ตอนที่แล้วตอนที่ 7 ฆ่าไม่เว้น
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 9 พวกเจ้า มีแต่ขยะ!

ตอนที่ 8 ผู้อาวุโสสายนอกขอบเขตเบิกฟ้า


ตอนที่ 8 ผู้อาวุโสสายนอกขอบเขตเบิกฟ้า

“ศิษย์น้อง เจ้ากำลังมองหาใครอยู่หรือ?”

ภายในหอคอย หลินไป๋มองซ้ายทีขวาที สลับระหว่างอาการตื่นเต้นและผิดหวัง

“ศิษย์พี่ ข้ากำลังหาคู่หมั้นของข้าอยู่น่ะสิ!

คู่หมั้นของข้าผ่านการทดสอบรอบแรกมาได้แล้ว ตอนนี้นางกำลังทำการทดสอบรอบที่สองอยู่”

“โอ้ ไม่คิดเลยว่าศิษย์น้องจะไม่สมหวังในการบ่มเพาะ แต่กลับโชคดีในความรัก ฮ่าๆ ศิษย์พี่อิจฉาจริงๆเลยนะเนี่ย”

เฟิงชิงหยางที่อยู่ข้างๆ ไม่ได้ร่วมวงพูดคุยด้วย เขาหลับตาทำสมาธิอย่างเงียบสงบ

【“ระบบ ข้าขอใช้บัตรอัญเชิญสีเงิน”】

เพื่อความไม่ประมาท เขาจึงต้องเตรียมตัวรับมือ แม้ว่าจะไม่ได้ต้องการตัวช่วยเพิ่มจริงๆ มีมหาจักรพรรดิประจำการอยู่สำนัก ที่มาสามารถเรียกเมื่อไหร่ที่ไหนก็ได้อยู่

แต่ของแบบนี้มีก็ไม่เสียหาย ใครจะไปเกี่ยงว่าตัวช่วยเยอะเกินไปกันเล่า

สำหรับเคล็ดวิชากระบี่บัวมรกตที่เหลือไว้ ก็ไว้กลับไปที่สำนักค่อยถ่ายทอดให้หลินไป๋เถิด

【“ติ๊ง! ใช้บัตรอัญเชิญสีเงินสำเร็จ กำลังอัญเชิญ…ติ๊ง! อัญเชิญสำเร็จ…ขอแสดงความยินดีกับนายท่านที่อัญเชิญผู้แข็งแกร่งขอบเขตเบิกฟ้าขั้นสูงสุด…”】

“แค่ขอบเขตเบิกฟ้าขั้นสูงสุดเองหรือนี่ ก็พอใช้ได้กระมัง”

เฟิงชิงหยางพึมพำในใจอย่างเสียดาย

เพราะบัตรอัญเชิญสีเงินนั้นสามารถอัญเชิญผู้บ่มเพาะระขอบเขปรากฏศักดิ์ได้เลยทีเดียว

แต่ก็นับว่าพอใจได้ เพราะถึงอย่างไรก็คงไม่ใช่ว่าเทพีแห่งโชคจะเข้าข้างเขาตลอด ครั้งก่อนใช้บัตรสีทองและบัตรสีทองแดงก็ได้อัญเชิญระดับขั้นสูงสุดเช่นกัน

“ท่านเจ้าสำนัก”

ทันใดนั้นก็มีชายวัยกลางคนปรากฏตัวข้างเฟิงชิงหยางอย่างไร้เสียงใดๆ

เขาไม่มีแม้แต่คลื่นพลังให้รู้สึกได้ ดูราวกับคนธรรมดา

หากเขาไม่เผยพลังด้วยตนเอง ใครจะไปคาดคิดว่าผู้บ่มเพาะขอบเขตเบิกฟ้าขั้นสูงสุด ซึ่งเปรียบเสมือนผู้นำขุมอำนาจชั้นนำแห่งดินแดนภาคตะวันออก จะมาอยู่ตรงนี้ และเอ่ยคำคารวะอย่างอ่อนน้อม

เพียงแค่คนนี้คนเดียวก็เทียบได้กับพลังของขุมอำนาจอันยิ่งใหญ่แล้ว

สือฮ่าวและอีกสองคนก็สังเกตเห็นเหตุการณ์ที่ฝั่งเฟิงชิงหยาง

“หรือว่ามีคนจากสำนักเราเพิ่มมาอีก? อยากรู้จริงๆว่าท่านเป็นผู้อาวุโสท่านใดกัน”

หลินไป๋ยังไม่ทราบเรื่องราวของสำนักชิงหยุน เฟิงชิงหยางได้บอกกับสือฮ่าวแล้วว่าผู้แข็งแกร่งของสำนักชิงหยุนบางท่านหลับใหล บางท่านออกท่องไปทั่วโลก

“ศิษย์น้อง นั่นคือท่านผู้อาวุโสของสำนักเรา ไปคารวะท่านสักหน่อยเถิด”

เฟิงชิงหยางเห็นสือฮ่าวกับคนอื่นๆเดินเข้ามาพอดี จึงกล่าวขึ้นว่า “พวกเจ้ามาพอดี ข้าจะพาแนะนำให้รู้จัก นี่คือผู้ผู้อาวุโสสายนอกสำนักของเรา เย่ไป๋”

“ท่านผู้ผู้อาวุโสสายนอกสำนักเชียวหรือ!”

ทั้งสือฮ่าวและหลินไป๋ต่างสะดุ้งเฮือก ในเมื่อเพียงแค่ผู้คุ้มกันอย่างหวังเจี้ยนก็แข็งแกร่งขนาดนั้นแล้ว ระดับของท่านผู้อาวุโสย่อมสูงส่งยิ่งกว่า ต้องเป็นยอดผู้บ่มเพาะที่มีความสามารถอย่างล้ำลึกแน่แท้

“สือฮ่าว หลินไป๋ ขอคารวะท่านผู้อาวุโส” ทั้งสองกล่าวคารวะพร้อมกัน

“อืม ไม่ต้องมากพิธี”

เฟิงชิงหยางครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ในใจ สำนักเริ่มมีคนเพิ่มมากขึ้น แต่สำนักชิงหยุนก็ยังไม่มีชุดเครื่องแบบของสำนักเลย

อย่าดูถูกเครื่องแบบของสำนักว่าเป็นแค่ชุดผ้าไร้ความสำคัญ เพราะชุดที่เป็นเอกลักษณ์สามารถเพิ่มความรู้สึกสังกัดและเกียรติภูมิให้กับศิษย์ อีกทั้งยังช่วยเสริมสร้างชื่อเสียงของสำนัก

【“ติ๊ง! ในเมื่อสำนักมุ่งมั่นจะเป็นสำนักเทพอันดับหนึ่งของมหาจักรวาลในอนาคต จะปล่อยให้ไม่มีเครื่องแบบของตัวเองได้อย่างไร? หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไปจะไม่ทำให้ผู้อื่นหัวเราะเยาะได้หรือ?”】

【“มอบภารกิจ: สร้างชื่อเสียงอันโดดเด่นในงานชุมนุมแลกเปลี่ยนครั้งนี้ รางวัลภารกิจ: ชุดเครื่องแบบเฉพาะของสำนัก”】

เฟิงชิงหยางดวงตาเป็นประกาย สอดรับกับสถานการณ์ได้อย่างเหมาะเจาะเช่นเคย นี่แหละระบบของเขา

“แค่ก แค่ก! เอาล่ะ เลิกพูดเรื่องไร้สาระได้แล้ว ถึงเวลาที่เราจะต้องขึ้นแสดงฝีมือบ้างแล้ว”

ในขณะนั้น งานชุมนุมรับศิษย์ใหม่ใกล้จะสิ้นสุดลง

ศิษย์จากแต่ละสำนักถูกคัดเลือกไปเกือบหมดแล้ว

คนที่ได้เข้าร่วมกับดินแดนศักดิ์สิทธิ์คือเด็กหนุ่มวัยสิบแปดปีซึ่งมีระดับการบ่มเพาะถึงขอบเขตวิญญาณแรกกำเนิดขั้นต้นแล้ว

อัจฉริยะวัยสิบแปดปีในขอบเขตวิญญาณแรกกำเนิดดึงดูดสายตาทุกคนได้อย่างมาก

ส่วนที่เหลือถูกแบ่งไปร่วมกับขุมอำนาจระดับชั้นนำและกองกำลังที่เหลือ

เหล่าผู้ได้รับการคัดเลือก ล้วนมีท่าทีฮึกเหิมทะนงตน

“ฮ่าฮ่า ข้าได้เข้าสู่สำนักอันทรงเกียรติที่เฝ้าฝันถึง นามว่า สำนัก เหยี่ยนหยางแล้ว!”

“ขอแสดงความยินดีด้วย ท่านพี่ไป๋ก็ได้สมหวังดังใจ”

“ศิษย์พี่ งานชุมนุมรับศิษย์ใหม่สิ้นสุดลงแล้ว พวกเรากลับกันเถิด”

“รออีกสักครู่เถิด ข้าได้ยินมาว่าหลังจากนี้ยังมีงานแลกเปลี่ยนของเหล่าสำนักอีกหน มาชมกันเถิด” หลิงปิงหนิงเอ่ยขึ้นอย่างเรียบๆ

“อา ศิษย์พี่ เท่าที่ดูคนที่มีพรสวรรค์มากที่สุดก็แค่เด็กหนุ่มขอบเขตวิญญาณแรกกำเนิดขั้นต้นวัยสิบแปดปี คาดว่าเขาคงมิอาจสู้ข้าได้ ข้าก็อยู่ในขอบเขตวิญญาณแรกกำเนิดขั้นกลางแล้วนะ”

“ชมอย่างเดียวก็พอแล้ว เหตุใดเจ้าถึงไม่ฟังคำศิษย์พี่เล่า?”

“ท่านทั้งหลาย งานชุมนุมรับศิษย์ใหม่ครั้งนี้ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี

ต่อไปคือช่วงเวลาแห่งงานแลกเปลี่ยนของเหล่าสำนักทั้งหลายแล้ว”

บรรดาสำนักต่างๆ ที่ได้รับการเชิญถูกนำไปยังศูนย์กลางของลานงาน แน่นอนว่ามีเพียงสำนักระดับหนึ่งขึ้นไปเท่านั้นที่ได้รับสิทธิ์นี้

ส่วนสำนักเล็กๆก็ทำตามใจตนเถิด จะทำอันใดก็สุดแล้วแต่พวกเขา

เฟิงชิงหยางกับพรรคพวกก็ได้รับเชิญขึ้นไปด้วย เป็นคำสั่งพิเศษจากท่านอาวุโสแห่งสำนักเทียนจี

“ไยข้าจึงยังไม่เห็นเงาของชิงเอ๋อร์เล่า?”

สือห่าวทราบถึงความกังวลในใจเขาจึงปลอบโยนว่า

“ศิษย์น้อง คู่หมั้นของเจ้าคงถูกคัดเลือกโดยสำนักชั้นนำ จึงมิทันได้ร่ำลาแล้วจากไปเสียก่อน”

“อืมๆ ข้าเข้าใจแล้วศิษย์พี่”

“ท่านทั้งหลาย บัดนี้พวกเราล้วนมารวมตัวกัน ณ ที่นี้แล้ว งานแลกเปลี่ยนก็ขอเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ”

“ท่านทั้งหลายสามารถส่งศิษย์ที่มีความสามารถอันโดดเด่นของตนขึ้นมาแข่งขันได้ แน่นอนว่าอายุของผู้เข้าแข่งขันต้องใกล้เคียงกัน ห้ามผู้ใหญ่รังแกผู้น้อย”

เหล่าสำนักต่างๆ ตาเป็นประกาย งานนี้เป็นเวทีอันดีที่จะฉายแสงให้เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาผู้คน

งานชุมนุมรับศิษย์ใหม่อันยิ่งใหญ่ครานี้เรียกได้ว่าได้รวบรวมสายตาจากทั่วทั้งดินแดนภาคตะวันออก แม้ตอนนี้งานจะสิ้นสุดลงแล้ว แต่ความคึกคักก็ยังไม่จางหาย หากได้อวดฝีมือเพียงน้อยก็นำไปเล่าขานได้ชั่วชีวิต

เหล่าศิษย์ต่างก็ตระหนักในข้อนี้

“ฮ่าฮ่า ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าก็ไม่เกรงใจแล้ว ท่านทั้งหลาย ข้านามเซียวฮั่วแห่งสำนักเหยี่ยนหยาง ขอเชิญผู้กล้าขึ้นประลอง”

“ข้านามเจียงขุยแห่งสำนักเขาเฮยซาน ขอเข้าประลอง”

เมื่อสิ้นคำพูด ทั้งสองก็เริ่มเข้าปะทะกัน หมัดหนึ่งและขาหนึ่งต่างพุ่งเข้าใส่กันอย่างไม่มีใครยอมใคร

สุดท้ายเซียวฮั่วแห่งสำนักเหยี่ยนหยางก็เป็นฝ่ายได้รับชัย

ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้ร่วมการคัดเลือกศิษย์ใหม่และจากไปตั้งแต่ต้นแล้ว ด้วยเหตุที่ว่าหากชนะก็ไม่มีเกียรติอันใด แต่หากแพ้คงต้องเสียหน้าเป็นแน่แท้

เหล่าสำนักชั้นนำต่างส่งศิษย์ของตนขึ้นเวที การต่อสู้ดำเนินไปอย่างดุเดือด

“ท่านอาจารย์ ข้าก็ขอไปเคลื่อนไหวร่างกายบ้างเถิด”

สือฮ่าวเห็นภาพนี้แล้วอดใจไม่ไหว นับตั้งแต่ที่อาการบาดเจ็บหายดี เขายังไม่ได้สู้รบจริงจังสักครั้ง

“อืม ตอนนี้เจ้าอยู่ขอบเขตวิญญาณแรกกำเนิดแล้วหรือ?”

เฟิงชิงหยางหันมามองสือห่าวที่เตรียมตัวจะขึ้นเวที เด็กคนนี้ตอนมาเมืองซวนเย่ยังอยู่ขอบเขตแก่นทองคำขั้นสูงสุดอยู่แท้ๆ แต่บัดนี้กลับก้าวสู่ ขอบเขตวิญญาณแรกกำเนิดอย่างเงียบๆ เสียแล้ว

“ใช่แล้ว ท่านอาจารย์ เพียงแค่เดินไม่กี่ก้าวก็ทะลวงขอบเขตแล้ว”

“ข้าเถอะ! ศิษย์พี่ใหญ่ของข้าถึงขอบเขตวิญญาณแรกกำเนิดแล้วหรือ?”

หลินไป๋มองศิษย์พี่ที่มีอายุไล่เลี่ยกันด้วยความตกใจ คนเทียบคนช่างทำให้โมโหเสียจริงๆ

“สำนักชิงหยุน สือฮ่าว ขอมาท้าประลอง!”

เมื่อกล่าวจบ สือฮ่าวก็ก้าวขึ้นเวทีไปยืนตรงกลางด้วยชุดคลุมสีดำ รูปร่างสูงสองเมตรที่เต็มไปด้วยพลังดุดัน ใบหน้าคมกริบและแววตาเปี่ยมด้วยกระหายการต่อสู้

“สำนักชิงหยุน? ไม่เคยได้ยินชื่อสำนักนี้มาก่อน”

“ก็ไม่แน่ สถานที่ที่ได้มาร่วมงานแลกเปลี่ยนคงไม่ใช่สำนักไม่มีชื่อเสียงหรอก”

“นึกออกแล้ว เหมือนจะเป็นสำนักที่เคยเป็นสำนักจักรพรรดิ แต่บัดนี้กลับเสื่อมถอยจนกลายเป็นสำนักไร้ชั้น”

เหล่าผู้ชมต่างซุบซิบกันไปมา

พวกเขาล้วนเป็นบุคคลสำคัญในดินแดนภาคตะวันออก ไม่ใช่ใครก็ตามจะมาท้าสู้ได้โดยง่าย

“ท่านผู้อาวุโส สำนักชิงหยุนเป็นเพียงสำนักเล็กไร้ชั้น เหตุใดถึงได้มานั่งที่นี่และร่วมประลองกับพวกเรา?”

เมื่อเห็นบรรยากาศเริ่มจะแยกย้ายกันไป อาวุโสแห่งสำนักเทียนจีก็ออกมาอธิบายว่า

“มีปัญหาอะไรรึ? สำนักชิงหยุนเป็นสำนักที่ข้าชวนมาด้วยตัวเอง หากใครไม่พอใจก็มาให้ข้าสั่งสอนด้วยตัวเองก็ได้”

อาวุโสมีความตั้งใจที่จะทดสอบสำนักชิงหยุนในการประชุมครั้งนี้ เพื่อตรวจสอบว่าพวกเขาได้พบเคล็ดวิชาของมหาจักรพรรดิหรือไม่ และหากใช่ก็ย่อมแบ่งปันผลประโยชน์กัน

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด