บทที่ 141 ทุกคนไปหมู่บ้านหยวนซี
บทที่ 141 ทุกคนไปหมู่บ้านหยวนซี
หลังจากที่ทุกคนแสดงความประทับใจกันครู่หนึ่ง หวังหย่งจี๋ก็พูดว่า "พ่อครับ พอฟังที่พวกคุณเล่ามา ผมก็อยากไปดูนกกระเรียนหัวแดงบ้างแล้ว ผมยังไม่เคยเห็นนกกระเรียนหัวแดงในป่าตามธรรมชาติเลย"
หวังชางพูดว่า "วันหยุดสุดสัปดาห์ลูกก็ไปได้นะ แต่นกกระเรียนหัวแดงไม่ใช่ว่าไปแล้วจะเห็นเสมอไปนะ มันขึ้นอยู่กับดวงด้วย"
หวังหย่งจี๋ตอบว่า "ผมเข้าใจครับ หวังว่าจะโชคดีนะครับ"
ห่าวหลิงรู้สึกภูมิใจมาก พ่อของเขายังไม่เคยเห็นนกกระเรียนหัวแดงในป่าเลย แต่วันนี้เขาได้เห็นแล้ว
เขาทำท่าภาคภูมิใจต่อหน้าพ่อ
หวังหย่งจี๋หัวเราะฮ่าๆ แล้วบอกว่าใช่แล้ว ในเรื่องนี้ห่าวหลิงเก่งกว่าเขาจริงๆ
ห่าวหลิงยิ่งภูมิใจใหญ่ ผ่านไปสักครู่ก็พูดว่า "พ่อครับ คุณปู่บอกว่าถั่วลิสงที่เราปลูกวันนี้ อีก 5-10 วันก็จะงอกเป็นต้นกล้าแล้ว ตอนนั้นหนูอยากไปดูด้วย อยากเห็นว่ามันงอกขึ้นมาแล้วเป็นยังไง แล้วก็อยากดูผักอื่นๆ ว่าโตขึ้นมาแค่ไหนแล้ว พ่อครับ ตอนนั้นไปด้วยกันนะครับ บางทีพ่ออาจจะได้เห็นนกกระเรียนหัวแดงด้วย"
หวังหย่งจี๋ยิ้มพูดว่า "ได้ เดี๋ยวพ่อจะไปกับพวกเราด้วย เอาเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์นี้แล้วกัน พ่อกับเสียวเฟยก็ต้องไปขอบคุณหลี่หานด้วย"
หวังชางพูดว่า "ดี พวกเธอควรไปขอบคุณหลี่หานนะ"
ห่าวหลิงร้องไชโยด้วยความดีใจ
ตอนนั้น หลินเฟยถือข้าวโพดต้มสองฝักเดินออกมาจากครัว พูดว่า "พ่อคะ ข้าวโพดต้มเสร็จแล้ว กินได้แล้วค่ะ"
หวังชางพูดว่า "แบ่งๆ กันกินนะ คนละนิดหน่อย นี่เป็นข้าวโพดที่หลี่หานให้มา เขาบอกว่าอร่อยกว่าข้าวโพดอ่อนที่เราซื้อจากตลาดมาก ลองชิมกันดู"
แม้หลี่หานจะไม่ได้ใช้น้ำวิเศษกับข้าวโพด แต่ข้าวโพดเหล่านี้ล้วนปลูกแบบออร์แกนิก เติบโตตามธรรมชาติ ประกอบกับสภาพดินที่อุดมสมบูรณ์ของหมู่บ้าน ทำให้ข้าวโพดมีรสชาติดีมาก
พอได้ลองชิม ถึงกับรู้เลยว่านี่แหละคือรสชาติข้าวโพดที่แท้จริง ไม่สามารถเทียบกับข้าวโพดที่ขายในตลาดได้เลย
หลินเฟยได้ยินแล้วลังเลครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า "ดีค่ะ งั้นลองชิมกัน หนูจะแบ่งให้"
ข้าวโพดสองฝัก ฝักหนึ่งแบ่งเป็นสองท่อน อีกฝักแบ่งเป็นสามท่อน คนละท่อน รวมถึงคุณย่าของห่าวหลิงด้วย
พอได้ชิม ดวงตาของทุกคนก็เบิกกว้างขึ้น อร่อยจริงๆ
หวังหย่งจี๋พูดอย่างดีใจว่า "ข้าวโพดนี้อร่อยกว่าที่เราเคยซื้อมากินจริงๆ รู้สึกว่านี่แหละคือรสชาติข้าวโพดที่แท้จริง น่าจะเป็นเพราะแบบนี้ถึงได้มีกลิ่นหอมขนาดนั้น"
หวังชางพยักหน้าพูดว่า "ใช่ นี่แหละคือรสชาติข้าวโพดที่แท้จริง หลายปีมากแล้วที่ไม่ได้กินข้าวโพดที่มีรสชาติดั้งเดิมแบบนี้"
หลินเฟยพูดว่า "ในเมื่อข้าวโพดยังอร่อยขนาดนี้ พ่อคะ แสดงว่าผักที่พวกคุณเอากลับมาก็ต้องอร่อยมากใช่ไหมคะ? ที่เขาลือกันในอินเตอร์เน็ตเป็นเรื่องจริงทั้งหมดเลยหรือคะ?"
หวังชางพยักหน้าพูดว่า "เป็นความจริงทั้งหมด วันนี้ฉันกับห่าวหลิงได้กินข้าวกลางวันที่บ้านหลี่หานมาแล้ว รสชาติดีกว่าผักที่เราซื้อมากินมากจริงๆ"
หลินเฟยพูดว่า "น่าจะเป็นเพราะแบบนี้ที่พ่อให้หนูใช้ผักที่เอากลับมานี่เอง หลี่หานอายุแค่ 21-22 ปีใช่ไหมคะ? ทำไมเขาถึงสามารถปลูกผักที่พิเศษขนาดนี้ได้ทั้งที่อายุยังน้อย?"
หวังชางพูดว่า "นี่เป็นเรื่องที่น่าฉงนจริงๆ แต่มันก็เป็นความจริง และไม่ใช่แค่นั้น หลี่หานยังมีพรสวรรค์ไม่น้อยในด้านการแต่งกลอน ดนตรี นิทานสำหรับเด็ก แม้แต่การวาดการ์ตูน พอคิดแบบนี้แล้ว ก็ได้แต่เข้าใจว่าบางคนเกิดมาพร้อมความสามารถที่เหนือกว่าคนทั่วไปมากๆ"
หลินเฟยถอนหายใจแล้วพูดว่า "ก็คงต้องคิดแบบนั้นแหละค่ะ"
พูดจบก็เดินเข้าครัวไปทำงานต่อ
ตอนนั้น หวังชางได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนเก่า ตู้หรูชุน
ตู้หรูชุนอายุพอๆ กับหวังชาง เป็นกวีที่มีชื่อเสียงของจีนเช่นกัน เมื่อวานในงานประชุมกวี เขาก็เป็นหนึ่งในคณะกรรมการตัดสินเหมือนหวังชาง
"เฮ้ย อาจารย์หวัง วันนี้พาหลานชายไปหมู่บ้านหยวนซีเป็นไงบ้าง?"
"อ๋อ เหล่าตู้ ฉันรู้ว่าแกต้องโทรมาถามแน่ๆ เป็นไงน่ะหรือ? ต้องบอกว่าดีกว่าที่คาดไว้มากๆ เลย"
"จริงหรอ? เป็นยังไงบ้าง? ทำไมถึงดีขนาดนั้น?"
"ได้ งั้นฉันจะเล่าให้ฟังละเอียดๆ"
หวังชางเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ให้ตู้หรูชุนฟังอย่างละเอียด
ตู้หรูชุนฟังแล้วตกใจพูดว่า "อาจารย์หวัง หลี่หานให้แกใช้ที่ดินทั้งแปลงเลยเหรอ? แถมจะเก็บไว้ให้แกตลอด? รอให้แกปลูกผักจนโต ออกดอก ออกผล?"
หวังชางพูดว่า "แน่นอนว่าจริง แต่ฉันก็เสนอที่จะเช่าที่แปลงนั้น จะให้เขาเก็บไว้ให้ฟรีๆ แบบนั้นไม่ได้หรอก หลี่หานก็ตกลง แต่บอกว่าให้ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องค่าเช่าก่อน บอกว่ากำลังพิจารณาเรื่องอะไรสักอย่างอยู่ รอให้เขาคิดให้ชัดเจนก่อนค่อยว่ากัน"
ตู้หรูชุนพูดว่า "เรื่องอะไรกันนะ? ช่างเถอะ นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ฉันว่านะอาจารย์หวัง หลี่หานยังมีที่ว่างเหลืออยู่ไหม? ฟังแกเล่ามาแล้ว ฉันก็อยากพาหลานสาวไปสัมผัสบรรยากาศบ้าง แน่นอนว่าฉันก็จะเช่าเหมือนกัน"
หวังชางพูดว่า "คงไม่มีที่ว่างแล้วมั้ง จะมีที่ดินว่างๆ ไว้มากขนาดนั้นได้ยังไง แล้วก็ไม่กล้าถามด้วย"
ตู้หรูชุนพูดว่า "งั้นแบบนี้แล้วกันอาจารย์หวัง คราวหน้าที่พวกแกจะไป ฉันจะพาหลานสาวไปด้วย ฉันจะถามหลี่หานว่ายังมีที่เหลือไหม ถ้าไม่มี เราก็ไปดูที่แปลงของแกก็ได้"
หวังชางพูดว่า "ได้ ไม่มีปัญหา คราวหน้าไปด้วยกันนะ"
หลังจากวางสายจากตู้หรูชุน หลินเฟยก็ทำอาหารเย็นเสร็จพอดี
ทุกคนในครอบครัวเริ่มรับประทานอาหาร
หวังหย่งจี๋ หลินเฟย และคุณย่าของห่าวหลิงทั้งสามคน หลังจากได้ชิมผักบนโต๊ะ ต่างก็รู้สึกตื่นเต้นดีใจมาก อร่อยจริงๆ
ความรู้สึกแบบนี้ต้องได้ลองชิมด้วยตัวเองถึงจะเข้าใจได้อย่างแท้จริง
......
ในขณะที่ครอบครัวหวังชางกำลังรับประทานอาหารอยู่นั้น ตู้หรูชุนก็ได้เล่าเรื่องการไปเยือนหมู่บ้านหยวนซีของหวังชางให้กลุ่มเพื่อนเล็กๆ ของพวกเขาฟัง
"พูดถึงเรื่องนี้แล้ว รู้สึกว่ามันมีความหมายมากเลยนะ หลานชายฉันปีนี้เก้าขวบแล้ว แต่ยังแยกธัญพืชไม่ออกเลย ผักและพืชผลในไร่เป็นยังไงก็ไม่รู้เลยสักอย่าง ฉันคิดว่าฉันก็ควรจะพาเขาไปหมู่บ้านหยวนซีสักครั้ง"
"มีความหมายมากจริงๆ ฉันก็อยากพาลูกๆ ที่บ้านไปด้วย แต่หลี่หานคงไม่มีที่ว่างให้พวกเราได้มากขนาดนั้นหรอก น่าเสียดายจริงๆ ถ้าจะไปหาที่อื่นที่เหมาะสม ก็ดูจะหายากนะ"
"เรื่องนั้นไว้ก่อน ที่หมู่บ้านหยวนซีมีนกกระเรียนหัวแดงในป่าจริงๆ หรือ?"
"เรื่องนี้ฉันก็ไม่รู้ อาจารย์หวังบอกว่ามี แถมดูเชื่อมั่นมากด้วย"
"อาจารย์หวังไม่มีทางพูดเล่นหรอก น่าจะมีจริงๆ มีแม้กระทั่งนกกระเรียนหัวแดงในป่า ต้องบอกว่าหมู่บ้านหยวนซีเป็นสถานที่ที่วิเศษจริงๆ!"
"ถ้าอย่างนั้น พวกเราก็ไปดูกันหมดเลย ถึงหลี่หานจะไม่มีที่ว่างแล้วก็ไม่เป็นไร"
"ไป ต้องไปแน่ๆ พาเด็กๆ ที่บ้านไปด้วย"
"......"
(จบบท)
ขออภัยครับ ช่วงต้นปียุ่งไปหน่อยเลยลืมลง เดี๋ยวสี่ตอนนี้อ่านฟรีนะครับผม