่งแม้ว่าเมืองทั้งสองจะอยู่ใกล้กันมากก็ตาม
เมื่อผู้ดูแลท่าเรือเห็นว่ามีรถบรรทุกเข้ามา ก็เดินมาสอบถามว่า “สหาย คุณมาทำอะไรที่ท่าเรือขายส่งอาหารทะเล?”
“สหาย พวกเรามาจากโรงงานเหล็กในเมืองปักกิ่ง เรามาขนอาหารทะเลชุดหนึ่งกลับไป” หลี่เฟิงตอบ
พร้อมกับหยิบบุหรี่มวนหนึ่งส่งให้ การมาที่สถานที่ที่ไม่คุ้นเคยและการสร้างความสัมพันธ์กับคนในพื้นที่เป็นเรื่องที่มีประโยชน์อย่างมาก
เจ้าหน้าที่ดูแลไม่ได้เกรงใจอะไร หยิบบุหรี่ไปแล้วจุดสูบทันทีก่อนจะพูดว่า “ที่แท้เป็นสหายจากโรงงานเหล็กนี่เอง คุณเข้าไปได้ คุณมาที่นี่ครั้งแรกใช่ไหม?”
เพราะบุหรี่มวนนี้เองเขาจึงถามด้วยความสนใจ
หลี่เฟิงพยักหน้ายืนยันว่าเป็นครั้งแรกที่มาที่นี่
เจ้าหน้าที่จึงสั่งการว่า “เสี่ยวหยาง พาสหายจากโรงงานเหล็กไปถ่ายของด้วย”
“ได้ครับ” อีกคนหนึ่งตอบรับ
เสี่ยวหยางนำทางพวกเขาไปด้านหน้า ไม่นานก็มาถึงพื้นที่สำหรับบรรทุกของโดยเฉพาะ ที่นั่นยังมีรถบรรทุกคันอื่นกำลังรอคิวอยู่
หลี่เฟิงเห็นสภาพดังกล่าวก็ไม่ได้แปลกใจนัก เพราะเข้าใจดีว่าไม่ได้มีแค่พวกเขาที่มารับของในวันนี้ ปัญหาที่เหลือคือไม่รู้ว่าการขนถ่ายของที่นี่จะเร็วแค่ไหน ถ้าช้าก็อาจจะต้องรอจนถึงเช้ามืดถึงจะได้ของ
เสี่ยวหยางเตือนว่า “ต้องต่อคิวเท่านั้นนะครับ ถ้าไม่ต่อคิว คนงานจะไม่ช่วยขนของให้”
โจวต้าฝูจึงเสนอขึ้นว่า “พี่หลี่ คุณพักก่อนเถอะ เดี๋ยวผมไปต่อคิวให้ พอถึงคิวเราเมื่อไหร่ ผมจะมาปลุกคุณ”
เพราะหลี่เฟิงต้องขับรถบรรทุกมาตลอดทั้งวันซึ่งคงเหนื่อยมากแล้ว
งานขับรถบรรทุกไม่ได้ง่ายอย่างที่เห็น ถึงภายนอกจะดูดีแต่จริงๆแล้วต้องกินนอนแบบลำบากกลางทางเป็นเรื่องปกติ และปัญหาที่น่าหนักใจที่สุดคือการที่รถเสียกลางทางโดยไม่มีหมู่บ้านหรือร้านค้าอยู่ใกล้ๆให้พึ่งพาเลย
ในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดคือการเจอโจรดักปล้นระหว่างทาง ในยุคนี้ความปลอดภัยยังไม่ได้ดีนักโดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทที่ยากจนแม้ว่าตามเมืองใหญ่จะดีกว่าบ้าง
หลี่เฟิงไม่ได้ปฏิเสธข้อเสนอของโจวต้าฝูเพียงแต่กำชับว่า “ตกลง แต่นายก็ระวังตัวด้วยนะ”
ดูเหมือนเขาจะเหนื่อยมากจริงๆ เพราะเพียงแค่เอนตัวลงนอนเสียงกรนก็ดังขึ้นทันที
โจวต้าฝูเองไม่มีนาฬิกาจึงไม่รู้ว่าต้องรอนานแค่ไหน ในระหว่างนั้นเขาเองก็ง่วงมากหากไม่ใช่เพราะมีหน้าที่ที่ต้องทำก็คงจะหลับไปแล้วเหมือนกัน
ในยุคนี้ผู้คนมักเข้านอนกันเร็วพอถึงเวลาก็จะรู้สึกง่วงเป็นธรรมดา โจวต้าฝูก็ไม่ต่างกัน
ตอนนี้นอกจากงานบางประเภทที่ต้องทำในเวลากลางคืนแล้ว ส่วนใหญ่คนก็ไม่ได้ทำงานกะดึก แตกต่างจากยุคหลังที่โรงงานหลายแห่งต้องใช้ระบบสองกะเพื่อให้เครื่องจักรทำงานต่อเนื่องและประหยัดต้นทุน ซึ่งช่วยเพิ่มผลกำไรได้มากขึ้น
ไม่รู้เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ โจวต้าฝูจึงสะกิดหลี่เฟิง “พี่หลี่ ถึงคิวเราแล้ว”
หลี่เฟิงค่อยๆลืมตาขึ้นมา ดูเหมือนยังไม่ตื่นเต็มที่ “ถึงคิวเราแล้วเหรอ?”
เขาใช้น้ำในกระติกมาล้างหน้าจนรู้สึกสดชื่นขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะเริ่มเคลื่อนรถไปยังจุดที่กำหนดตามคำสั่งของเจ้าหน้าที่ ไม่นานก็ไปถึงตำแหน่งที่จัดเตรียมไว้
หลี่เฟิงลงจากรถไปพูดคุยกับคนงานขนของ เขารู้ดีว่าในสถานการณ์เช่นนี้ แม้จะไม่ได้หวังหาเงินเพิ่มแต่ก็ควรซื้ออาหารทะเลกลับไปสักเล็กน้อยเพื่อให้ครอบครัวได้ลิ้มลองของสดใหม่
นอกจากนี้ทุกครั้งที่พวกเขาออกไปทำงานไกลๆ มักจะนำสินค้ากลับมาเพื่อจำหน่ายในส่วนงานขนส่งของตัวเอง
โจวต้าฝูตั้งใจจะลงไปด้วยแต่ด้วยความง่วงเกินไป เขาเอนตัวพิงเก้าอี้และหลับไปทันที
หลี่เฟิงหลังจากลงจากรถก็ตรงไปหาคนงานขนของพร้อมหยิบบุหรี่ทั้งซองออกมายื่นให้และทักทายด้วยรอยยิ้ม “สหาย พักสูบบุหรี่กันหน่อยครับ!”
คนงานคุ้นเคยกับเหตุการณ์แบบนี้อยู่แล้วเพราะเจอแบบนี้มาหลายครั้งพวกเขาจึงไม่ได้เกรงใจอะไร หยิบบุหรี่ไปแล้วจุดสูบทันที
หลี่เฟิงถามขึ้นว่า “สหาย ผมอยากซื้ออาหารทะเลส่วนตัวบ้าง ไม่ทราบว่าจะได้ไหม?”
เขารู้ดีว่าอาหารทะเลบางส่วนที่ไม่ได้อยู่ในแผนการขนส่ง สามารถขายได้โดยไม่ต้องใช้คูปอง เขาจึงเล็งไปที่ส่วนนี้
คนงานไม่ได้แปลกใจกับคำขอ หนึ่งในหัวหน้าคนงานตอบว่า “ได้สิ คุณอยากได้อะไรล่ะ? ลองเลือกเองก่อน เดี๋ยวค่อยคิดราคาทีหลัง”
ในตอนนั้นอาหารทะเลตามชายฝั่งไม่ได้มีมูลค่ามากนักเพราะคนในพื้นที่มักจะกินปลาและเนื้อจากทะเลกันจนคุ้นเคย ต่างจากคนในแผ่นดินใหญ่ที่เนื้อสัตว์เป็นของหายาก
หลี่เฟิงพยักหน้าแล้วเริ่มเลือกทันที ที่นี่อาหารทะเลทุกชนิดถูกกองรวมกันไม่ได้แยกประเภท เนื่องจากเทคนิคการจับปลาในยุคนั้นยังไม่พัฒนาทำให้แต่ละครั้งที่จับได้ปริมาณจึงไม่มาก
ไม่นานเขาก็เลือกปลาได้เต็มตะกร้าใหญ่ ทุกตัวเป็นปลาขนาดใหญ่ โดยตัวที่เล็กที่สุดยังหนักประมาณสามถึงสี่ชั่ง (ประมาณ 1.5-2 กิโลกรัม)
“ผมเลือกเสร็จแล้ว รบกวนช่วยคิดราคาให้หน่อยครับ” หลี่เฟิงพูดขึ้น
คนงานมองผ่านๆแล้วบอกว่า “ไม่แพงหรอก ไม่ต้องใช้คูปองด้วย ถ้าคุณจะเอา ก็แค่ห้าหยวน เราจะช่วยขนขึ้นรถให้”
ในความเป็นจริงปลาเหล่านี้มีราคาถูกกว่าน้ำแข็งที่ใช้รักษาความสดเสียอีก ค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่คือค่าน้ำแข็ง
หลี่เฟิงดีใจมาก พยักหน้าตอบตกลงทันที
ตะกร้าใหญ่นั้นมีปลาทะเลน้ำหนักรวมประมาณร้อยกว่าชั่ง (ประมาณ 50-60 กิโลกรัม) แต่ราคาแค่ห้าหยวนเท่านั้น
เขารู้ดีว่าค่าห้าหยวนนี้ส่วนหนึ่งเป็นค่าน้ำแข็ง ซึ่งถ้าคิดเฉลี่ยแล้วราคาต่อชั่งยังไม่ถึงห้าเฟิน (0.05 หยวน)
“ตกลง!”
เพื่อแสดงน้ำใจหลี่เฟิงนอกจากจะจ่ายห้าหยวนแล้วยังยื่นบุหรี่ “ต้าฉวนเหมิน” สองซองให้คนงานอีกด้วย
ขณะที่เขากำลังมองดูรอบๆ สายตาก็ไปสะดุดกับสิ่งที่ไม่คุ้นเคย จึงถามเบาๆว่า “นี่คืออะไรครับ?”
แม้ว่าเขาจะเดินทางมาหลายที่แล้ว แต่ก็ไม่เคยเห็นสิ่งนี้มาก่อน
คนนั้นอธิบายว่า “นี่คือหอยนางรม”
หอยนางรมก็คือที่เรารู้จักกันในชื่อ "ออยสเตอร์" (Oyster) ในยุคหลัง หอยนางรมถูกยกย่องว่าเป็น “ร้านเสริมความงามของผู้หญิง” และ “สถานีเติมพลังของผู้ชาย” แต่ก็คงเกินจริงไปหน่อย
อย่างไรก็ตามไม่อาจปฏิเสธได้ว่าหอยนางรมมีคุณค่าทางโภชนาการสูง อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุต่างๆ โดยเฉพาะธาตุเซเลเนียมและสังกะสีซึ่งเป็นแร่ธาตุที่สำคัญ
ตามที่กล่าวกันหอยนางรมมีปริมาณสังกะสีจากเกลืออนินทรีย์มากที่สุดในบรรดาอาหารของมนุษย์ ธาตุนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเซลล์ประสาทและเป็นสารอาหารสำคัญที่ช่วยรักษาสุขภาพระบบสืบพันธุ์ของผู้ชาย รวมถึงช่วยในพัฒนาการของเด็ก
คนนั้นถามต่อว่า “จะเอาไหม? เดี๋ยวแบ่งให้คุณหนึ่งตะกร้า แต่ของแบบนี้เก็บไว้ได้ไม่นาน รีบกินจะดีที่สุด” เพราะเห็นแก่บุหรี่สองซองที่ได้รับมา เขาจึงตัดสินใจแบ่งให้
จริงๆแล้วหอยนางรมเป็นอาหารที่ไม่ค่อยมีคนกิน คนที่อยู่ตามชายฝั่งอาจคุ้นเคย แต่คนในแผ่นดินใหญ่คงไม่ค่อยชอบ
ในยุคนั้น การกินหอยนางรมไม่ได้เหมือนยุคหลังที่จะนำมาย่างกับกระเทียมและวัตถุดิบปรุงแต่งต่างๆ ส่วนใหญ่จะนำไปทำให้สุกธรรมดาๆ ซึ่งไม่ค่อยมีรสชาติที่น่าพอใจ
หลี่เฟิงคิดในใจว่า ‘ยังไงมันก็เป็นเนื้อสัตว์ จะทิ้งเปล่าๆก็เสียดาย’
เขาจึงตอบว่า “ได้เลย ขอบคุณมากนะ สหาย!”
คนนั้นตอบว่า “ไม่ต้องเกรงใจ คราวหน้ามาโหลดของที่นี่ ก็มาหาฉันได้เลย” โดยเฉพาะในกรณีที่เป็นการซื้อขายส่วนตัว
“แน่นอนๆ” หลี่เฟิงตอบรับ
(จบบท)