ตอนที่ 10 เหยียบย่ำเหล่าสำนักของดินแดนภาคตะวันออก
ตอนที่ 10 เหยียบย่ำเหล่าสำนักของดินแดนภาคตะวันออก
คำพูดของอาวุโสตระกูลสือนั้นมีความจริงอยู่สามส่วน แต่เจตนาข่มขู่กลับมีถึงเจ็ดส่วน
“ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งภาคกลาง!”
“ตระกูลสือมีความเกี่ยวข้องกับดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งภาคกลางแล้วหรือ!”
เหล่าสำนักที่ยังไม่ทราบเรื่องนี้ต่างตกใจสุดขีด
ต้องรู้ว่าภาคกลางนั้นคือดินแดนแห่งการบ่มเพาะที่เหล่าผู้บ่มเพาะทุกคนปรารถนา
แหล่งพลังวิญญาณล้นหลามยิ่งกว่าภูมิภาคตะวันออกหลายเท่า มีอันตรายและโอกาสแฝงอยู่ สถานที่ที่เต็มไปด้วยเหล่าจักรพรรดิและมหาจักรพรรดิ
สามารถพูดได้ว่า สำนักในภาคตะวันออกอย่างพวกเขาไม่คู่ควรแม้แต่จะถือรองเท้าของพวกเขา
แน่นอน ถ้าคำนี้ไปถึงหูเฟิงชิงหยาง เขาคงจะตะคอกกลับ “สำนักชิงหยุนของข้า ไม่ใช่ที่ที่เจ้าจะมาควบคุมได้หรอก!”
“รองเท้าก็ต้องคู่ใหญ่ ข้ามาแล้วไม่ต้องใช้แรงเลย!”
“โอกาสมาถึงแล้ว”
อาวุโสจากสำนักเทียนจีเห็นเหตุการณ์นี้แล้วในใจคิดถึงความเป็นไปได้
เขาสังเกตดูเหล่าผู้บ่มเพาะของสำนักชิงหยุนห้าคนในนั้น คนที่ออกมือก่อนคือผู้ที่มีฝีมือในขอบเขตสร้างวิญญาณขั้นสูงสุด
อีกสามคนก็มีชายชุดดำคนหนึ่งที่ธรรมดามาก และอีกคนคือหนุ่มหล่อที่ยากจะคาดเดาพลัง แต่พลังของเขาคงไม่สูงนัก
ส่วนเรื่องสือฮ่าวและคนที่เพิ่งเข้าสู่ขอบเขตหลอมรวมขั้นต้นนั้นก็ข้ามไปเลย
สือห่าว - หลินไป๋: ท่านมีมารยาทไหม?
จากนั้นเขาก็ได้ส่งเสียงถึงเหล่ากลุ่มอำนาจต่างๆ ให้พวกเขาทำการจู่โจมคนของสำนักชิงหยุน
“ท่านอาวุโสไม่ต้องห่วง สำนักเมฆาทะเลเราจะช่วยท่านเอง”
“และสำนักฟูหยาง เราจะช่วยด้วย!”
“ท่ามกลางแสงแดดเช่นนี้ ยังมีคนทรยศ! ไม่ว่าจะเป็นคนของตระกูลใดก็ตาม สำนักจิตธรรมหินของเราก็ต้องลงมือแล้ว!”
ก่อนหน้านี้ สือฮ่าวแห่งสำนักชิงหยุนทำให้พวกเขาเสียหน้าในที่สาธารณะ
ข้อแรกก็เพื่อระบายอารมณ์ ข้อสองยังได้แบ่งส่วนจากมรดกมหาจักรพรรดิที่อาจได้มา ข้อสามยังจะได้ น้ำใจจากตระกูลสือ
หนึ่งลูกธนูฆ่านกได้สามตัว แล้วใครจะไม่ทำเล่า
เมื่อมีผู้นำย่อมมีผู้ตาม หลายกลุ่มที่ไม่แน่ใจหรือที่มีผลประโยชน์เป็นที่สนใจต่างก็เข้าร่วมไปด้วย ทันใดนั้นเสียงทุ้มและพลังมหาศาลก็เริ่มรวมตัวกัน
การหยิบยื่นหนี้น้ำใจให้แก่ตระกูลสือถือเป็นการค้าที่ยอดเยี่ยมจริงๆ
“ทุกท่าน ร่วมมือกันจับพวกเขาให้ได้!”
เหล่าผู้บ่มเพาะที่เข้าร่วมจากทุกกลุ่มต่างพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ท่ามกลางพลังอันมหาศาลที่กระจายออกไป ท้องฟ้าก็ถูกกระแสพลังพัดกระจายออกไป
พลังวิญญาณพลุ่งพล่าน ศึกการต่อสู้ใกล้จะเริ่มต้นแล้ว!
นี่ไม่ใช่การแข่งขันของศิษย์ที่เพิ่งเกิดขึ้นในงานชุมนุมรับศิษย์และงานแลกเปลี่ยนก่อนหน้านี้ ในสายตาของพวกเขานั้น เหมือนเป็นแค่การเล่นเกมเด็กๆเท่านั้น
หกผู้บ่มเพาะขอบเขตผู้ไร้มลทิน และผู้บ่มเพาะขอบเขตสร้างวิญญาณมากกว่าสิบคน!
“ศิษย์พี่เราไปกันเถิด เดี๋ยวจะโดนลูกหลง”
กลุ่มที่ไม่ได้เข้าร่วมและผู้ที่เป็นแค่ผู้ชมต่างก็รีบถอยห่างออกไป กลัวว่าจะโดนกระทบ
นี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆเลย
หลิงปิงหนิงครุ่นคิดสักพัก แล้วพูดขึ้น
“เจ้าไปก่อนเถิด ข้าจะขึ้นไปที่กลางเวที”
ไม่ทันที่ศิษย์น้องจะพูดอะไร นางก็หมุนตัวและบินไปยังกลางเวที
“ศิษย์พี่! ท่านจะไปไหน!”
“คนของสำนักชิงหยุน ข้าจากตำหนักหยกขจีจะคุ้มครอง!”
ขณะทุกคนกำลังจะเคลื่อนไหว แต่ก็ต้องหยุดชะงักเมื่อเห็นหญิงสาวคนหนึ่งบินมาจากท้องฟ้า
เส้นผมสีดำยาวถึงพื้นพลิ้วไปตามลม เสื้อผ้าสีขาวที่สะอาดบริสุทธิ์ เหมือนเทพธิดาที่ลงมาจากฟากฟ้า
“สวยมาก!”
“ตำหนักหยกขจีมาจากไหนเนี่ย?”
“เด็กสาวคนไหนกัน กล้าพูดจาโอหังขนาดนี้!”
“ตำหนักกยกขจีของข้าเป็นสำนักศักดิ์สิทธิ์ในภาคกลาง พวกเจ้าคิดดีแล้วหรือที่จะลงมือ”
หลิงปิงหนิงพูดอย่างเย็นชา พร้อมทั้งปล่อยพลังบ่มเพาะของตนเองออกมา
“ขอบเขตผู้ไร้มลทิน!”
“สำนักศักดิ์สิทธิ์!”
“โอ้พระเจ้า! ขอบเขตผู้ไร้มลทินด้วยอายุน้อยขนาดนี้!”
หญิงสาวคนนี้ต้องเป็นอัจฉริยะจากภาคกลางแน่นอน!
ช่างแปลกมากจริงๆ ตระกูลสือดวงดีที่ได้เชื่อมความสัมพันธ์กับแดนศักดิ์สิทธิ์ภาคกลาง แล้วสำนักชิงหยุนเล็กๆนี่จะเชื่อมโยงกับกลุ่มอำนาจใหญ่ในเขตภาคกลางได้อย่างไร!
"พวกขยะไร้ประโยชน์ พวกเจ้าคงต้องให้ข้าออกหน้าจัดการเองแล้ว"
อาวุโสจากสำนักเทียนจีที่เคยช่อนตัวอยู่เบื้องหลังและรอเก็บเกี่ยวผลประโยชน์เห็นท่าทีลังเลของพวกเขาก็ไม่สามารถนั่งนิ่งได้
"ฮึ พวกเจ้ากลัวตำหนักยกขจี แต่ข้าไม่กลัว
สำนักเทียนจีของข้าก็เป็นสำนักศักดิ์สิทธิ์ของภาคกลางเช่นกัน หากพวกเจ้าตามข้าไปโจมตี ข้าสัญญาว่าจะปกป้องพวกเจ้าไม่ให้เกิดอันตราย"
อาวุโสจากสำนักเทียนจีพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ปลดปล่อยพลังบ่มเพาะขอบเขตผู้ไร้มลทินขั้นสูงสุดออกมา
"สำนักเทียนจีสาขาภูมิภาคตะวันออกหรือ?"
"ดูท่าคงต้องใช้ไพ่ตายแล้ว" หลิงปิงหนิงขมวดคิ้วเล็กน้อย
...
"ดูทุกท่านสนุกสนานกันมากเลยนะ!"
"พอดีวันนี้ข้าเบื่อๆ ก็เลยอยากจะเล่นกับพวกเจ้าสักหน่อย"
ในขณะนี้ เฟิงชิงหยางพร้อมกับอีกสามคนเดินไปยังกลางสนามอย่างช้าๆแต่มั่นคง
"ท่านอาจารย์!"
สือฮ่าวมองเห็นเฟิงชิงหยางกับพรรคพวกมา ถึงกับรู้สึกเหมือนเห็นที่พึ่งสุดท้าย
ข้าก็มีสำนักที่แข็งแกร่งคอยสนับสนุนแล้ว ยังจะกลัวอะไรอีก
"ท่านอาจารย์ ข้าทำให้สำนักลำบาก"
เรื่องทั้งหมดเกิดจากเขา หากไม่ใช่เพราะเขา ตระกูลสือก็ไม่น่าจะดึงสือเทียนออกมาทำให้เกิดเหตุการณ์นี้
"ไม่เป็นไร เรื่องเล็กน้อย"
"ขอบคุณแม่นางที่ช่วยเหลือ ข้าขอรับไว้ในใจ" เฟิงชิงหยางโบกมือให้สือฮ่าวและหันไปพูดกับหลิงปิงหนิง แม้จะไม่รู้ว่าเหตุใดแม่นางจากภาคกลางผู้นี้ถึงหยืนมือมาช่วยสำนักชิงหยุนของพวกเขา แต่ในช่วงเวลาวิกฤตเช่นนี้ที่คนช่วยเหลือควรได้รับการเคารพตามมารยาท
การให้ความช่วยเหลือในยามวิกฤตย่อมมีค่ามากกว่าการเติมเต็มในยามมีความสุข
พวกกลุ่มต่างๆ ที่เห็นท่าทางของเฟิงชิงหยางที่ดูสงบเสงี่ยมก็ยังไม่เข้าใจว่าที่เขาทำไปนั้นคืออะไร
"หรือว่า สำนักชิงหยุนยังมีไพ่ตายลับอะไรบางอย่าง?" นี่คือความสงสัยของหลิงปิงหนิงและกลุ่มต่างๆที่อยู่ในที่นั้น
"หึ ทำเป็นเสแสร้งแกล้งทำ!"
อาวุโสจากสำนักเทียนจีกล่าวก่อนจะพุ่งเข้าโจมตีทันที หลิงปิงหนิงและหวังเจี้ยนที่ยืนข้างๆก็พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า หลิงปิงหนิงเองก็ยกเลิกการใช้ไพ่ตายลีบและตัดสินใจที่จะดูว่า ชายที่เคยพบกันไม่นานนี้ยังมีไพ่ตายอะไรช่อนไว้อีก
"ผู้ใดที่ขัดขวางสำนักชิงหยุน ต้องตาย!"
เย่ไป๋ระเบิดพลังบ่มเพาะขอบเขตเบิกฟ้าขั้นสูงสุดออกมา
พลังวิญญาณที่รุนแรงพัดกระหน่ำไปทั่วท้องฟ้า การสั่นสะเทือนของพลังฝีมือขยายออกไปทุกทิศทาง
“เบิก…เบิก…ขอบเขตเบิกฟ้า!”
เย่ไป๋รวบรวมพลังวิญญาณและฟาดมือออกไปอย่างรวดเร็ว
ในอากาศปรากฏมือยักษ์ขนาดใหญ่ มือยักษ์ที่บดบังท้องฟ้าและแสงอาทิตย์ มุ่งตรงไปยังเหล่าพลังของทุกฝ่าย พื้นที่รอบๆ ส่งเสียงครางเหมือนกับเสียงการเสียดสีของพลังวิญญาณและพื้นที่
ในที่สุด เมื่อมือยักษ์ฟาดลง พื้นที่รอบๆก็แตกสลายเหมือนกับฟ้าดินแตกแยก!
"ไม่! ให้อภัยชีวิตข้าเถอะ ข้าเป็นเจ้าสำนัก!"
เสียงร้องอันเจ็บปวดดังขึ้นแล้วทุกอย่างก็เงียบลง ไม่มีอะไรที่ซับซ้อน เพียงแค่การบดขยี้ด้วยพลังบ่มเพาะที่เหนือกว่า
"โอ๋? ยังมีหนูตัวเล็กที่หลบหนีได้อีกตัว"
"เจ้าฆ่าข้าไม่ได้! ข้าเป็นผู้อาวุโสของสำนักเทียนจี!"
ผู้ที่พูดคือผู้อาวุโสของสำนักเทียนจีที่โชคดีหนีรอดมาได้แต่ตอนนี้เขาก็อยู่ในสภาพย่ำแย่ บาดเจ็บสาหัสเมื่อสักครู่ที่เย่ไป๋เปิดเผยพลังบ่มเพาะออกมา เขาก็รู้สึกถึงความไม่ปกติ จึงถอยไปหลบหลังคนอื่น แล้วใช้ไพ่ตายลับเพื่อรักษาชีวิตไว้
เขายังคิดไม่ออกว่าทำไมสำนักชิงหยุนที่ดูเหมือนไม่มีอะไรมากมายถึงมีผู้แข็งแกร่งเช่นนี้ แม้จะได้รับมรดกจากมหาจักรพรรดิก็ตาม
"นี้คือคำพูดสุดท้ายเจ้ากระมัง"
เย่ไป๋ไม่กระพริบตาเลยสักครั้ง ก่อนที่จะเหยียบลงไปที่ตัวผู้อาวุโสของสำนักเทียนจี บดขยี้เขาจนกลายเป็นโคลน
สนามรบเต็มไปด้วยความยุ่งเหยิง เหลือเพียงรอยฝ่ามือที่ลึกสองเมตร
เฟิงชิงหยางเดินไปยังขอบเวทีและมองลงไป
"ข้าจะไม่ทำให้พวกเจ้าลำบาก
ข้าจะให้เวลาพวกเจ้าสามวัน ให้แต่ละสำนักมาขอขมาที่สำนักชิงหยุน แล้วเรื่องนี้ก็จะจบไป
หากไม่เช่นนั้นแล้ว ข้าจะไม่ปล่อยไว้แม้แต่ตัวเดียว!"
คำพูดของเฟิงชิงหยางทำให้ผู้คนจากแต่ละสำนักที่เหลือ
อยู่สั่นกลัว