ตอนที่ 5 งานชุมนุมรับศิษย์
ตอนที่ 5 งานชุมนุมรับศิษย์
สำนักเทียนจีปล่อยข่าวออกมา การประชุมรับศิษย์ที่จัดขึ้นทุกๆ สามปี จะจัดขึ้นที่เมืองซวนเย่ แห่งแคว้นหลิงโจวในอีกสามวันข้างหน้า
เมื่อข่าวแพร่สะพัด แคว้นหลิงโจวก็ร้อนระอุขึ้นทันที
มีคำกล่าวไว้ว่า “เพียรฝึกสิบปีไร้ผู้สนใจ แต่เพียงพริบตาเมื่อได้ชื่อเสียง ผู้คนทั่วหล้าก็รู้จัก” โอกาสครั้งนี้คือสิ่งที่พวกเขารอคอยมาชั่วชีวิต
“เฮ้ เจ้ารู้หรือไม่?”
“ครั้งนี้ งานชุมนุมรับศิษย์จะจัดขึ้นที่เมืองซวนเย่”
“อืม คราวนี้ข้าต้องไปลองเสี่ยงโชคดูสักครั้ง ได้ยินมาว่ามีทั้งสำนักชั้นนำและดินแดนศักดิ์สิทธิ์จะมาร่วมสังเกตการณ์ หากข้าได้ฝากตัวเข้าสำนักชั้นนำ นั่นคงดั่งฝันเป็นจริง!”
ส่วนดินแดนศักดิ์สิทธิ์นั้น เขาไม่กล้าคิดฝัน คนที่จะได้เข้าไปที่นั่นล้วนเป็นอัจฉริยะหายากราวหนึ่งในหมื่น
“สำนักชั้นนำและแดนศักดิ์สิทธิ์!”
“ข้าถามจริงๆเถิดเจ้า ข่าวนี้เชื่อถือได้หรือไม่?”
“แน่นอน ข้ามีญาติผู้พี่ที่บ้านติดกัน คนรู้จักของเขามีลูกเขยที่ขอทานอยู่ในเมืองซวนเย่ ข่าวนี้เขาเล่าให้ฟังกับปากข้าเอง”
“รออะไรอยู่อีก? ออกเดินทางโดยไวเถิด!”
เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นในทุกมุมของภาคตะวันออก ทั้งเล็กและใหญ่
เพราะในภาคตะวันออกอันกว้างใหญ่นี้ ดินแดนศักดิ์สิทธิ์มีเพียงห้าแห่งเท่านั้น การที่พวกเขาจะมาร่วมชมการรับศิษย์ถือเป็นโอกาสใหญ่ หากโชคดีได้อยู่ในสายตาของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ก็จะได้เสมือนก้าวขึ้นสู่สวรรค์ในชั่วพริบตา
แม้แต่หากเพียงได้ฝากตัวกับสำนักชั้นนำ ก็ถือว่าเป็นลาภใหญ่แล้ว อย่างน้อยก็สามารถเดินอย่างองอาจไปทั่วภาคตะวันออกนอกเหนือจากห้าแดนศักดิ์สิทธิ์ได้
อัจฉริยะนับไม่ถ้วนเดินทางมุ่งสู่เมืองซวนเย่ เสียงผู้คนคึกคัก และกระแสลึกลับเริ่มไหลเชี่ยว
“ศิษย์พี่ เมืองซวนเย่นี้คึกคักยิ่งนัก
นับว่าคุ้มค่าแล้วที่ข้าอ้อนวอนท่านอาจารย์ทั้งวัน เพื่อให้ท่านยอมปล่อยให้ข้าออกมาเที่ยว”
หลิงปิงหนิงมองศิษย์น้องตัวน้อยผู้ซุกซนพลางหัวเราะทั้งน้ำตา
“เมืองซวนเย่นี้นับเป็นเมืองใหญ่ลำดับต้นๆ ในภาคตะวันออก ความคึกคักก็เป็นธรรมดาอยู่แล้ว
ศิษย์น้อง อย่าเอาแต่คิดจะเล่น จำไว้ว่าต้องตั้งใจฝึกฝนรู้หรือไม่?
ชาวภาคตะวันออกใช่ว่าพรสวรรค์จะด้อยกว่าเรา เพียงแต่หากได้ฝึกในภาคกลางที่ทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ขึ้น ก็คงฉายแววเจิดจรัสออกมาได้เช่นกัน”
หลิงปิงหนิงเตือนด้วยใจอันอารี นางที่เป็นดั่งเทพธิดาน้ำแข็งในตำหนักหยกขจี จะแสดงความรู้สึกจริงๆ เพียงต่อหน้าศิษย์น้องเท่านั้น
“ข้ารู้แล้วศิษย์พี่ ทำไมท่านพูดเหมือนอาจารย์จริงๆ”
ศิษย์น้องตัวน้อยแลบลิ้นทำหน้าตาเอาใจ
…
สำนักชิงหยุน
สือฮ่าวที่เพิ่งออกมาจากห้องบ่มเพาะสีหน้าเปี่ยมสุข
“เคล็ดวิชาสังสารวัฏขั้นแรกสำเร็จแล้ว!”
“กระดูกจักรพรรดิข้าฟื้นฟูกลับมาแล้ว เส้นชีพจรข้าก็ฟื้นฟูสำเร็จแล้ว!”
“สมแล้วที่เป็นวิชาเซียน”
ยิ่งฝึกฝนลึกซึ้งมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งรู้สึกได้ถึงความยิ่งใหญ่ของวิชานี้
เมื่อขยับมือขา สือฮ่าวก็ตกตะลึงพบว่าระดับการบ่มเพาะของตนเลื่อนขึ้นสู่ขอบเขตก่อตั้งรากฐานขั้นกลาง เรียกได้ว่าก้าวหน้ารวดเร็วปานม้าเหาะ
“ใครเล่าจะกล้าทัดเทียมความเร็วการฝึกของข้า?”
หากคำนี้ไปถึงหูของเฟิงชิงหยาง คงจะได้กล่าวว่า “ศิษย์เอ๋ย นอกฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมีคน!”
“อาจารย์ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งวัน ก็จากไร้พลังบ่มเพาะมาถึงขอบเขตสร้างวิญญาณ เจ้าจะเอาอะไรมาวัดกับข้า?”
“เอ๊ะ เหตุใดพลังวิญญาณในสำนักจึงหนาแน่นขึ้นมากถึงเพียงนี้?”
สือฮ่าวรู้สึกถึงความผิดปกติ
สือฮ่าวที่หมกมุ่นอยู่ในห้องบ่มเพาะจนไม่รู้เรื่องอะไร เพิ่งจะเห็นนิมิตจากฟากฟ้าและสายฟ้าทำลายล้างเมื่อครู่
สิ่งเดียวที่เขารู้คือ ตอนนี้พลังวิญญาณในสำนักหนาแน่นกว่าตอนที่เขาเข้ามาสำนักถึงสิบเท่า
หากจะเปรียบเทียบ คงต้องกล่าวว่า แม้เอาหมูมาไว้ในนี้ ก็ยังสามารถบ่มเพาะจนกลายเป็นปราชญ์ได้
“น่ากลัวเกินไปแล้ว!”
“ต้องเป็นผลงานของท่านอาจารย์เจ้าสำนักแน่ๆ”
สือฮ่าวไม่คิดอะไรมาก รีบกลับเข้าห้องบ่มเพาะต่อทันที ราวกับบ้าฝึก!
…
สามวันผ่านไปในพริบตา
เมืองซวนเย่
เวลานี้เมืองซวนเย่ได้ถูกยึดครองด้วยเหล่าสำนักและกลุ่มอิทธิพลทั้งเล็กและใหญ่
แน่นอนว่าที่พักดีๆ ย่อมตกเป็นของกลุ่มใหญ่ ส่วนกลุ่มเล็กๆ ทำได้เพียงพักแรมริมถนน
เหล่าอัจฉริยะที่มาร่วมการประชุมรับศิษย์ต่างถูกจัดเตรียมที่พักไว้นอกเมือง
“ท่านอาจารย์ พวกเราก็จะเข้าร่วมงานชุมนุมรับศิษย์นี้ด้วยหรือขอรับ?”
“แน่นอนสิ ไม่งั้นอาจารย์จะพาเจ้ามาเที่ยวเล่นหรือไร?”
เฟิงชิงหยางและศิษย์สองคนมาถึงหน้าประตูเมืองซวนเย่ นอกจากเขาสองคนแล้ว ยังมีผู้คุ้มกันประจำสำนักของพวกเขา หวังเจี้ยน ที่ติดตามมาด้วย
ศิษย์หนุ่มนามสือฮ่าวยังคงงุนงง เขาถูกอาจารย์ลากออกมาจากห้องบ่มเพาะ ทั้งที่เขากำลังมุ่งมั่นบ่มเพาะอยู่อย่างเคร่งเครียด
ที่หน้าประตูเมือง ซวนเย่ สามคนของพวกเขาถูกทหารยามที่ประตูขวางทางเอาไว้
“หยุด! พวกเจ้าเป็นคนของสำนักใด? มีบัตรเชิญหรือไม่?”
“มาเข้าร่วมงานรับศิษย์ยังต้องมีบัตรเชิญด้วยหรือ?”
“แน่นอนสิ หากเจ้ามาในฐานะสำนักที่ต้องการรับศิษย์ก็ต้องมีบัตรเชิญจากสำนักเทียนจี หากเจ้ามาเพื่อเข้าร่วมงานรับศิษย์ในฐานะผู้ทดสอบ ก็ไม่จำเป็นต้องมีบัตรเชิญ แค่รออยู่ด้านนอกก็พอ”
“งานรับศิษย์ครั้งนี้มีสำนักชั้นนำและแดนศักดิ์สิทธิ์เป็นผู้ควบคุม แน่นอนว่าพวกสำนักที่เล็กๆไม่มีสิทธิ์เข้าร่วม ต้องเป็นสำนักระดับสองขึ้นไปเท่านั้นถึงจะสามารถเข้าร่วมได้”
ทหารยามมองกลุ่มของพวกเขาและคิดว่าเป็นแค่สำนักเล็กๆ เห็นแค่สือฮ่าวที่มองเห็นถึงระดับพลังเท่านั้น ซึ่งอยู่ในขอบเขตแก่นทองคำขั้นปลาย ส่วนอีกสองคนที่ไม่มีคลื่นพลังอะไร เขาคิดว่าพวกนี้แค่มาเที่ยวเล่นเท่านั้น
“สำนักเทียนจีเป็นสำนักเล็กๆที่ไหนกัน? สำนักชิงหยุนของข้าน่ะ ไม่จำเป็นต้องใช้บัตรเชิญของพวกมันหรอก!”
หวังเจี้ยนยืนขึ้น ใช้พลังขั้นสูงสุดของขอบเขตสร้างวิญญาณเปิดเผยออกมา
ทหารยามสะดุ้งตกใจ หวาดกลัวต่อแรงกดดันอันแข็งแกร่งนั้น ภายในใจนึกอย่างเงียบๆว่า “ตายแล้ว เรามาเจอพวกตัวใหญ่เข้าแล้วหรือ? สำนักชิงหยุน? ไม่เคยได้ยินมาก่อน! คงเป็นสำนักลับที่ซ่อนตัวสินะ!”
“ขะ ข้าขออภัย เชิญพวกท่านเข้าไปได้เลยขอรับ”
หลังจากเหตุการณ์เล็กๆผ่านไป งานรับศิษย์ก็เริ่มขึ้น
นอกเมืองซวนเย่ สนามประลองขนาดใหญ่หลายแห่งถูกสร้างขึ้น บนพื้นที่นับพันลี้ อาคารและศาลาต่างๆถูกจัดเรียงไว้รอบๆ เพื่อให้ผู้ชมได้ชมการแข่งขัน
ม่านพลังขนาดใหญ่ครอบคลุมพื้นที่นี้ มีพลังวิญญาณที่สมบูรณ์และแข็งแกร่งพอที่จะรองรับการต่อสู้ของผู้แข็งแกร่งขอบเขตสร้างวิญญาณได้
“ท่านทั้งหลาย งานรับศิษย์ของวันนี้ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว”
“การทดสอบแรกจะเป็นการทดสอบพรสวรรค์ ผู้สมัครที่มีอายุต่ำกว่ายี่สิบห้าและอยู่ในขอบเขตแก่นทองคำขึ้นไปสามารถเข้าร่วมได้”
เสาทั้งหมดนับพันต้นจะเริ่มส่องแสงสว่างตามระดับพรสวรรค์ โดยพรสวรรค์ที่ต่ำที่สุดจะต้องมีระดับสามดาวขึ้นไป จึงจะผ่านไปยังการทดสอบต่อไปได้
ผู้ที่ผ่านการทดสอบพรสวรรค์ จะได้เข้าสู่รอบที่สอง การคัดเลือกโดยการประลอง เพื่อค้นหาผู้ที่ติดห้าสิบอันดับแรก
อันดับที่หนึ่งจะได้เข้าสู่แดนศักดิ์สิทธิ์ ห้าอันดับแรกจะได้เข้าสู่สำนักชั้นนำ ส่วนที่เหลือจะให้สำนักอื่นเลือกเข้าไปตามสมควร
ส่วนผู้ที่ถูกคัดออกนั้น สำนักใดพึงพอใจก็สามารถรับไปได้เถิด ซึ่งหาใช่ที่พวกเราให้ความสนใจไม่
“บัดนี้ ขอเชิญผู้ที่ถูกเรียกชื่อขึ้นมาตรวจสอบได้”
“จ้าวปิง อายุยี่สิบสาม ขอบเขตแก่นทองคำขั้นกลาง พรสวรรค์สามดาว ผ่านทดสอบ คนถัดไป”
“หลู่เหรินเจี่ยอายุยี่สิบห้า ขอบเขตแก่นทองคำขั้นกลาง พรสวรรค์สองดาว ไม่ผ่าน คนถัดไป”
พร้อมกันนั้น เสาดำมืดนับพันต้นก็เริ่มทำการตรวจสอบ
…
“งานเริ่มแล้ว ศิษย์พี่หญิง เย้เย้! หลายวันมานี้ข้าเบื่อจนทนไม่ไหว
คราวก่อนข้าแอบออกไปแล้วถูกอาจารย์จับได้ ต้องถูกกักตัวถึงสามเดือนเต็ม
ศิษย์พี่หญิง ท่านว่าบรรดาผู้มีพรสวรรค์แห่งภาคตะวันออกมีมากไหม?”
หลิงปิงหนิงดูใจลอยอยู่ พอถูกถามจึงตอบอย่างฉุกละหุกว่า “อย่าดูแคลนผู้คน มีคนอยู่เหนือคน และฟ้าย่อมมีฟ้า”
“โอ โอ”
หลิงปิงหนิงเองก็รู้สึกเหมือนมีสายตาแหลมคมจับจ้องอยู่ ทำให้นางรู้สึกเหมือนถูกมองทะลุปรุโปร่ง
ครั้นหันไปยังอาคารแห่งหนึ่งก็เห็นบุรุษหนุ่มผู้รูปงามประดุจภาพวาดกำลังยิ้มให้เขา หนุ่มน้อยผู้นั้นหล่อเหลาราวภูตพราย คิ้วดั่งดาบ ดวงตาดั่งดารา มองลึกลงในดวงตาของเขาก็ปรากฏแสงสีม่วงที่ลี้ลับดั่งเทพเซียนแห่งฟ้า
(นึกภาพไม่ออกก็ให้ท่านส่องกระจกดูเถิด)
หลิงปิงหนิงรีบหลบสายตานั้น หนุ่มน้อยก็หันไปมองที่อื่นเช่นกัน ความรู้สึกถูกมองทะลุก็หายไปทันที ราวกับเป็นเพียงภาพลวงตา
นางจึงสรุปได้ว่า ชายหนุ่มผู้นั้นหาใช่คนธรรมดา ภาคตะวันออกนี้ช่างมีผู้มากฝีมือซ่อนเร้นอยู่จริง
นางส่ายหัวเบาๆเลิกคิดถึงเรื่องนั้นเสีย
“น่าสนใจจริง ผู้คนจากภาคกลางก็มากันหมดแล้วหรือ?”
เฟิงชิงหยางตรวจดูแผงควบคุมของระบบ
【หลิงปิงหนิง: ศิษย์พี่ใหญ่แห่งตำหนักหยกขจี ภาคกลาง ระดับพลังบ่มเพาะ: ผู้ไร้มลทินขั้นสูงสุด】
ณ เวลานั้นเอง
【“ติ้ง ตรวจพบบุตรแห่งโชคชะตาคนที่สอง ขอให้นายท่านรับเข้าเป็นศิษย์โดยไว”】
“มาแล้ว!”
“ระบบ แสดงแผงควบคุมของบุตรแห่งโชคชะตา”
【“หลินไป๋ บุตรชายคนโตแห่งตระกูลหลิน แห่งราชวงศ์ต้าโจว ร่างกาย: กายากระบี่บัวมรกต (ยังไม่ถูกปลุกให้ตื่น)】