ตอนที่ 8 ผู้อาวุโสสายนอกขอบเขตเบิกฟ้า
ตอนที่ 8 ผู้อาวุโสสายนอกขอบเขตเบิกฟ้า
“ศิษย์น้อง เจ้ากำลังมองหาใครอยู่หรือ?”
ภายในหอคอย หลินไป๋มองซ้ายทีขวาที สลับระหว่างอาการตื่นเต้นและผิดหวัง
“ศิษย์พี่ ข้ากำลังหาคู่หมั้นของข้าอยู่น่ะสิ!
คู่หมั้นของข้าผ่านการทดสอบรอบแรกมาได้แล้ว ตอนนี้นางกำลังทำการทดสอบรอบที่สองอยู่”
“โอ้ ไม่คิดเลยว่าศิษย์น้องจะไม่สมหวังในการบ่มเพาะ แต่กลับโชคดีในความรัก ฮ่าๆ ศิษย์พี่อิจฉาจริงๆเลยนะเนี่ย”
…
เฟิงชิงหยางที่อยู่ข้างๆ ไม่ได้ร่วมวงพูดคุยด้วย เขาหลับตาทำสมาธิอย่างเงียบสงบ
【“ระบบ ข้าขอใช้บัตรอัญเชิญสีเงิน”】
เพื่อความไม่ประมาท เขาจึงต้องเตรียมตัวรับมือ แม้ว่าจะไม่ได้ต้องการตัวช่วยเพิ่มจริงๆ มีมหาจักรพรรดิประจำการอยู่สำนัก ที่มาสามารถเรียกเมื่อไหร่ที่ไหนก็ได้อยู่
แต่ของแบบนี้มีก็ไม่เสียหาย ใครจะไปเกี่ยงว่าตัวช่วยเยอะเกินไปกันเล่า
สำหรับเคล็ดวิชากระบี่บัวมรกตที่เหลือไว้ ก็ไว้กลับไปที่สำนักค่อยถ่ายทอดให้หลินไป๋เถิด
【“ติ๊ง! ใช้บัตรอัญเชิญสีเงินสำเร็จ กำลังอัญเชิญ…ติ๊ง! อัญเชิญสำเร็จ…ขอแสดงความยินดีกับนายท่านที่อัญเชิญผู้แข็งแกร่งขอบเขตเบิกฟ้าขั้นสูงสุด…”】
“แค่ขอบเขตเบิกฟ้าขั้นสูงสุดเองหรือนี่ ก็พอใช้ได้กระมัง”
เฟิงชิงหยางพึมพำในใจอย่างเสียดาย
เพราะบัตรอัญเชิญสีเงินนั้นสามารถอัญเชิญผู้บ่มเพาะระขอบเขปรากฏศักดิ์ได้เลยทีเดียว
แต่ก็นับว่าพอใจได้ เพราะถึงอย่างไรก็คงไม่ใช่ว่าเทพีแห่งโชคจะเข้าข้างเขาตลอด ครั้งก่อนใช้บัตรสีทองและบัตรสีทองแดงก็ได้อัญเชิญระดับขั้นสูงสุดเช่นกัน
“ท่านเจ้าสำนัก”
ทันใดนั้นก็มีชายวัยกลางคนปรากฏตัวข้างเฟิงชิงหยางอย่างไร้เสียงใดๆ
เขาไม่มีแม้แต่คลื่นพลังให้รู้สึกได้ ดูราวกับคนธรรมดา
หากเขาไม่เผยพลังด้วยตนเอง ใครจะไปคาดคิดว่าผู้บ่มเพาะขอบเขตเบิกฟ้าขั้นสูงสุด ซึ่งเปรียบเสมือนผู้นำขุมอำนาจชั้นนำแห่งดินแดนภาคตะวันออก จะมาอยู่ตรงนี้ และเอ่ยคำคารวะอย่างอ่อนน้อม
เพียงแค่คนนี้คนเดียวก็เทียบได้กับพลังของขุมอำนาจอันยิ่งใหญ่แล้ว
สือฮ่าวและอีกสองคนก็สังเกตเห็นเหตุการณ์ที่ฝั่งเฟิงชิงหยาง
“หรือว่ามีคนจากสำนักเราเพิ่มมาอีก? อยากรู้จริงๆว่าท่านเป็นผู้อาวุโสท่านใดกัน”
หลินไป๋ยังไม่ทราบเรื่องราวของสำนักชิงหยุน เฟิงชิงหยางได้บอกกับสือฮ่าวแล้วว่าผู้แข็งแกร่งของสำนักชิงหยุนบางท่านหลับใหล บางท่านออกท่องไปทั่วโลก
“ศิษย์น้อง นั่นคือท่านผู้อาวุโสของสำนักเรา ไปคารวะท่านสักหน่อยเถิด”
เฟิงชิงหยางเห็นสือฮ่าวกับคนอื่นๆเดินเข้ามาพอดี จึงกล่าวขึ้นว่า “พวกเจ้ามาพอดี ข้าจะพาแนะนำให้รู้จัก นี่คือผู้ผู้อาวุโสสายนอกสำนักของเรา เย่ไป๋”
“ท่านผู้ผู้อาวุโสสายนอกสำนักเชียวหรือ!”
ทั้งสือฮ่าวและหลินไป๋ต่างสะดุ้งเฮือก ในเมื่อเพียงแค่ผู้คุ้มกันอย่างหวังเจี้ยนก็แข็งแกร่งขนาดนั้นแล้ว ระดับของท่านผู้อาวุโสย่อมสูงส่งยิ่งกว่า ต้องเป็นยอดผู้บ่มเพาะที่มีความสามารถอย่างล้ำลึกแน่แท้
“สือฮ่าว หลินไป๋ ขอคารวะท่านผู้อาวุโส” ทั้งสองกล่าวคารวะพร้อมกัน
“อืม ไม่ต้องมากพิธี”
เฟิงชิงหยางครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ในใจ สำนักเริ่มมีคนเพิ่มมากขึ้น แต่สำนักชิงหยุนก็ยังไม่มีชุดเครื่องแบบของสำนักเลย
อย่าดูถูกเครื่องแบบของสำนักว่าเป็นแค่ชุดผ้าไร้ความสำคัญ เพราะชุดที่เป็นเอกลักษณ์สามารถเพิ่มความรู้สึกสังกัดและเกียรติภูมิให้กับศิษย์ อีกทั้งยังช่วยเสริมสร้างชื่อเสียงของสำนัก
【“ติ๊ง! ในเมื่อสำนักมุ่งมั่นจะเป็นสำนักเทพอันดับหนึ่งของมหาจักรวาลในอนาคต จะปล่อยให้ไม่มีเครื่องแบบของตัวเองได้อย่างไร? หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไปจะไม่ทำให้ผู้อื่นหัวเราะเยาะได้หรือ?”】
【“มอบภารกิจ: สร้างชื่อเสียงอันโดดเด่นในงานชุมนุมแลกเปลี่ยนครั้งนี้ รางวัลภารกิจ: ชุดเครื่องแบบเฉพาะของสำนัก”】
เฟิงชิงหยางดวงตาเป็นประกาย สอดรับกับสถานการณ์ได้อย่างเหมาะเจาะเช่นเคย นี่แหละระบบของเขา
“แค่ก แค่ก! เอาล่ะ เลิกพูดเรื่องไร้สาระได้แล้ว ถึงเวลาที่เราจะต้องขึ้นแสดงฝีมือบ้างแล้ว”
…
ในขณะนั้น งานชุมนุมรับศิษย์ใหม่ใกล้จะสิ้นสุดลง
ศิษย์จากแต่ละสำนักถูกคัดเลือกไปเกือบหมดแล้ว
คนที่ได้เข้าร่วมกับดินแดนศักดิ์สิทธิ์คือเด็กหนุ่มวัยสิบแปดปีซึ่งมีระดับการบ่มเพาะถึงขอบเขตวิญญาณแรกกำเนิดขั้นต้นแล้ว
อัจฉริยะวัยสิบแปดปีในขอบเขตวิญญาณแรกกำเนิดดึงดูดสายตาทุกคนได้อย่างมาก
ส่วนที่เหลือถูกแบ่งไปร่วมกับขุมอำนาจระดับชั้นนำและกองกำลังที่เหลือ
เหล่าผู้ได้รับการคัดเลือก ล้วนมีท่าทีฮึกเหิมทะนงตน
“ฮ่าฮ่า ข้าได้เข้าสู่สำนักอันทรงเกียรติที่เฝ้าฝันถึง นามว่า สำนัก เหยี่ยนหยางแล้ว!”
“ขอแสดงความยินดีด้วย ท่านพี่ไป๋ก็ได้สมหวังดังใจ”
…
“ศิษย์พี่ งานชุมนุมรับศิษย์ใหม่สิ้นสุดลงแล้ว พวกเรากลับกันเถิด”
“รออีกสักครู่เถิด ข้าได้ยินมาว่าหลังจากนี้ยังมีงานแลกเปลี่ยนของเหล่าสำนักอีกหน มาชมกันเถิด” หลิงปิงหนิงเอ่ยขึ้นอย่างเรียบๆ
“อา ศิษย์พี่ เท่าที่ดูคนที่มีพรสวรรค์มากที่สุดก็แค่เด็กหนุ่มขอบเขตวิญญาณแรกกำเนิดขั้นต้นวัยสิบแปดปี คาดว่าเขาคงมิอาจสู้ข้าได้ ข้าก็อยู่ในขอบเขตวิญญาณแรกกำเนิดขั้นกลางแล้วนะ”
“ชมอย่างเดียวก็พอแล้ว เหตุใดเจ้าถึงไม่ฟังคำศิษย์พี่เล่า?”
…
“ท่านทั้งหลาย งานชุมนุมรับศิษย์ใหม่ครั้งนี้ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี
ต่อไปคือช่วงเวลาแห่งงานแลกเปลี่ยนของเหล่าสำนักทั้งหลายแล้ว”
บรรดาสำนักต่างๆ ที่ได้รับการเชิญถูกนำไปยังศูนย์กลางของลานงาน แน่นอนว่ามีเพียงสำนักระดับหนึ่งขึ้นไปเท่านั้นที่ได้รับสิทธิ์นี้
ส่วนสำนักเล็กๆก็ทำตามใจตนเถิด จะทำอันใดก็สุดแล้วแต่พวกเขา
เฟิงชิงหยางกับพรรคพวกก็ได้รับเชิญขึ้นไปด้วย เป็นคำสั่งพิเศษจากท่านอาวุโสแห่งสำนักเทียนจี
“ไยข้าจึงยังไม่เห็นเงาของชิงเอ๋อร์เล่า?”
สือห่าวทราบถึงความกังวลในใจเขาจึงปลอบโยนว่า
“ศิษย์น้อง คู่หมั้นของเจ้าคงถูกคัดเลือกโดยสำนักชั้นนำ จึงมิทันได้ร่ำลาแล้วจากไปเสียก่อน”
“อืมๆ ข้าเข้าใจแล้วศิษย์พี่”
…
“ท่านทั้งหลาย บัดนี้พวกเราล้วนมารวมตัวกัน ณ ที่นี้แล้ว งานแลกเปลี่ยนก็ขอเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ”
“ท่านทั้งหลายสามารถส่งศิษย์ที่มีความสามารถอันโดดเด่นของตนขึ้นมาแข่งขันได้ แน่นอนว่าอายุของผู้เข้าแข่งขันต้องใกล้เคียงกัน ห้ามผู้ใหญ่รังแกผู้น้อย”
เหล่าสำนักต่างๆ ตาเป็นประกาย งานนี้เป็นเวทีอันดีที่จะฉายแสงให้เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาผู้คน
งานชุมนุมรับศิษย์ใหม่อันยิ่งใหญ่ครานี้เรียกได้ว่าได้รวบรวมสายตาจากทั่วทั้งดินแดนภาคตะวันออก แม้ตอนนี้งานจะสิ้นสุดลงแล้ว แต่ความคึกคักก็ยังไม่จางหาย หากได้อวดฝีมือเพียงน้อยก็นำไปเล่าขานได้ชั่วชีวิต
เหล่าศิษย์ต่างก็ตระหนักในข้อนี้
“ฮ่าฮ่า ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าก็ไม่เกรงใจแล้ว ท่านทั้งหลาย ข้านามเซียวฮั่วแห่งสำนักเหยี่ยนหยาง ขอเชิญผู้กล้าขึ้นประลอง”
“ข้านามเจียงขุยแห่งสำนักเขาเฮยซาน ขอเข้าประลอง”
เมื่อสิ้นคำพูด ทั้งสองก็เริ่มเข้าปะทะกัน หมัดหนึ่งและขาหนึ่งต่างพุ่งเข้าใส่กันอย่างไม่มีใครยอมใคร
สุดท้ายเซียวฮั่วแห่งสำนักเหยี่ยนหยางก็เป็นฝ่ายได้รับชัย
ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้ร่วมการคัดเลือกศิษย์ใหม่และจากไปตั้งแต่ต้นแล้ว ด้วยเหตุที่ว่าหากชนะก็ไม่มีเกียรติอันใด แต่หากแพ้คงต้องเสียหน้าเป็นแน่แท้
เหล่าสำนักชั้นนำต่างส่งศิษย์ของตนขึ้นเวที การต่อสู้ดำเนินไปอย่างดุเดือด
“ท่านอาจารย์ ข้าก็ขอไปเคลื่อนไหวร่างกายบ้างเถิด”
สือฮ่าวเห็นภาพนี้แล้วอดใจไม่ไหว นับตั้งแต่ที่อาการบาดเจ็บหายดี เขายังไม่ได้สู้รบจริงจังสักครั้ง
“อืม ตอนนี้เจ้าอยู่ขอบเขตวิญญาณแรกกำเนิดแล้วหรือ?”
เฟิงชิงหยางหันมามองสือห่าวที่เตรียมตัวจะขึ้นเวที เด็กคนนี้ตอนมาเมืองซวนเย่ยังอยู่ขอบเขตแก่นทองคำขั้นสูงสุดอยู่แท้ๆ แต่บัดนี้กลับก้าวสู่ ขอบเขตวิญญาณแรกกำเนิดอย่างเงียบๆ เสียแล้ว
“ใช่แล้ว ท่านอาจารย์ เพียงแค่เดินไม่กี่ก้าวก็ทะลวงขอบเขตแล้ว”
“ข้าเถอะ! ศิษย์พี่ใหญ่ของข้าถึงขอบเขตวิญญาณแรกกำเนิดแล้วหรือ?”
หลินไป๋มองศิษย์พี่ที่มีอายุไล่เลี่ยกันด้วยความตกใจ คนเทียบคนช่างทำให้โมโหเสียจริงๆ
“สำนักชิงหยุน สือฮ่าว ขอมาท้าประลอง!”
เมื่อกล่าวจบ สือฮ่าวก็ก้าวขึ้นเวทีไปยืนตรงกลางด้วยชุดคลุมสีดำ รูปร่างสูงสองเมตรที่เต็มไปด้วยพลังดุดัน ใบหน้าคมกริบและแววตาเปี่ยมด้วยกระหายการต่อสู้
“สำนักชิงหยุน? ไม่เคยได้ยินชื่อสำนักนี้มาก่อน”
“ก็ไม่แน่ สถานที่ที่ได้มาร่วมงานแลกเปลี่ยนคงไม่ใช่สำนักไม่มีชื่อเสียงหรอก”
“นึกออกแล้ว เหมือนจะเป็นสำนักที่เคยเป็นสำนักจักรพรรดิ แต่บัดนี้กลับเสื่อมถอยจนกลายเป็นสำนักไร้ชั้น”
เหล่าผู้ชมต่างซุบซิบกันไปมา
พวกเขาล้วนเป็นบุคคลสำคัญในดินแดนภาคตะวันออก ไม่ใช่ใครก็ตามจะมาท้าสู้ได้โดยง่าย
“ท่านผู้อาวุโส สำนักชิงหยุนเป็นเพียงสำนักเล็กไร้ชั้น เหตุใดถึงได้มานั่งที่นี่และร่วมประลองกับพวกเรา?”
เมื่อเห็นบรรยากาศเริ่มจะแยกย้ายกันไป อาวุโสแห่งสำนักเทียนจีก็ออกมาอธิบายว่า
“มีปัญหาอะไรรึ? สำนักชิงหยุนเป็นสำนักที่ข้าชวนมาด้วยตัวเอง หากใครไม่พอใจก็มาให้ข้าสั่งสอนด้วยตัวเองก็ได้”
อาวุโสมีความตั้งใจที่จะทดสอบสำนักชิงหยุนในการประชุมครั้งนี้ เพื่อตรวจสอบว่าพวกเขาได้พบเคล็ดวิชาของมหาจักรพรรดิหรือไม่ และหากใช่ก็ย่อมแบ่งปันผลประโยชน์กัน