Chapter 352 : การเคลื่อนไหวของทุกฝ่าย – ขึ้นเครื่องสู่กองทัพขั้วโลก (1) (ฟรี)
ได้ยินเช่นนี้หลินเซวียนก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้
อย่างไรก็ตามการรับรู้ของจี้รู่เยว่นั้นเฉียบคมยิ่ง
เขาพึ่งจะใช้เนตรรู้แจ้งมองดูหน้าต่างข้อมูลของเธอเท่านั้นอีกฝ่ายก็รู้สึกได้ทันทีเลยว่าตัวเองกำลังถูกจับตาอยู่
ถ้าเขาใช้สกิลนี้กับนักสู้ขอบเขตที่9หรือกระทั่งขอบเขตที่10คนอื่น...มีโอกาสเป็นไปได้สูงมากเช่นกันที่อีกฝ่ายจะรู้ตัวว่ากำลังโดนสอดส่อง
หลินเซวียนวางแผนในทันที
ดูเหมือนเขาจะใช้เนตรรู้แจ้งนี้แบบสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้
ถ้าไปกระตุ้นความระมัดระวังของอีกฝ่ายหรือกระทั่งจิตมุ่งร้ายเข้าคงเป็นปัญหาใหญ่แน่
หลินเซวียนอธิบายให้กับจี้รู่เยว่ฟังในทันทีเพื่อไม่ให้เธอรู้สึกไม่สบายใจจนเข้าใจผิด
หลังจากจี้รู่เยว่ได้ยินเธอก็มองมาที่เขาด้วยแววตาประหลาดใจ “ข้าเองก็มีหน้าต่างข้อมูลที่ว่าด้วย? แปลกยิ่งหากเป็นเช่นนั้นแล้วเหตุใดข้าถึงไม่เห็นกัน?”
เธอส่ายหัวด้วยท่าทีรำคาญใจ “อย่างไรก็ดีวิชานี้ของเจ้านั้นค่อนข้างยอดเยี่ยมนัก เจ้าสามารถมองเห็นระดับฝึกตนของผู้อื่นและวิชาที่พวกเขาฝึกฝนมาได้”
หลังจากหยุดไปชั่วครู่เธอก็เอ่ยปากชมออกมา
หลินเซวียนิ้ม “ถ้างั้นผมขอตัวก่อนแล้วกัน ผมยังเหลือเวลาอีกหนึ่งวันคงต้องไปตระเตรียมอะไรต่อมิอะไรอีก นอกจากนี้ยังต้องเลื่อนระดับเลเวลอีกด้วย”
“เข้าใจแล้ว”
...
อินเดีย
ภายในห้องทำงานของหัวหน้าองค์กร
หัวหน้าองค์กรยืนอยู่ข้างหน้าต่างอย่างเงียบเชียบ
อย่างไรก็ตามในหัวของเขานั้นมีเสียงตะโกนดังลั่นดังขึ้น
“ไปซะ! พวกเราต้องไปเดี๋ยวนี้!”
“พวกเราจักต้องตอบรับคำเชิญจากเหล่ามารทมิฬ!”
“พวกมันสัมผัสได้ถึงตัวตนของราชาผู้นี้แต่กลับไม่ได้มีจิตมุ่งร้ายหากแต่เลือกชักชวนข้าโดยหวังว่าข้าจะร่วมมือกับพวกมันโจมตีเผ่าเหมันต์และสตรีชุดขาวผู้นั้น”
“นี่มันหมายความว่าเช่นไร? เจ้าตอบได้ไหม?”
“มันหมายความว่าพวกมันหวั่นเกรงในความแข็งแกร่งของข้า! พวกมันรู้ดีว่าพวกมันไม่อาจเป็นศัตรูกับข้าได้ดังนั้นจึงชักชวนพวกเราอย่างนอบน้อม!” เสียงนี้เต็มไปด้วยความทะยานอยาก
ผู้นำองค์กรอินเดียขมวดคิ้ว “องค์ราชาสุริยันแต่นี่มัน...ผมเกรงว่ามันจะมีแผนการเบื้องหลัง”
“ไม่ใช่ว่าท่านกล่าวว่าท่านสามารถกลืนกินพลังภายในร่างของพวกเขาได้หากแต่พวกเขาก็สามารถทำได้เช่นกันรึ? แล้วถ้าพวกนั้น...”
ราชาสุริยันเอ่ยขัด “เขลานัก! เจ้าไม่เห็นสถานการณ์ในปัจจุบันของโลกใบนี้รึ?”
“การเชื่อมต่อระหว่างโลกแห่งสรรพธาตุกับโลกนี้นั้นคืบใกล้เข้ามามากขึ้นและมากขึ้นเรื่อยๆ วันหนึ่งสิ่งมีชีวิตจากโลกแห่งสรรพธาตุก็จักมายังโลกนี้ได้โดยปราศจากสิ่งใดถ่วงรั้ง เมื่อถึงตอนนั้นโลกย่อมกลายเป็นส่วนหนึ่งของโลกแห่งสรรพธาตุ”
“เป้าหมายในปัจจุบันของเผ่ามารทมิฬย่อมเป้นเผ่าเหมันต์รวมไปถึงสตรีชุดขาวสะพายกระบี่สีดำที่อาศัยอยู่ในกองพลก่อสร้างผู้นั้น ถ้าพวกเราร่วมมือกับพวกมารทมิฬก็จักได้รับผลประโยชน์จากชัยชนะโดยไม่ต้องเหนื่อยแรง”
“เมื่อความแข็งแกร่งของข้าฟื้นฟูถึงขีดสุดถึงตอนนั้นกะอีแค่มารทมิฬจะนับเป็นอันใด?”
หลังจากได้ยินเช่นนี้หัวหน้าองค์กรอินเดียก็เริ่มลังเล
หลังจากผ่านไปเนิ่นนานก็ดูเหมือนเขาจะตัดสินใจได้แล้ว “ดี! ฝ่าบาทเช่นนั้นแล้วกระผมก็จะทำตามการตัดสินใจของท่าน!”
ราชาสุริยันพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ “ดีมาก เจ้าต้องเชื่อมมั่นในความแข็งแกร่งของข้าเช่นนี้แล!”
“ยังไงก็ตามพวกมารทมิฬพวกนั้นมันพูดว่ายังไงบ้างรึ?”
หัวหน้าองค์กรอินเดียเอ่ยตอบเสียงต่ำ “สถานการณ์โดยรวมนั้นมีองค์กรผู้กู้โลกเป็นผู้จัดแจง พวกนั้นกล่าวว่าพวกเราควรจะจัดเตรียมนักสู้ชั้นยอดมุ่งหน้าไปยังทุ่งหิมะเยือกแข็งอย่างเงียบเชียบผ่านทางปราการเทพธิดา ที่นั่นมีเส้นทางที่พวกมารทมิฬเปิดเอาไว้ให้ครับ”
ราชาสุริยันพยักหน้ารับ “ดีถ้างั้นเจ้าจงไปจัดแจงกำลังพลซะ ด้วยข้าที่อยู่ในร่างของเจ้าอย่างน้อยก็สามารถสำแดงพลังได้ระดับ..หากอิงจากระดับพลังของพวกเจ้าก็ควรจะอยู่ในระดับขอบเขตที่10เลเวล2สินะ ใช่แล้วเป็นขอบเขตที่10เลเวล2!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้หัวหน้าองค์กรอินเดียก็ยิ่งมั่นใจมากขึ้นไปอีก
‘ฝ่าบาทราชาสุริยันทรงพลังจริงๆ!’ เขาคิดกับตัวเอง
...
ทุ่งราบมหาสวรรค์ – ภายในห้องทำงานของชาโดว์
เบื้องหน้าของเขาคือชายหัวล้านผู้หนึ่ง
ชายหัวล้านผู้นี้คือนักสู้ขอบเขตที่9ผู้สร้างความอับอายให้แก่องค์กรผู้กู้โลก – แจ็ค
ถูกแล้ว ณ ปัจจุบันนั้นตัวเขาเป็นเพียงนักสู้ขอบเขตที่8เลเวล9เท่านั้น
“ท่านชาโดว์โปรดคิดวิเคราะห์เรื่องพันธมิตรให้ดีเถอะครับ การล้อมกรอบและล้างสังหารเผ่าเหมันต์คือเรื่องสำคัญที่สุด ท่านทูติไม่คิดจะปล่อยให้เผ่าพันธุ์อื่นมันยื่นมือมาชกฉวยผลประโยชน์อยู่แล้ว” แจ็คในเวลานี้ดูเหย่อหยิ่งจองหองยิ่งและคำกล่าวของเขาก็หาได้สุภาพไม่
ใบหน้าของชาโดว์ไม่มีเค้าลางความประหลาดใจแม้เพยีงนิดหากแต่เพียงพยักหน้ารับเบาๆ “ไม่ต้องห่วงทุ่งราบมหาสวรรค์เราจะเดินทัพและล่าถอยพร้อมๆกับองค์กรผู้กู้โลก เป้าหมายของพวกเรานั้นใกล้เคียงกัน”
“ถ้างั้นก็ดี องค์กรผู้กู้โลกยินต้อนรับท่านเสมอท่านชาโดว์” แจ็คยิ้มอย่างจองหอง
“จริงสิ ท่านชาโดว์โปรดจำไว้ด้วยว่าอย่าได้สร้างความวุ่นวาย เรื่องนี้ต้องทำให้เงียบเชียบและกวาดล้างพวกเผ่าเหมันต์ให้สิ้นซากให้คราวเดียว!” หลังจากกล่าวจบเขาก็หยิบหน้ากากขึ้นมาสวมก่อนจะหมุนตัวจากไป
“โอหังจริงๆ ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าหยุดมันเอาไว้ก่อน ด้วยนิสัยของราชันย์ผู้นี้ข้าคงจะสับมันเป็นชิ้นๆไปแล้ว” เงาร่างหนึ่งปรากฏตัวขึ้นด้านหลังของชาโดว์และนั่นก็คือราชันย์เว่ยหมิงผู้มีใบหน้าเย็นเยียบ
“ฝ่าบาท เหตุผลที่หมอนั่นมันจองหองขนาดนั้นก็เพราะเบื้องหลังขององค์กรผู้กู้โลกมีเผ่ามารทมิฬอยู่ ด้วยความแข็งแกร่งของท่านในตอนนี้เกรงว่าการจะปะทะกับเผ่ามารทมิฬซึ่งๆหน้าคงไม่เหมาะนัก” ชาโดว์หลุบตาลง
แววตาของราชันย์เว่ยหมิงเย็นเยียบขึ้นมา “ชาโดว์! เจ้าหมายความว่าเช่นไร? เจ้าคิดว่าข้าไม่แข็งแกร่งพอจะคุ้มครองเจ้าและทุ่งราบมหาสวรรค์รึ?”
“ผู้น้อยมิกล้า”
ราชาเว่ยหมิงแค่นเสียง “ไม่ต้องกังวลไป! ข้ามีวิชาลับที่สืบทอดกันมาของราชวงค์แดนต้นกก ตราบใดที่ข้าสามารถสังหารคนของเผ่าเหมันต์ได้จำนวนหนึ่งความแข็งแกร่งของข้าก็จักฟื้นคืนอย่างรวดเร็ว”
“ชาโดว์มิกล้าคลางแคลงในความแข็งแกร่งของฝ่าบาทขอรับ” ชาโดว์ยังคงหลบตาอีกฝ่ายและไม่แสดงสีหน้าแปลกๆใดๆออกมาเลย
...
ภาคีอัศวินแห่งความจริง – เมืองแห่งสัจจะ
ในเวลานี้ภายในเมืองได้มีการจัดงานครั้งยิ่งใหญ่
พระสันตะปาปาองค์ใหม่กำลังจะถูกแต่งตั้ง!
บรูโน่กำหมัดแน่นและจับจ้องมองไปยังบรรลังค์ของพระสันตะปาปาเขม็งด้วยสีหน้าไม่ยินยอม
“ทำไมหมอนั่นมันถึงได้เป็นพระสันตะปาปา!?” เขาคำรามออกมาในลำคอ
ผู้บัญชาการสูงสุดของกองอัศวินยื่นมือมาปิดปากของเขาและส่ายหัวเบาๆ “ระวังคำพูดคำจาและการกระทำของนายด้วย”
พระสันตะปาปาองค์ใหม่ราวกับจะสัมผัสได้ถึงเหตุการณ์เล็กๆน้อยๆนี้ของผู้บัญชาการสูงสุดและบรูโน่หากแต่อีกฝ่ายนั้นกลับเพียงยิ้มอ่อน
ผู้บัญชาการสูงสุดของกองอัศวินลอบถอนหายใจออกมาภายในใจ