บทที่ 10 คดีฆาตกรรมโดยผีน้ำ
###
“น้องชาย อย่าเพิ่งรีบร้อนนัก”
ชายร่างอ้วนยิ้มพร้อมปรบมือเบา ๆ
ประตูเปิดออก หญิงสาวคนหนึ่งเดินเข้ามา เธอแต่งหน้าจัดและสวมชุดบางเบา ทรวดทรงที่ซ่อนอยู่ใต้ผ้าชีฟองเผยให้เห็นส่วนโค้งเว้าอย่างชัดเจน มือถือพัดเล็ก ๆ ท่าทางยั่วยวน
ใหญ่...ขาว...
จางจิ่วหยางอึ้ง เขาไม่เข้าใจว่าชายร่างอ้วนนี่ต้องการอะไร ทำไมจู่ ๆ ถึงเรียกผู้หญิงที่ดูเหมือนจะมาจากสถานเริงรมย์เข้ามา
หญิงสาวเดินวนรอบตัวจางจิ่วหยาง ดวงตาเปล่งประกายดุจน้ำในฤดูใบไม้ผลิ เมื่อมองร่างเปลือยท่อนบนที่เต็มไปด้วยพลังชายของเขา
อย่างไรก็ตาม ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เธอเพียงแต่ยิ้มหวานและถอยออกไป
ขณะที่จางจิ่วหยางยังงุนงง ชายร่างอ้วนก็หยิบเทียนขึ้นมาอีกครั้ง แล้วถามพร้อมรอยยิ้ม
“น้องชาย บอกข้าหน่อยว่า บนพัดของหญิงสาวคนนั้นมีรูปอะไรอยู่?”
ติ๋ง!
น้ำมันจากเทียนหยดลงบนกองฟืน จางจิ่วหยางมองมันด้วยความหวาดระแวง เหมือนว่าแค่ตอบคำถามไม่ได้ ก็จะถูกเผาทันที
“เจ้าเป็นบ้าหรือไง!” จางจิ่วหยางโกรธจนตะโกน
ชายร่างอ้วนกลับหัวเราะเสียงดัง เขาเป่าเทียนดับแล้วช่วยแก้เชือกสีแดงที่มัดจางจิ่วหยางออก
“ขอโทษที กระจกส่องผีแม้จะเชื่อถือได้ แต่ก็ไม่สมบูรณ์ ข้าจึงต้องทดสอบเพิ่มเติม”
จางจิ่วหยางรีบลุกขึ้น สวมเสื้อผ้าที่อยู่ข้างตัว พร้อมเอ่ยเสียงแข็ง
“แล้วผีมันตอบคำถามเจ้านั่นได้หรือ?”
ชายร่างอ้วนพยักหน้า “ใช่แล้ว พัดเล่มนั้นทำจากวัสดุพิเศษ ที่เด่นชัดมากสำหรับผี”
จางจิ่วหยางเข้าใจความหมายทันที เพราะสิ่งที่เข้าสิงเป็นผีสาวที่ไม่สนใจผู้หญิง แต่จางจิ่วหยางในฐานะผู้ชายปกติ ตอบคำถามไม่ได้ กลับเป็นคำตอบที่ถูกต้อง
“ต้องยุ่งยากขนาดนี้เลยเหรอ?”
ชายร่างอ้วนถอนหายใจเบา ๆ “จำเป็น”
เสียงของเขาสงบนิ่ง แต่แฝงความรู้สึกบางอย่าง
“ทั้งหมดนี้คือบทเรียนที่เราต้องแลกมาด้วยชีวิต”
จางจิ่วหยางนิ่งไป
“เจ้าหมดสติไปสามวันสามคืน คงทั้งหิวและกระหายน้ำมาก กินข้าวเถอะ”
ชายร่างอ้วนตบไหล่เขาแล้วสั่งให้คนยกอาหารมา
มีเนื้อตุ๋น ข้าวสวยขาวผ่อง พร้อมกับกับข้าวอีกสองสามจาน และโจ๊กเม็ดบัวหนึ่งถ้วย
จางจิ่วหยางที่ทั้งหิวและกระหายก็กินอย่างรวดเร็ว แม้เขาจะมีพลังกลืนผีเพื่อบรรเทาความหิว แต่การกินอาหารธรรมดาก็ยังนำความสุขและความอิ่มเอมมาให้
หลังจากกินจนอิ่ม ความหิวโหยในท้องของเขาค่อย ๆ จางลง ร่างกายที่อ่อนล้าก็กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง พลังร้อนในร่างไหลเวียนในเส้นลมปราณ ขจัดพลังเย็นที่ยังหลงเหลือออกไป
ชายร่างอ้วนกินเพียงข้าวเปล่า แต่เขากลับเคี้ยวอย่างละเอียดละออ เก็บข้าวทุกเม็ดที่หล่นกลับขึ้นมา
ดูเหมือนข้าวเหล่านั้นจะเป็นยาอันวิเศษสำหรับเขา
จางจิ่วหยางดันเนื้อตุ๋นไปให้เขา ชายร่างอ้วนเพียงยิ้มแล้วดันกลับมา
“ตามกฎหมายต้าเชียน ห้ามฆ่าวัวเพื่อกินเนื้อ แต่พวกข้าจาก ฉินเทียนเจี้ยน มีส่วนแบ่งวัวหนึ่งตัวต่อเดือน เจ้าไม่ต้องกังวล”
“เจ้าถูกผีสาวเข้าสิง เนื้อวัวช่วยฟื้นฟูพลังได้ กินเถอะไม่ต้องเกรงใจ”
เขายิ้ม และหลังจากกินข้าวไปสามชามใหญ่จนสะอาดหมดจดก็ยังดูเหมือนจะอยากกินอีก
“ฉินเทียนเจี้ยน?”
จางจิ่วหยางนึกไม่ออก เพราะในหนังสือที่เคยอ่านไม่มีชื่อหน่วยงานนี้ เขารู้เพียงว่าราชสำนักมีหน่วย ซือเทียนเจี้ยน สำหรับดูแลการสังเกตการณ์ดวงดาวและบันทึกการเปลี่ยนแปลงของฟ้า
“‘เทียน’ ของ ฉินเทียนเจี้ยน ไม่ใช่ฟ้าในความหมายของดวงดาว แต่เป็น…”
ชายร่างอ้วนชี้ไปที่หัวของเขาเอง ก่อนพูดต่อด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“‘เทียน’ ในความหมายของจักรพรรดิ”
คำพูดของชายร่างอ้วนทำให้จางจิ่วหยางสะดุ้งในใจ ความสงสัยของเขาได้รับการยืนยันแล้ว ว่าราชสำนักมีหน่วยงานลับที่จัดการเรื่องเหนือธรรมชาติและเกี่ยวกับผีปีศาจ
คนธรรมดาต่อให้ค้นตำราเท่าไรก็ไม่มีทางพบข้อมูลเกี่ยวกับหน่วยงานนี้
เขาไม่คาดคิดว่าตัวเองจะได้เกี่ยวข้องกับหน่วยงานลึกลับนี้รวดเร็วถึงเพียงนี้
“ข้าแนะนำตัวง่าย ๆ ข้ามีนามว่า เกาเหริน(ผู้เชี่ยวชาญ) เป็นเจ้าหน้าที่ระดับ ซือเฉิน จากฉินเทียนเจี้ยน”
จางจิ่วหยางรู้สึกอึ้งและพูดไม่ออก “ข้ารู้ว่าเจ้ามีฝีมือ แต่ไม่ต้องยกยอตัวเองขนาดนั้นหรอก”
ชายร่างอ้วนหัวเราะเสียงดัง “ไม่ใช่การยกยอ ข้าแซ่เกา ชื่อเหรินต่างหาก”
จางจิ่วหยาง “...”
“คดีของอวิ๋นเหนียงเมื่อปีนั้น ข้าคือผู้รับผิดชอบหลัก อาจารย์ของเจ้าเองก็มีส่วนช่วย”
รอยยิ้มของเกาเหรินค่อย ๆ จางลง เขาดึงสมุดเล่มหนึ่งออกมาจากเสื้อและยื่นให้จางจิ่วหยาง
“นี่คือบันทึกคดีของปีนั้น ลองดูเถอะ”
เมื่อเห็นสีหน้าของเกาเหริน จางจิ่วหยางรู้ได้ทันทีว่าคดีนี้ต้องมีบางอย่างที่ไม่ธรรมดา
เมื่อเปิดสมุดหน้าแรก เขาเห็นข้อความสีแดงที่เขียนด้วยผงจูซา
ชื่อคดี: คดีฆาตกรรมโดยผีน้ำ
สถานที่เกิดเหตุ: อำเภออวิ๋นเหอ ชิงโจว แห่งต้าเชียน
เจ้าของคดี: เกาเหริน (ซือเฉิน)
ระดับอันตราย: ระดับผี
สถานะ: ปิดคดีแล้ว
การเก็บความลับ: ระดับ丁(ติง-ต่ำ)
...
สมุดเล่มนี้ไม่หนามากนัก จางจิ่วหยางพลิกอ่านจนจบได้อย่างรวดเร็ว แต่สีหน้าของเขากลับเต็มไปด้วยความตกใจ
“เป็นไปได้ยังไง?”
เกาเหรินเผยรอยยิ้มขื่นขม “แต่ความจริงมันเกิดขึ้นแล้ว”
จางจิ่วหยางปิดสมุดแล้วพูดหนักแน่น “คดีในปีนั้น...ต้องมีบางอย่างผิดปกติ!”
ตามบันทึก ลูกสาวของอวิ๋นเหนียงถูกพวก หวังเป่าเฉวียน ซึ่งเป็นพ่อค้าค้ามนุษย์ลักพาตัวไป ระหว่างทาง พ่อค้าคนนั้นพลั้งมือทำให้เด็กหญิงเสียชีวิต และนำศพไปฝังไว้ในสุสานรวม
เกาเหรินในตอนนั้นจับตัวพ่อค้าคนนั้นมาลงโทษต่อหน้าอวิ๋นเหนียงในฐานะวิญญาณของเธอ พร้อมจัดพิธีฝังศพให้ลูกสาวเธออย่างสมเกียรติ จากนั้นเชิญนักบวชทั้งพระและเต๋ามาสวดให้เธอสามวันจนวิญญาณของเธอได้รับการปลดปล่อยและกลับไปเกิดใหม่
เขาอยู่ที่นั่นตลอดการจัดการเรื่องทั้งหมด
“ในคดีนี้ไม่มีอะไรน่าสงสัย ทุกอย่างสมเหตุสมผล ไม่มีช่องโหว่ รวมถึงการที่อวิ๋นเหนียงได้รับการปลดปล่อย ข้าก็เห็นกับตาตัวเอง”
“แต่ถ้าจะบอกว่ามีอะไรที่ไม่ถูกต้อง...”
เกาเหรินพูดเสียงต่ำ “มันก็คือ ทุกอย่างราบรื่นเกินไป ราวกับมีใครสักคนออกแบบทุกอย่างไว้อย่างดี”
จางจิ่วหยางเงียบ มองสมุดบันทึกเล่มบางในมือ แต่กลับรู้สึกว่ามันหนักดุจภูเขา
หากอวิ๋นเหนียงได้รับการปลดปล่อยไปแล้ว ทำไมเธอถึงกลับมาอำเภออวิ๋นเหออีก?
เธอทำไมต้องถามถึงลู่เหยาเซิง ทั้งที่ชื่อของเขาไม่ได้ปรากฏในคดีปีนั้นเลย?
แล้วหลินเซี่ยจื่อที่เคยเกี่ยวข้องกับคดีนี้ แต่กลับตายอย่างปริศนา เขาพบเจออะไรหรือ?
ทุกอย่างเหมือนกับบ่อน้ำลึกที่ไม่อาจมองเห็นก้นบึ้ง
“น้องชาย เจ้าเคยเผชิญหน้ากับอวิ๋นเหนียงมาแล้ว ช่วยบอกข้าหน่อยว่า เสื้อผ้าของเธอในตอนนั้นมีสีอะไร?”
เกาเหรินถามขึ้นมา
จางจิ่วหยางหยุดคิดครู่หนึ่ง ก่อนตอบ “ตอนแรกชุดของเธอมีสีขาวสลับแดง ครั้งที่สองที่เจอ สีแดงเริ่มเด่นชัดขึ้น แต่คืนที่เธอสิงร่างข้า ชุดเกือบทั้งหมดเป็นสีแดง มีแค่รองเท้าที่เป็นสีขาว”
สีหน้าของเกาเหรินเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด
“แย่แล้ว ดูเหมือนว่าเธอกำลังจะเปลี่ยนจาก... ผีธรรมดาไปเป็น... ผีร้าย!”
...