บทที่ 268 การรับผู้โดยสารกลางทาง
หลี่เฟิงขับรถบรรทุกโดยเหยียบคันเร่งจนสุดทาง มุ่งหน้าไปยังเมืองเทียนจิน ไม่นานก็ออกจากเขตเมืองปักกิ่ง
หลังจากออกจากเมืองปักกิ่ง หลี่เฟิงจึงจอดรถลง
โจวต้าฝูถามอย่างสงสัยว่า “หัวหน้าหลี่ ทำไมถึงต้องจอดรถครับ?”
รถบรรทุกไม่ได้มีปัญหาอะไรและก็ไม่มีใครมีเหตุจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องหยุดพัก แล้วทำไมถึงต้องจอดแบบไม่มีเหตุผล?
หลี่เฟิงอธิบายว่า “นี่คือบทเรียนแรกที่สอนให้เธอ เวลาขับรถทางไกล เมื่อออกจากเมืองต้องจอดรถก่อน แล้วใช้ผ้าสีแดงห่อป้ายทะเบียนไว้ สิ่งนี้ไม่เพียงแต่ช่วยป้องกันโชคร้าย แต่ยังช่วยปิดบังไม่ให้คนที่อิจฉาเราไปหาค่าจ้างพิเศษ เพื่อหาทางไปร้องเรียนเราได้”
โจวอี้หมินได้ยินเช่นนี้ก็อุทานในใจว่า ‘โธ่เว้ย!’
วิธีนี้ใครกันที่เป็นคนคิดค้น? นี่มันไม่ต่างจากยุคหลังที่จงใจปิดป้ายทะเบียนเพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบการกระทำผิด และในยุคนี้ที่ยังไม่มีตำรวจจราจรคอยตรวจสอบป้ายทะเบียน วิธีนี้ก็แทบจะไม่มีความเสี่ยงเลย
“ต้าฝู จำไว้ว่าต้องเรียนรู้สิ่งนี้ให้ดี เพราะมีประโยชน์มาก”
หลี่เฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “หัวหน้าโจว สมกับเป็นคนที่ขับรถบรรทุกจริงๆเข้าใจทุกอย่างได้เร็วมาก”
การขับรถบรรทุกทางไกลนั้นมักได้รายได้เสริมไม่น้อย จึงไม่แปลกที่คนอื่นจะอิจฉา การหลีกเลี่ยงปัญหาแบบนี้จึงกลายเป็นวิธีป้องกันที่ดี ไม่รู้ว่าใครเป็นคนคิดค้น แต่สุดท้ายวิธีนี้ก็แพร่หลายไปในหมู่คนขับรถบรรทุกทั้งหมด
และผลก็เป็นอย่างที่คาด หลังจากใช้วิธีนี้แล้ว เรื่องถูกคนอื่นร้องเรียนก็แทบจะไม่เคยเกิดขึ้นอีกเลย
“เข้าใจแล้วครับ!” โจวต้าฝูพยักหน้า พร้อมจดจำประสบการณ์นี้ไว้ในใจ
หลังจากที่หลี่เฟิงปิดป้ายทะเบียนทั้งด้านหน้าและด้านหลังเรียบร้อยแล้ว เขาก็กลับขึ้นรถและขับออกไปต่อ
ไม่นานนัก พวกเขาก็มองเห็นชายวัยกลางคนคนหนึ่งในชุดยูนิฟอร์มสีน้ำเงินจากระยะไกล ชายคนนั้นถือห่อสัมภาระขนาดใหญ่ไว้ในมือหนึ่ง ส่วนอีกมือหนีบบุหรี่ และสูดควันเข้าไปอย่างหนัก
เมื่อชายคนนั้นได้ยินเสียงเครื่องยนต์ของรถบรรทุกที่ดังขึ้นมาจากระยะไกล เขาก็รีบลุกขึ้นยืนด้วยความตื่นเต้น แล้ววิ่งออกมายังกลางถนน พร้อมกับโบกมือขึ้นสูงเพื่อให้คนขับรถมองเห็นได้ชัดเจน
โจวต้าฝูเห็นดังนั้นก็ถามขึ้นด้วยความกังวลว่า “ช่างหลี่ ในสถานการณ์แบบนี้เราควรทำยังไง? เราจะจอดดีไหม? ถ้าเกิดว่าเขาเป็นโจรที่ขวางทางเราไว้ล่ะ แบบนั้นเราก็แย่แน่ ๆ”
ขณะพูด ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความตึงเครียด เนื่องจากก่อนออกเดินทาง เขาเคยได้ยินเพื่อนร่วมงานเล่าถึงเหตุการณ์เกี่ยวกับโจรที่ขวางถนนปล้นคนขับรถบรรทุกอยู่หลายครั้ง ทำให้ตอนนี้เขาระแวงไปหมด มองใครที่ขวางถนนก็เหมือนพวกโจรไปเสียทุกคน
“ต้าฝู ไม่ต้องตื่นเต้นไปหรอก คนนี้น่าจะอยากนั่งรถบรรทุกเราเพื่อโดยสารไปทางเดียวกัน นี่ก็เป็นอีกหนึ่งช่องทางที่คนขับรถบรรทุกใช้หาเงินพิเศษ” โจวอี้หมินอธิบาย
เรื่องแบบนี้ไม่ต่างจากระบบ ‘รถร่วมเดินทาง’ ในยุคหลัง เพียงแต่ว่าในยุคหลังนั้นรถร่วมเดินทางสะดวกสบายกว่ารถบรรทุกมากทั้งยังปลอดภัยกว่าอีกด้วย
อย่างไรก็ตามรถร่วมเดินทางในยุคหลังเองก็ไม่ได้ปลอดภัยไปเสียทั้งหมด โดยเฉพาะช่วงแรกๆที่เริ่มมีบริการนี้ หลายครั้งที่มีคนแอบใช้โอกาสในทางที่ผิด ซึ่งถือเป็นการละเมิดกฎหมาย
แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ารถร่วมเดินทางช่วยแก้ปัญหาในการเดินทางไกลของหลายคนได้ดีมาก เพียงแต่ว่าช่วงแรกๆ การกำกับดูแลยังไม่เข้มงวดเท่าที่ควร ทำให้เกิดเหตุการณ์ร้ายแรงหลายครั้ง
เมื่อเวลาผ่านไป การกำกับดูแลเริ่มเข้มงวดขึ้นเรื่อยๆ คนที่คิดจะกระทำผิดก็ลดลงตามไปด้วย
หลี่เฟิงยิ้มเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจก่อนจะกล่าวว่า “หัวหน้าโจวนี่สุดยอดจริงๆ มองแวบเดียวก็รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น ต้าฝู ถ้าเธอฉลาดได้ครึ่งหนึ่งของหัวหน้าโจว คงขับรถบรรทุกได้เก่งในเวลาไม่นาน”
“ถ้าผมฉลาดได้เท่ากับลุงสิบหกแค่หนึ่งในสิบ ผมคงต้องจุดธูปขอบคุณฟ้าดินแล้วล่ะครับ จะไปกล้าคิดเทียบกับลุงสิบหกได้ยังไง?” โจวต้าฝูตอบพลางทำหน้ามุ่ย
เมื่อก่อนตอนอยู่ที่หมู่บ้าน เขารู้เพียงว่าลุงสิบหกมีความสามารถในการจัดหาข้าวสารอาหารแห้งมาได้เท่านั้น
แต่เมื่อมาถึงโรงงานเหล็ก โจวต้าฝูถึงได้รู้ว่าความสามารถของลุงสิบหกไม่ได้มีแค่การจัดหาข้าวสารอาหารเท่านั้น แต่ยังรวมถึงมันสมองอันชาญฉลาดที่คิดค้นสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ ซึ่งช่วยให้ประเทศสามารถสร้างรายได้จากการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ
เรียกได้ว่าในบรรดาคนทั้งหมดที่เขาเคยรู้จัก ไม่มีใครที่เทียบเท่าความสามารถของลุงสิบหกได้เลย
หลี่เฟิงเองก็พยักหน้าเห็นด้วยและพูดขึ้นว่า “นั่นสิ ถ้าลูกชายของฉันฉลาดได้แค่หนึ่งในสิบของหัวหน้าโจว และสามารถสอบเข้าวิทยาลัยอาชีวศึกษาได้ฉันก็คงพอใจแล้ว”
ในยุคนี้แค่สอบเข้าวิทยาลัยอาชีวศึกษาได้ ก็การันตีได้ว่าจะได้รับการจัดสรรงานทำ แถมยังมีโอกาสได้เป็นเจ้าหน้าที่ระดับหัวหน้าอีกด้วย
ในสมัยนี้วิทยาลัยอาชีวศึกษาถือเป็นสิ่งที่ทุกคนใฝ่ฝัน ไม่ต้องพูดถึงระดับมหาวิทยาลัยเลย ซึ่งถือว่าไกลเกินเอื้อมสำหรับคนส่วนใหญ่
ไม่นานหลี่เฟิงก็ขับรถบรรทุกไปจอดอย่างมั่นคง ห่างจากชายวัยกลางคนเพียงสามสิบเซนติเมตรเท่านั้น
ชายวัยกลางคนตกใจจนแทบกระโดดหนี เพราะคิดว่ารถบรรทุกจะพุ่งเข้าชนเขา เขาเตรียมตัวจะกระโดดหลบอยู่แล้วก่อนจะตั้งสติได้
เมื่อเขารู้ตัวชายวัยกลางคนก็รีบวิ่งไปที่ตำแหน่งคนขับ จากนั้นควักบุหรี่ยี่ห้อต้าเหมินเฉียนออกมาจากกระเป๋าแล้วยื่นให้ พร้อมพูดว่า “สหายคนขับ ไปหมู่บ้านต้าซาเหอไหม?”
หลี่เฟิงเลื่อนกระจกลงและไม่เกรงใจ ยื่นมือไปรับบุหรี่มาจากนั้นตอบว่า “ผ่าน แต่ไม่เข้าไปในหมู่บ้าน”
สำหรับเส้นทางที่ผ่านหมู่บ้านหรือสถานที่ต่างๆ พวกเขาจะเตรียมข้อมูลมาอย่างดีล่วงหน้าและบันทึกเส้นทางไว้ทั้งหมด
นี่ถือเป็นทักษะพื้นฐานของคนขับรถหลายคน การจำเส้นทางเป็นสิ่งสำคัญมาก
โจวอี้หมินรู้สึกชื่นชมในใจ ‘ไม่เสียทีที่สามารถเป็นหัวหน้าทีมได้’ เพราะสามารถจดจำเส้นทางผ่านหมู่บ้านต่างๆได้ทั้งหมด
ชายวัยกลางคนรู้สึกดีใจมากรีบตอบว่า “ผ่านก็พอแล้ว ไม่ต้องเข้าหมู่บ้านก็ได้ เอาเป็นว่าค่าโดยสารเท่าไหร่?”
เขารออยู่ที่นี่มานานแล้ว แม้ว่าจะมีรถบรรทุกผ่านมาหลายคัน แต่ไม่มีคันไหนที่ผ่านหมู่บ้านต้าซาเหอเลย ทำให้เขาเริ่มคิดว่าจะต้องย้อนกลับไปที่เมืองปักกิ่งเพื่อไปสถานีรถไฟอีกครั้ง และดูว่ารถไฟไปเทียนจินยังมีที่ว่างเหลือหรือไม่
ถ้าล่าช้าไปกว่านี้ เขาอาจจะไม่ทันงานแต่งงานของหลานชายตัวเอง
“หมู่บ้านต้าซาเหอห่างจากที่นี่ประมาณ 200 ลี้ ค่าโดยสารนั่งในห้องคนขับ 5 เหมา ส่วนท้ายรถ 2 เหมา 5 เฟิน” หลี่เฟิงบอกค่าบริการออกมาทันที
พูดจบเขาก็นึกขึ้นได้ว่านี่ไม่ใช่การเดินทางที่เขามาคนเดียว จึงรีบพูดต่อว่า “ในห้องคนขับเต็มแล้ว นั่งได้แค่ท้ายรถ จะนั่งหรือไม่?”
ห้องคนขับมีคนอยู่แล้วสามคน พื้นที่ค่อนข้างแออัด อีกทั้งพวกเขากำลังคุยกันอย่างสนุกสนาน หลี่เฟิงไม่อยากให้มีใครมาแทรกบทสนทนา
ชายวัยกลางคนกัดฟันเล็กน้อยก่อนพูดว่า “ถ้าอย่างนั้น ขอผมนั่งห้องคนขับได้ไหม? ผมจ่าย 1 หยวนเลย”
เขาเองก็เคยนั่งรถบรรทุกมาก่อนและรู้ดีว่าถ้านั่งท้ายรถ ร่างกายจะกระแทกจนปวดเมื่อยไปหมด อีกอย่างเงินเดือนของเขาเดือนหนึ่งก็ราวๆ 50 กว่าหยวน จ่ายเพิ่ม 1 หยวนก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่
โจวต้าฝูถึงกับตกใจในความใจกว้างของชายวัยกลางคนคนนี้ เพราะในยุคนั้นราคาสินค้ายังต่ำมาก เช่น หมูหนึ่งจิน (ครึ่งกิโลกรัม) ยังไม่ถึง 1 หยวน ไข่ไก่ก็แค่ไม่กี่เฟินต่อฟอง ข้าวโพดบดที่ใช้แลกด้วยคูปองยังราคาเพียงไม่กี่เฟินต่อจิน
แน่นอนว่านั่นเป็นราคาปกติในตลาด แต่สินค้าเหล่านี้มักต้องใช้คูปองและหาได้ยากมาก หากซื้อในตลาดมืด อาจจะหาได้ง่ายกว่าแต่ราคาก็แพงมากเกินไป
ถ้าเป็นเมื่อก่อน ตอนเขาทำงานในชนบทเพื่อสะสมคะแนนแรงงาน ก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำงานหนักนานแค่ไหนถึงจะหาเงินได้ 1 หยวน แต่ตอนนี้กลับสามารถหาได้ในพริบตา ไม่น่าแปลกใจที่มีคำกล่าวว่า "แค่หมุนพวงมาลัยสักครั้ง แม้จะแลกกับนายอำเภอก็ยังไม่ยอม"
หลี่เฟิงยังคงยืนยันเช่นเดิม “มีแต่ท้ายรถ ราคา 2 เหมา 5 เฟิน จะนั่งไหม? ถ้าไม่นั่ง ฉันจะไปแล้ว”
ชายวัยกลางคนไม่มีทางเลือก เพราะไม่รู้ว่ารถบรรทุกคันถัดไปที่จะผ่านหมู่บ้านต้าซาเหอจะมาเมื่อไหร่ สุดท้ายจึงจำใจยอมรับ “ท้ายรถก็ท้ายรถ!”
จากนั้นเขาก็ส่งค่าโดยสารให้หลี่เฟิง
(จบบท)
*สวัสดีปีใหม่นะคะ ต้องขอขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่ติดตามมาถึงตอนนี้ ต้องขออภัยหากลงช้าบ้าง
แต่จะไม่ทิ้งเรื่องนี้แน่นอนค่า 😊 ขอให้ทุกท่านสุขภาพแข็งแรง มีความสุขกันนะคะ*