บทที่ 269 การต้อนรับ
หลังจากหลี่เฟิงรับค่าโดยสารมา เขาไม่ได้มองแม้แต่น้อยและโยนเงินเข้าไปในกล่องที่อยู่ในห้องคนขับทันที
ชายวัยกลางคนได้แต่เดินอย่างหัวเสียไปยังท้ายรถ จากนั้นปีนขึ้นไป เมื่อขึ้นไปแล้ว เขาก็ตะโกนว่า “สหายคนขับ รถพร้อมออกได้เลย”
เมื่อหลี่เฟิงได้ยินก็เริ่มขับรถต่อ
โจวต้าฝูถามเบาๆว่า “ดูจากการแต่งตัวของคนเมื่อกี้ ผมว่าคงเป็นผู้ใหญ่บ้านหรือหัวหน้าคนงาน เราทำแบบนี้จะไม่เป็นปัญหาเหรอ?”
ในมุมมองของเขา มีแต่คนระดับหัวหน้าหรือผู้นำเท่านั้นที่จะสวมยูนิฟอร์มแบบนั้น เพราะคนงานทั่วไปมักใส่ชุดทำงาน ส่วนชาวบ้านธรรมดาก็แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าหลากหลาย แต่ส่วนใหญ่เสื้อผ้าจะเต็มไปด้วยรอยปะ เพราะในยุคนั้นการซ่อมเสื้อผ้าให้ใช้งานได้นานที่สุดเป็นที่นิยมมาก คนในยุคนั้นเชื่อว่าการซ่อมแซมเสื้อผ้าสามารถยืดอายุการใช้งานได้อีกหลายปี
บางครอบครัวที่ยากจนมาก อาจมีเสื้อผ้าเพียงหนึ่งหรือสองชุดสำหรับทั้งบ้านและโดยส่วนใหญ่ คนที่ได้ออกไปทำงานเท่านั้นถึงจะได้สวมเสื้อผ้า ส่วนคนที่เหลือก็ต้องอยู่แต่ในบ้านหรือหลบซ่อนตัวในผ้าห่ม
หลี่เฟิงอธิบายว่า “ถึงเขาจะเป็นหัวหน้า ก็ไม่เป็นไรหรอก ตราบใดที่เขาไม่ใช่หัวหน้าของเรา อีกอย่างเขาไม่รู้ว่าเราเป็นใคร มาจากไหน จะร้องเรียนก็ทำไม่ได้”
นี่คือเหตุผลที่ต้องปิดป้ายทะเบียนรถไว้ตั้งแต่แรก
เมื่อได้ยินเช่นนี้ โจวต้าฝูก็พยักหน้า รู้สึกว่าหลี่เฟิงพูดมีเหตุผล ความกังวลของเขาค่อยๆลดลงจากเดิมที่กลัวว่าถ้าถูกหัวหน้าร้องเรียน อาจทำให้เขาต้องสูญเสียงานที่หามาได้อย่างยากลำบาก
ทั้งสามคนพูดคุยกันไปเรื่อยเปื่อยในระหว่างที่รถบรรทุกเคลื่อนตัวไปตามถนน
ในจังหวะนั้นเองเสียง “โครกคราก” ดังขึ้นจากท้องของโจวต้าฝู ทำให้เขาหน้าแดงด้วยความอาย
แม้ว่าเขาจะได้เป็นคนงานแล้ว แต่เพื่อประหยัดเงิน เขามักไม่กินอาหารเช้าหรืออาจเป็นเพราะเคยชินกับชีวิตในชนบท ที่คนส่วนใหญ่มักไม่กินอาหารเช้า
หลี่เฟิงหัวเราะเบาๆแล้วพูดว่า “ฉันมีหมั่นโถวอยู่ เอาไปกินรองท้องก่อน พอถึงเทียนจินแล้วค่อยแวะร้านอาหาร”
ในวันปกติหลี่เฟิงมักจะเตรียมเสบียงอย่างอาหารแห้ง เช่น ขนมปังข้าวโพดหรือหมั่นโถวแบบแป้งผสม ซึ่งไม่ค่อยได้เตรียมหมั่นโถวแป้งขาวแบบนี้ไว้เพราะหายากกว่า
ถึงแม้หลี่เฟิงจะมีโควต้าแป้งขาวมากพอ แต่โดยปกติเขามักจะไม่กล้ากินเองส่วนใหญ่จะเก็บไว้ใช้ในเทศกาลสำคัญ เช่น ตรุษจีนเพื่อทำเกี๊ยว หรือเอาไปแลกเป็นข้าวหยาบ หรือบางครั้งก็แลกเป็นเนื้อ
ว่ากันว่าการหาวนั้นส่งต่อกันได้ เช่นเดียวกับความหิว เมื่อได้ยินเสียงท้องร้องของโจวต้าฝู โจวอี้หมินก็เริ่มรู้สึกหิวขึ้นมาด้วย
“กินของฉันดีกว่า” โจวอี้หมินพูด จากนั้นเขาหยิบซาลาเปาไส้เนื้อสามลูกออกมาจากหนึ่งในกระเป๋าของเขา
หลี่เฟิงและโจวต้าฝูมองเห็นน้ำมันจากไส้เนื้อซึมออกมาจากซาลาเปาอย่างชัดเจน จนอดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลาย
“หัวหน้าโจว นี่ซาลาเปาไส้เนื้อจริงเหรอ?” หลี่เฟิงพูดอย่างตื่นเต้น พร้อมกับอุทานว่า "โอ้โห นี่ออกเดินทางแล้วยังกินของแบบนี้อีกเหรอ?"
มันช่างฟุ่มเฟือยเกินไป!
ถึงแม้หลี่เฟิงจะเป็นคนขับรถบรรทุก แต่เขายังไม่กล้ากินแบบนี้ ในแต่ละเดือนเขาจะได้กินเนื้อเพียงสองถึงสามครั้งเท่านั้น และทุกครั้งก็จะหั่นเพียงชิ้นเล็กๆ แค่พอให้ได้กลิ่นไอของเนื้อ เพราะโควต้าเนื้อในแต่ละเดือนมีจำกัด ส่วนใหญ่เขาเลือกที่จะเก็บไว้สำหรับเทศกาลสำคัญ
โจวอี้หมินแซวว่า “ใช่แล้ว ซาลาเปาไส้เนื้อ ไม่ชอบเหรอ?”
จากนั้นเขาแบ่งให้คนละลูก
โดยที่ไม่รอให้หลี่เฟิงหรือโจวต้าฝูพูดอะไร โจวอี้หมินกัดกินซาลาเปาไส้เนื้อของตัวเองก่อน พร้อมเสริมอีกว่า “น่าเสียดายนะ มันไม่อร่อยเท่าซาลาเปาที่เพิ่งออกจากเตาใหม่ๆ”
หลี่เฟิงและโจวต้าฝูถึงกับนิ่งอึ้งไปทันที ทั้งที่มาออกทำงานนอกสถานที่ ยังคิดหวังจะได้กินอะไรที่ร้อนๆอีกเหรอ แต่การมีอะไรกินก็ถือว่าดีมากแล้ว โจวอี้หมินเริ่มคิดถึงสถานีบริการในยุคหลัง แม้ว่าของในนั้นจะค่อนข้างแพง แต่ของก็อย่างน้อยยังร้อน ถ้าไม่ติดว่ามีคนอื่นอยู่ด้วย เขาก็คงจะหยิบไก่ทอดหรือสเต็กไก่ร้อนๆจากร้านค้าในสมองมากินเองแล้ว
หลี่เฟิงกับโจวต้าฝูเองก็ไม่เกรงใจอีกต่อไป รีบเริ่มกินซาลาเปาไส้เนื้อคำโตๆ เพียงไม่กี่คำก็จัดการซาลาเปาไส้เนื้อขนาดใหญ่เท่ากำปั้นหมดเกลี้ยง แถมยังเลียริมฝีปากเหมือนจะเก็บรสชาติเนื้อที่เหลือไว้ในท้องอีกด้วย แม้ว่าจะยังไม่อิ่ม แต่ทั้งสองคนก็ไม่กล้ามองไปทางโจวอี้หมินอีก เพราะรู้ว่าซาลาเปาไส้เนื้อมีค่า กินได้คนละลูกก็นับว่าดีมากแล้ว
โจวอี้หมินไม่ได้สนใจว่าทั้งคู่คิดอะไรอยู่ ยื่นซาลาเปาไส้เนื้อให้พร้อมพูดอย่างใจกว้างว่า “เอาไปอีกคนละลูก” แม้ว่าตัวเขาจะยังมีอยู่เยอะ แต่ก็ไม่ควรจะกินหมดในมื้อเดียว
คราวนี้หลี่เฟิงกับโจวต้าฝูไม่เกรงใจอีกต่อไป รีบรับซาลาเปาไส้เนื้อมาแล้วกินต่อทันที เส้นทางตอนนี้เป็นทางตรง ไม่มีทางโค้งมากนัก ทำให้หลี่เฟิงสามารถใช้มือเดียวควบคุมรถได้อย่างสบายๆ
แน่นอนว่าพื้นถนนที่ขรุขระเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ การกระเด้งไปบ้างถือว่าเป็นเรื่องปกติ ขอแค่ไม่กระเด้งจนคนหลุดออกจากรถก็พอ
กินอีกไม่กี่คำ ซาลาเปาไส้เนื้อก็หมด หลี่เฟิงยังไม่อิ่ม จึงต้องหยิบหมั่นโถวแป้งขาวที่เขาเตรียมมาด้วยออกมา ท้ายที่สุดแล้ว การขับรถบรรทุกเป็นงานที่ใช้แรงงานมาก การกินเยอะจึงไม่ใช่เรื่องแปลก
หลี่เฟิงพูดว่า “หัวหน้าโจว ผมเอาหมั่นโถวแป้งขาวมาด้วย ลองชิมดูสองลูกสิ อย่ารังเกียจเลยนะ”
โจวอี้หมินยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะรับมาและกินโดยไม่เกรงใจ
“ต้าฝู กินสิ!” หลี่เฟิงหันไปพูดกับโจวต้าฝูอีกครั้ง
จากนั้น รถบรรทุกก็เสียระหว่างทางถึงสองครั้ง ทำให้ข้อเสียของรถรุ่นนี้เริ่มปรากฏออกมา หลี่เฟิงถึงกับพูดไม่ออก "ของสวยแต่ใช้งานไม่ได้" เขาเสียดายที่ตอนแรกเคยชื่นชมรถคันนี้ไว้มาก
พอถึงเมืองเทียนจิน ท้องฟ้าก็มืดเสียแล้ว ผู้โดยสารที่ขึ้นมาระหว่างทางได้ลงรถไปที่หมู่บ้านต้าซาเหอแล้วเรียบร้อย
เมื่อมาถึงโรงงานที่หมาย พวกเขาก็ตรงไปยังจุดหมายทันที
“สวัสดีครับสหาย! พวกเรามาจากโรงงานเหล็กอันดับหนึ่งของเมืองหลวง คนนี้คือผู้เชี่ยวชาญที่โรงงานของคุณเชิญมา สหายโจวอี้หมิน…” หลี่เฟิงเดินเข้าไปพูดคุยและส่งบุหรี่มวนหนึ่งให้กับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย
เมื่อยามได้ยิน ก็รีบเปิดทางให้ทันที
ผู้อำนวยการโรงงานได้สั่งการตั้งแต่เช้าแล้วว่าวันนี้จะมีผู้เชี่ยวชาญจากเมืองหลวงมาให้คำแนะนำการทำงาน จึงกำชับให้ทุกคนใส่ใจ อย่าละเลยและรายงานทันทีเมื่อผู้เชี่ยวชาญมาถึง
“สหาย สวัสดีครับ! พวกเรารอคอยคุณมานานแล้ว เชิญด้านในเลยครับ ผมจะไปแจ้งผู้นำในโรงงานทันที”
เจ้าหน้าที่รีบไปแจ้งข่าว
หลี่เฟิงและโจวต้าฝูไม่ได้เข้าไป พวกเขามีหน้าที่เพียงส่งโจวอี้หมินให้ถึงที่หมายอย่างปลอดภัย เพราะยังมีภารกิจอื่นที่ต้องทำ
ไม่นาน ผู้นำกลุ่มหนึ่งในโรงงานก็มาถึง
“สหายโจวอี้หมิน หนุ่มไฟแรงจริงๆ ยินดีต้อนรับครับ!” ผู้อำนวยการเฉินกล่าวพร้อมพาผู้นำคนอื่นๆในโรงงานออกมาต้อนรับ
แม้ว่าพวกเขาจะไม่เคยพบโจวอี้หมินมาก่อนแต่ก็ทราบประวัติว่าแม้เขาจะอายุน้อยแต่ก็มีสิ่งประดิษฐ์หลายอย่างที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชน
บุคลากรที่มีความสามารถเช่นนี้ ถือว่ามีค่ายิ่งไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็ตาม
โรงงานหม้อหุงข้าวไฟฟ้าแห่งนี้เองก็สร้างขึ้นได้เพราะผลงานการประดิษฐ์ของเขา ดังนั้นพวกเขาจึงไม่กล้าละเลย
จากนั้น ผู้อำนวยการหลี่ได้แนะนำบุคคลที่อยู่ข้างๆเขาทีละคน
โจวอี้หมินจับมือกับพวกเขาทีละคนและพูดคุยอย่างสุภาพ
“ไปกันเถอะ เราไปที่โรงอาหารคุยกันไปกินกันไป วันนี้ค่อนข้างดึกแล้วพรุ่งนี้ค่อยมาคุยเรื่องงานอีกทีเป็นไง?” ผู้อำนวยการเฉินกล่าว
สำหรับเรื่องอาหาร พวกเขาได้หารือกันล่วงหน้าแล้วว่าจะต้องจัดเตรียมอย่างดีที่สุด
“แล้วแต่เจ้าบ้านครับ ผมขอทำตามการจัดการของผู้อำนวยการเฉิน” โจวอี้หมินกล่าวยิ้มๆ
“ดีมาก!”
ทุกคนในที่นั้นต่างโล่งใจ เพราะดูเหมือนว่าผู้เชี่ยวชาญหนุ่มคนนี้จะไม่ใช่คนที่ดูแลยาก ทำให้พวกเขามั่นใจมากขึ้นว่าจะดูแลได้อย่างเหมาะสม
ก่อนหน้านี้ พวกเขายังกังวลว่าผู้เชี่ยวชาญหนุ่มเช่นนี้อาจจะเต็มไปด้วยความมั่นใจในตัวเองจนจัดการได้ยาก แต่ไม่คาดคิดว่าเขาจะเป็นคนที่เข้ากับคนอื่นได้ง่ายเช่นนี้
คณะทั้งหมดเดินทางไปยังโรงอาหาร เนื่องจากทั้งหมดเป็นผู้นำโรงงาน แน่นอนว่าพวกเขาไม่ได้กินอาหารธรรมดาจากหม้อใหญ่ แต่มีการจัดเตรียมพิเศษด้วยอาหารหลากหลาย โดยเฉพาะเมนูเนื้อที่มีอยู่หลายจาน การต้อนรับนี้จึงไม่ธรรมดาเลย
เมื่อกินอิ่มและดื่มพอแล้ว ผู้อำนวยการเฉินได้จัดการเรื่องที่พักของโจวอี้หมินให้เรียบร้อย
(จบบท)