ตอนที่แล้วบทที่ 1130 (251) ถูกระบุว่าเป็นเป้าหมาย
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 1132 (253) ไม่มีวันก้มหัว

บทที่ 1131 (252) การพบเจอที่สนามบิน (ตอนฟรี)


บทที่ 1131 (252) การพบเจอที่สนามบิน (ตอนฟรี)

สามวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ในช่วงสามวันนี้ การสอบปลายภาคของสหพันธ์มหาวิทยาลัยก็ถูกจัดขึ้นตามกำหนด

แม้ว่าในภาคการศึกษานี้ จี้เฟิงจะไม่ค่อยได้เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยมากนัก แต่การสอบนี้เขาไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้

โชคดีที่สาขาวิชาที่จี้เฟิงเรียนเพิ่งเข้าสู่ปีแรกของหลักสูตรเฉพาะทาง และด้วยความที่เขามีส่วนร่วมในงานด้านธุรกิจอยู่บ่อยครั้ง ทำให้เขาคุ้นเคยกับเนื้อหามากขึ้น ดังนั้นคำถามที่ต้องท่องจำ เขาสามารถตอบได้อย่างง่ายดาย และคำถามที่ต้องใช้การวิเคราะห์ เช่น กรณีศึกษาเกี่ยวกับเศรษฐกิจ เขาก็สามารถวิเคราะห์ได้อย่างละเอียดและชัดเจน

ดังนั้นการสอบในช่วงสองสามวันนี้ จี้เฟิงจึงถือว่าผ่านไปได้อย่างสบายๆ

หลังจากสอบเสร็จ จี้เฟิงก็รีบโทรหาจางเล่ยทันที โดยวางแผนจะพาแมงมุมขาวไปรับจางเล่ยและเฉินจิ้งยี่ด้วยกัน แล้วขับรถไปส่งเฉินจิ้งยี่ที่สนามบินก่อน เพื่อให้เธอเดินทางกลับบ้าน

แต่จางเล่ยกลับปฏิเสธ

เขาพูดในโทรศัพท์ว่า “เจ้าบ้า! ฉันไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้นสักหน่อย อีกอย่างถันเทียนเฟิงก็ไม่ได้ดูน่ากลัวขนาดนั้น ทำไมฉันถึงต้องกลัวเขาจนถึงขนาดไม่กล้าออกจากบ้านด้วย! นายปกป้องฉันขนาดนี้ มันทำให้ฉันรู้สึกอึดอัดไปหมดเลย!”

จี้เฟิงพูดขึ้นว่า “เล่ยซือเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องของความอ่อนแอหรือไม่อ่อนแอหรอกนะ แค่ถันเทียนเฟิงกล้าส่งคนมาจับตาดูนาย ก็แปลว่าเขาตั้งใจจะเล่นงานนายจริงๆ ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่นายจะมาทำตัวเป็นฮีโร่ เพราะถึงแม้นายจะกำลังพัฒนาฝีมือ แต่กว่าจะถึงจุดที่แข็งแกร่งพอ มันก็ต้องใช้เวลา ถ้าตอนนี้นายไม่ระวังตัว แล้วเกิดเรื่องขึ้นมา นายก็เสียเปล่าไปเลยไม่ใช่หรือ?”

จางเล่ยตอบกลับว่า “การแย่งแฟนไม่ใช่เรื่องของใครหมัดหนักกว่าหรอก! อีกอย่างนะ ถ้าต้องเลือกระหว่างโดนซัดสักที กับให้พวกนายมาคอยระแวงปกป้องฉันจนเครียด ฉันเลือกอย่างแรกดีกว่า!”

จี้เฟิงขมวดคิ้วแน่น ความดื้อรั้นของจางเล่ยทำให้เขารู้สึกจนปัญญาอยู่ไม่น้อย

ในความเป็นจริง จี้เฟิงเข้าใจความคิดของจางเล่ยเป็นอย่างดี ผู้ชายคนนี้มีนิสัยแบบนี้อยู่แล้ว และที่สำคัญที่สุดคือ จางเล่ยไม่อยากเลือกที่จะถอย แม้ว่าเขาจะรู้ดีว่าถ้ารออีกสักพัก ฝึกฝนแอโรบิกให้มากขึ้น เขาอาจจะสามารถเอาชนะถันเทียนเฟิงได้

แต่เขากลับไม่ต้องการทำแบบนั้น เลือกที่จะยอมหักแต่ไม่ยอมงอ

นี่ไม่ใช่เพราะอยากอวดดี แต่เป็นความยืนหยัดในแบบของจางเล่ยเอง แม้ว่าในสายตาของคนอื่น ความยืนหยัดแบบนี้อาจดูโง่เง่าไปบ้าง แต่ในความเป็นจริง มันคือหนึ่งในลักษณะนิสัยที่เด่นชัดที่สุดของจางเล่ย

“เจ้าบ้า! เหมือนที่นายพูดนั่นแหละ ถ้าวันนี้ฉันเลือกที่จะถอย ต่อให้อีกหน่อยฉันจะเก่งแค่ไหนก็ตาม แต่ทุกครั้งที่คิดถึงเรื่องนี้ ฉันคงรู้สึกละอายใจ ฉันไม่อยากให้วันข้างหน้าต้องรู้สึกเหมือนโดนตบหน้าแบบนี้ นั่นไม่ใช่สิ่งที่ฉันต้องการ!”

จางเล่ยพูดอย่างจริงจังว่า “การโดนซัดมันไม่ใช่เรื่องน่าอายหรอกนะ ก็แค่ฝีมือยังไม่ถึงเท่านั้นเอง แต่หลังจากโดนแล้ว ฉันจะหาทางเอาคืนให้ได้ ฉันจะตั้งใจฝึกแอโรบิกอย่างเต็มที่! แต่ถ้าในใจเกิดกลัวขึ้นมาเมื่อไหร่ ทั้งชีวิตนี้ฉันคงไม่มีวันแข็งแกร่งได้อีกเลย และต่อไปเมื่อไหร่ก็ตามที่เจอถันเทียนเฟิง ฉันคงกลายเป็นตัวตลกในสายตาของเขา!”

นี่มันตรรกะบ้าอะไรกันเนี่ย!

จี้เฟิงถึงกับพูดไม่ออกกับเหตุผลของจางเล่ย เขาได้แต่พูดด้วยความจนใจว่า “นายลองมองให้กว้างหน่อยสิ มีผู้มีอำนาจที่ไหนบ้างที่ถือมีดแล้วลงมือสู้กับคนอื่นเอง? นายมีพวกเราคอยอยู่เคียงข้าง นี่มันคือทรัพยากรของนาย ทำไมนายถึงไม่ใช้ให้เป็นประโยชน์?”

“ก็เพราะฉันไม่ใช่ผู้มีอำนาจอะไรแบบนั้น!” จางเล่ยหัวเราะเบาๆ “ในเรื่องอื่นๆฉันอาจเลือกที่จะหลบก่อนแล้วค่อยตอบโต้ทีหลัง แต่ตอนนี้มันคือเรื่องแย่งแฟน แย่งภรรยาในอนาคตของฉัน ฉันไม่มีวันยอมเด็ดขาด!”

ไอ้หมอนี่...

จี้เฟิงได้แต่โบกมือด้วยความจนใจ แต่ในใจเขาก็พอจะเข้าใจเหตุผลของจางเล่ยอยู่บ้าง ในเรื่องอื่นๆอาจเลือกใช้กลยุทธ์หลากหลายได้ *อ้อมไปตีวงก็ได้ หรือเล่นสามสิบหกกลยุทธ์ก็ยังได้...

แต่ว่าตอนนี้มันคือเรื่องของการแย่งแฟน มันต้องพึ่งความสามารถของตัวเอง!

แม้ว่าความคิดนี้จะดูออกจะโง่เง่าไปบ้าง แต่จี้เฟิงก็ยังเห็นด้วย เขาพยักหน้าแล้วพูดว่า “ตกลง ถ้านายยืนกรานแบบนี้ ฉันก็จะไม่ไปด้วย แต่มีข้อแม้ที่นายต้องตกลง ไม่อย่างนั้นฉันจะส่งนายกับเฉินจิ้งยี่กลับบ้านเดี๋ยวนี้เลย!”

“ข้อแม้อะไร?” จางเล่ยถามพร้อมรอยยิ้ม

“ฉันจะให้เหล่าตู้ไปกับนายด้วย จะได้ช่วยกันดูแล!” จี้เฟิงกล่าว

“เจ้าบ้า ฉันว่า…”

จางเล่ยยังพูดไม่จบ ก็ถูกจี้เฟิงขัดขึ้นมาก่อน

“ไอ้หนู เลิกพูดจาไร้สาระได้แล้ว! ถ้านายยังพูดมากอีก ฉันจะไปหาถันเทียนเฟิงเดี๋ยวนี้ แล้วซัดเขาให้เละ!”

จี้เฟิงส่งเสียงฮึดฮัด “ที่ฉันยังไม่จัดการถันเทียนเฟิงน่ะ เพราะฉันอยากให้นายได้โอกาสนี้! ฟังนะตอนนี้ฉันให้นายสองทางเลือก ทางแรก ให้เหล่าตู้ไปกับนายเพื่อส่งเฉินจิ้งยี่ หรือทางที่สอง ฉันจะไปหาถันเทียนเฟิงแล้วซัดเขาให้แม่เขาจำไม่ได้ แล้วให้เขาเลิกยุ่งกับเฉินจิ้งยี่ตลอดไป นายเลือกเอา!”

“โอเค โอเค!”

จางเล่ยถึงกับหัวเราะแห้งๆ “ฉันยอมแล้ว! ฉันยอมตามที่นายว่าก็ได้! ไอ้หมอนี่จริงๆเลย... ฉันยอมแพ้แล้ว!”

“ไปตายซะ!” จี้เฟิงทนไม่ไหวเลยด่ากลับไป “ฉันต่างหากที่ต้องยอมแพ้กับความหัวดื้อของนาย! ไม่มีฝีมือแท้ๆ ยังดันทุรังทำเป็นเก่ง... คิดว่าต้องเก่งการต่อสู้อย่างเดียวแล้วถึงจะเรียกว่าลูกผู้ชายเหรอ? การกล้ารับผิดชอบและมีความสามารถต่างหากถึงจะเรียกว่าเป็นผู้ชาย!”

“...” จางเล่ยกำลังฟังอยู่ที่ปลายอีกด้านของโทรศัพท์พร้อมรอยยิ้มที่บิดเบี้ยวบนใบหน้าของเขา

“เอาล่ะ ฉันไม่อยากพูดกับนายมากแล้ว นายกับเฉินจิ้งยี่ก็รออยู่ที่มหาวิทยาลัยเถอะ เหล่าตู้อยู่ที่นั่นแล้ว ฉันจะให้เขาไปหานาย!” จี้เฟิงพูดเสร็จแล้วก็กดวางสายทันที

จากนั้นเขาก็โทรหาตู้เส้าเฟิง “เหล่าตู้ โทรหาจางเล่ยแล้วไปส่งเฉินจิ้งยี่เป็นเพื่อนเขาหน่อย... ระหว่างทางอาจมีเรื่องวุ่นวายบ้าง ดูแลจางเล่ยให้ดี อย่าปล่อยให้เขาไปก่อเรื่องล่ะ!”

ดูเส้าเฟิงเข้าใจทันที เขาหัวเราะแล้วพูดว่า “ไม่ต้องห่วง! ฉันจะดูแลจางเล่ยเอง!”

หลังจากจัดการทางด้านตู้เส้าเฟิงเรียบร้อยแล้ว จี้เฟิงก็เก็บโทรศัพท์เข้าที่ เขานวดขมับเล็กน้อยและพึมพำกับตัวเอง ‘ฉันควรจะไปหาถันเทียนเฟิง แล้วเตือนเขาสักหน่อยดีไหมนะ?’

พูดตามตรงแม้ว่าเฉินจิ้งยี่จะบอกว่าปรมาจารย์โดยกำเนิดนั้นเก่งกาจแค่ไหน จี้เฟิงก็ยังไม่ค่อยใส่ใจ เพราะเขาเคยเจอกับยอดฝีมือด้านการต่อสู้ที่ถูกเรียกว่าเป็นระดับปรมาจารย์มาหลายคน และทุกคนก็ไม่มีความน่าเกรงขามอะไร ในสายตาของเขา พวกเขานั้นแทบไม่ใช่ “ยอดฝีมือ” เลยด้วยซ้ำ!

เทียนกั๋วถงจากสำนักซวนเหมินล่ะ? ผู้เฒ่าสองคนนั้นล่ะ? พวกเขาที่ได้ชื่อว่าปรมาจารย์ด้านการต่อสู้

สุดท้ายแล้วเป็นไง?

โดยเขาต่อยไปไม่กี่หมัดก็ร่วงแล้วไม่ใช่เหรอ?

ด้วยเหตุนี้เองจี้เฟิงจึงไม่ได้ให้ความสำคัญกับพวกที่อ้างตัวว่าเป็นปรมาจารย์ด้านการต่อสู้อย่างจริงจัง ไม่แม้แต่จะสนใจพวกปรมาจารย์ด้านการต่อสู้ด้วยซ้ำ

ดังนั้นเมื่อเฉินจิ้งยี่พูดถึงว่าตระกูลถันมีปรมาจารย์โดยกำเนิดหลายคน จี้เฟิงจึงไม่คิดอะไรมากเกี่ยวกับเรื่องนี้

ปรมาจารย์โดยกำเนิดไม่ได้วิเศษวิโสอะไรขนาดนั้น เป็นแค่พวกเก่งกังฟูจีนนิดๆหน่อยๆ แต่ลูกหลานของพวกเขากลับกล้าทำตัวอวดดีอย่างมาก!

หลังจากคิดไปสักพัก จี้เฟิงก็ตัดสินใจที่จะยังไม่ไปหาถันเทียนเฟิง เขารู้สึกว่าให้จางเล่ยจัดการเองดีกว่า เขาอุตส่าห์ฮึกเหิมที่จะฝึกฝนแอโรบิกอย่างจริงจัง  และนี่เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการแย่งแฟน บางเรื่องก็ไม่ควรใช้มือของคนอื่นมาจัดการ

และที่สำคัญมีตู้เส้าเฟิงช่วยจางเล่ยอยู่ คงไม่มีปัญหาอะไร ตู้เส้าเฟิงก็ฝึกฝนแอโรบิกกายมาระยะหนึ่งแล้ว ทักษะของเขาก็พัฒนาขึ้นอย่างมาก คงสามารถรับมือกับถังเทียนเฟิงได้ไม่ยาก

ดังนั้น จี้เฟิงจึงไม่ได้สนใจเรื่องนี้อีกต่อไป และพาแมงมุมขาวไปบริษัทการลงทุนของตระกูลหรง ซึ่งมีหรงซูเยี่ยนเป็นผู้บริหาร

...............

ตู้เส้าเฟิงทำตามที่จี้เฟิงบอก เขาติดต่อไปหาจางเล่ย จากนั้นพวกเขาทั้งสามคนก็ขับรถออดี้คันเก่าของจี้เฟิงไปยังสนามบินเจียงโจว

“จางเล่ย ถ้านายยืนยันที่จะฝึกแอโรบิกที่จี้เฟิงสอนให้แล้ว ก็ตั้งใจฝึกให้ดีๆนะ” ที่ทางเข้าสนามบิน เฉินจิ้งยี่หยิบกระดาษทิชชูมาเช็ดเหงื่อให้จางเล่ย พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “คราวนี้ฉันจะกลับบ้านไปก่อน เพื่อคุยกับพ่อแม่ของฉันสักหน่อย นายไม่ต้องกังวลนะ ไม่ว่านายจะต่อสู้เก่งระดับยอดฝีมือหรือไม่ ก็ไม่ส่งผลต่อความสัมพันธ์ของเราหรอก ไม่ต้องฝืนตัวเองมากเกินไปนะ…”

จางเล่ยหัวเราะออกมาและพูดว่า “อันนั้นไม่ได้หรอก ถ้าพูดว่าจะเป็นยอดฝีมือแล้วก็ต้องทำให้ได้ ไม่มีการพูดแล้วไม่ทำ แต่เธอลองถามความคิดเห็นจากพ่อแม่ของเธอดูก่อน ถ้าพวกเขายอมรับได้มันก็ดี แต่ถ้าพวกเขาไม่เห็นด้วย ฉันจะบุกเข้าไปในบ้านเธอ แล้วแย่งตัวเธอมาเลย!”

“นายนี่…” เฉินจิ้งยี่อดไม่ได้ที่จะยิ้มบางๆพร้อมหัวเราะเบาๆ “ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ นายก็ต้องพูดอะไรตลกๆ ตลอดเลยนะ เอาล่ะ..ฉันไม่พูดกับนายมากแล้ว ต้องขึ้นเครื่องแล้ว…”

“ไม่ต้องห่วงหรอกนะ เมื่อเธอกลับมา เธอจะเห็นว่าฉันเปลี่ยนไปมาก!” จางเล่ยพูดด้วยรอยยิ้ม

เฉินจิ้งยี่พยักหน้าเล็กน้อยแล้วพูดว่า “งั้นฉันไปแล้วนะ”

เมื่อเห็นเฉินจิ้งยี่ลากกระเป๋าเดินทางเดินเข้าไปที่ประตูขึ้นเครื่อง จางเล่ยจึงหันไปทางตู้เส้าเฟิงแล้วพูดว่า “งั้นเราก็ไปกันเถอะ”

ทั้งสองคนขับรถออกจากสนามบิน เมื่อออกจากสนามบินได้ไม่นาน ก็เห็นรถสปอร์ตสีเงินวิ่งมาจากทางแยกข้างหน้า

จางเล่ยที่กำลังขับรถถึงกับหน้าเปลี่ยนสี เขารีบเหยียบเบรกทันที

“เอี๊ยด——!”

จางเล่ยและตู้เส้าเฟิงแทบจะล้มไปข้างหน้า จางเล่ยที่นั่งอยู่เบาะคนขับชนเข้ากับพวงมาลัยจนเจ็บหน้าอก เขาอดไม่ได้ที่จะส่งเสียงอู้อี้ รถสปอร์ตสีเงินข้างหน้าก็หยุดเช่นกัน แต่ไม่มีใครลงมาจากรถ

“เฮ้ย! รถข้างหน้า มันขับอะไรของมันเนี่ย?!” ตู้เส้าเฟิงโกรธจนหน้าแดง

จางเล่ยขมวดคิ้วแน่นอย่างไม่พอใจ เขาเลื่อนกระจกรถลงแล้วโผล่หัวออกไปตะโกนเสียงดังว่าด้วยความโมโหว่า “เฮ้ย! มัวทำอะไรอยู่? ขับรถแบบนี้มันจะทำให้คนอื่นบาดเจ็บไปด้วยนะ!”

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทั้งจางเล่ยและตู้เส้าเฟิงคาดไม่ถึงก็คือ คนในรถสปอร์ตสีเงินคันนั้นก็โผล่หัวออกมาจากหน้าต่างเช่นกัน แต่กลับไม่ได้ขอโทษ หรือด่าทอพวกเขาเลย แต่สิ่งที่คนในรถทำกลับยิ่งทำให้จางเล่ยและตู้เส้าเฟิงโมโหมากขึ้นไปอีก

คนที่โผล่หัวออกมาจากรถสปอร์ตนั้นเป็นชายหนุ่มวัยประมาณยี่สิบต้นๆ เขามองไปที่จางเล่ยและตู้เส้าเฟิง แล้วก็หันมามองรถของพวกเขา ก่อนที่จะยิ้มเยาะออกมาอย่างไม่แยแส

.....จบบทที่ 1131~

*อ้อมไปตีวง หมายถึงการใช้วิธีการอ้อมค้อมหรือหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าโดยตรง เพื่อหาวิธีจัดการกับปัญหาหรือศัตรูจากมุมที่อ่อนแอกว่า เช่น การหลีกเลี่ยงการปะทะโดยตรง แล้วใช้กลยุทธ์ในการเข้าโจมตีในเวลาหรือสถานที่ที่ได้เปรียบกว่า

*เล่นสามสิบหกกลยุทธ์ หมายถึงการใช้วิธีการหรือแผนการต่างๆในการเอาชนะศัตรู ซึ่งมาจากตำราอุบายของจีนโบราณที่เรียกว่า “สามสิบหกกลยุทธ์” เป็นชุดของกลยุทธ์ทางการทหารหรือวิธีการเอาตัวรอดในสถานการณ์ต่างๆ ซึ่งมีทั้งการใช้เล่ห์เหลี่ยม การหลอกลวง และการหลีกเลี่ยงปัญหา ตัวอย่างกลยุทธ์ที่มีชื่อเสียง เช่น

หนีคือยอดกลยุทธ์ - หากสถานการณ์ไม่เอื้ออำนวย การหนีเพื่อรักษาตัวถือเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

ซ่อนมีดในรอยยิ้ม - ทำทีเป็นมิตร แต่ซ่อนเจตนาร้ายเอาไว้

ยืมดาบฆ่าคน – ใช้มือผู้อื่นกำจัดศัตรูแทนตัวเอง

...........................................

สวัสดีปีใหม่ ปี 2025 นะคะ

ผู้แปลขออวยพรให้ผู้อ่านทุกท่านสุขภาพแข็งแรง จิตใจผ่องใส ร่ำรวยเงินทอง สุขสมหวังในทุกๆเรื่อง โชคดีตลอดปีตลอดไปนะคะ

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด