ตอน 19 วีรบุรุษช่วยโฉมงาม? สุนัขยังไม่มองเลย!
“สมบัติไดมอนมาแล้ว ขอบคุณพวกชอบเลียนะ”
เฉินหยวนใจเต้นแรก สมบัติระดับแพลทตินัมนั้นยอดเยี่ยมจนบอกไม่ถูกอยู่แล้ว เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสมบัติระดับไดมอนจะมีอะไรรอเขาอยู่
แน่นอนว่าการไปถึงระดับไดมอนนั้นหมายถึงการสังหารศัตรูเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้
ไม่ว่าจะใช้วิธีการอะไรก็อาจจะทำภารกิจนี้ไม่สำเร็จ
โชคดีที่ระบบรางวัลนั้นไม่มีการจำกัดเวลา ทำให้เฉินหยวนมีเวลามากพอในการเตรียมตัว
อย่าวเลวร้ายที่สุดเขาก็แค่ทำตัวให้แข็งแกร่งในภายหลังและหาโอกาสลงมือ
ส่วนในตอนนี้
เฉินหยวนไม่คิดจะโจมตีศัตรูไปสักระยะ
“ท้องนภากว้างใหญ่ให้วิหคโบยบิน ทะเลก็กว้างให้เหล่ามัจฉาแหวกว่าย!”
เฉินหยวนมองไปข้างหน้าและหายตัวไปสู่ความมืดมิด
….
วันต่อมา
ยานลอยฟ้าขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย มันปิดบังท้องฟ้าจนมืดมิด เหนือยานลอยฟ้านั้นมีธงสีม่วงสะบัดอยู่พร้อมกับคำว่า ‘หยาง’ ขนาดใหญ่ปักเอาไว้
ยานลอยฟ้าของสำนักจื้อหยาง!
เมื่อพวกเขาเห็นยานลอยฟ้า คนจากสองตระกูลใหญ่ก็รีบออกมาด้วยความกังวล
หลินฉู่กลับมาแล้ว
“ขอคารวะเซียนแห่งสำนักจื้อหยาง!”
คนจากสองตระกูลพูดด้วยความนับถือ
เสียงดังอยู่เป็นระยะ
ในตอนนี้
สองคนบินออกมาจากยานลอยฟ้า เป็นผู้อาวุโสและเป็นเด็กหนุ่มหนึ่งคน
ทั้งสองสวมชุดคลุมสีม่วงและมีท่าทางยิ่งใหญ่ราวกับทวยเทพที่ลงมาจากสวรรค์ ความกดดันยิ่งใหญ่ทำให้ทั้งเมืองเทียนเซี่ยงหายใจไม่ออก
“เกิดอะไรขึ้นกับตระกูลหลินของเรา?”
ชายหนุ่ม หลินฉู่มองตระกูลหลินที่กลายเป็นซากปรักหักพังด้วยสีหน้าเย็นชาและจิตสังหารไร้สิ้นสุดในแววตา ทั้งตัวของเขาเปล่งความเยือกเย็นออกมาจนอุณหภูมิรอบตัวต่ำลง
เมื่อได้ยินอย่างนั้นคนอื่นก็ทำได้แค่ตอบตามความจริง
หลังจากได้ฟังคำอธิบายของทุกคน หลินฉู่หัวเราะด้วยความแค้น
“โดนทำลายจากผู้บ่มเพาะพลังขอบเขตบ่มเพาะร่างกาย?”
“คิดว่าหลินฉู่ผู้นี้เป็นเด็กสามขวบเรอะ?”
ความจริงมันลักลั่นเหลือเกิน
แม้แต่เด็กสามขวบก็เชื่อเรื่องนี้ไม่ลง
เพราะการที่คนในขอบเขตบ่มเพาะร่างกายจะทำลายล้างตระกูลหลินนั้น มันเป็นไปได้หรือ?
แม้ว่าอีกฝ่ายจะมาจากตระกูลใหญ่ก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะมีพลังแค่ขอบเขตบ่มเพาะร่างกาย
ไม่ว่าจะมองจากมุมใด มันก็ไม่ควรเป็นไปได้
“เรารู้ว่าท่านหลินจะต้องไม่เชื่อ แต่มันคือความจริง”
เจ้าเมืองเทียนเซี่ยงกัดฟันพูด
แม้ว่าพวกเขาจะไม่อยากเชื่อ แต่ความจริงมันอยู่ตรงหน้าพวกเขา
คนเดียวที่ตระกูลหลินจะไปล่วงเกินได้ก็คือผู้บ่มเพาะพลังไร้สังกัดคนนั้น หาใช่ใครอื่น
แน่นอนว่าความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลของพวกเขาไม่ดี แต่พวกเขาก็ไร้กำลังและไม่กล้าพอจะทำอะไรตระกูลหลิน
เพราะเมื่อใดก็ตามที่ลงมือไปแล้ว พวกเขาจะต้องเจอกับภัยพิบัติตามมาแน่นอน
หลินฉู่เก็บภาพวาดของเฉินหยวนและสั่ง
“ฆ่ามันให้หมด ให้มันตามหลุมศพพ่อข้าไป!”
“อย่าให้เหลือแม้แต่คนเดียว!”
เมื่อพูดจบหลินฉู่ก็บินกลับยานลอยฟ้าเหลือเพียงผู้อาวุโสเอาไว้
ทุกคนสีหน้าเปลี่ยนไปในทันที
ก่อนที่พวกเขาจะได้ทำอะไร แรงกดดันอันน่าสะพรึงกลัวก็กดทับลงมาแล้ว
ฝ่ามือใหญ่ยักษ์ประทับลงมือบนทั้งเมืองเทียนเซี่ยงแบนราบ ทุกสิ่งทุกอย่างโดนลบล้างหายไป
ทั้งเมืองหายวับไปในอากาศ เหลือเพียงรอยฝ่ามือลึกลงเท่านั้น
ราวกับว่าเมืองเทียนเซี่ยงไม่เคยมีมาก่อน
ส่วนทุกอย่างในเมืองเทียนเซี่ยงนั้น แน่นอนว่าตายหมดไม่เหลือ
ถ้าหากเฉินหยวนรู้เรื่องนี้ เขาคงจะขอบคุณตัวเองอย่างมากที่เขาหนีออกมาก่อน
ไม่อย่างนั้นเขาก็คงจะตายตามไปด้วย
…
เมื่อออกจากเมืองเทียนเซี่ยงมาแล้ว เฉินหยวนกำลังเดินไปตามทาง
แต่ตำแหน่งของเมืองเทียนเซี่ยงนั้นแปลกมาก มันไม่มีเหมืองเลยในระยะพันลี้
ระยะทางนี้หมายความว่าเฉินหยวนจะทำได้แค่พเนจรไปเรื่อย ๆ !
“ยังไม่ถึงขอบเขตแก่นแท้เลย ถ้าถึงขอบเขตแก่นแท้เมื่อไหร่เราจะบินได้”
เฉินหยวนรู้สึกสิ้นหวังเมื่อมองทุ่งหญ้าไร้สิ้นสุดตรงหน้า
แม้ว่าร่างกายของเขาจะดีกว่าคนธรรมดา แต่มันก็ยังเป็นร่างกายของมนุษย์อยู่ ต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งวันในการข้ามระยะพันลี้นี้
“ร่างเทพบรรพกาลนี่แข็งแกร่งจริง ๆ”
“ความเร็วในการฝึกฝนเพิ่มขึ้นเกือบสิบเท่าเลยแฮะ”
ขณะที่ฝึกฝน เฉินหยวนถึงได้รับรู้ของความต่างระหว่างคนธรรมดาและอัจฉริยะ
ด้วยสภาพร่างกายก่อนหน้านี้ของเขา การบ่มเพาะพลังนั้นไม่ต่างจากบีบเค้นยาสีฟันที่หมดหลอดแล้ว เขาเพิ่มพลังได้เพียงเล็กน้อยในแต่ละวัน
แต่หลังจากที่เขาได้ร่างมหาเทพบรรพกาลเดียวดายมา ทุกสิ่งก็ได้เปลี่ยนไป
ไม่เพียงแต่ความเร็วในการบ่มเพาะจะเร็วเป็นอย่างมากแล้ว แต่มันยังไหลลื่นอย่างดีอีกด้วย!
ในอดีตตอนที่เขาฝึกฝน เขามักจะรู้สึกว่าโดนบางอย่างกีดขวางอยู่เสมอ
แต่ตอนนี้ไม่ใช่อีกแล้ว
นั่นทำให้เฉินหยวนมีความสุขเป็นอย่างมาก
โดยเฉพาะร่างระดับจิตที่ยอดเยี่ยมโดยแท้จริง
“ขอบเขตบ่มเพาะร่างกายระดับเจ็ด ด้วยความเร็วระดับนี้ ถ้าได้รางวัลมาอีกก็น่าจะขึ้นไปถึงขอบเขตแก่นแท้ได้ในอีกไม่กี่วัน อย่างช้าสุดก็ครึ่งเดือน”
“ถ้าไปถึงขอบเขตแก่นแท้เมื่อไหร่ก็นับได้ว่าเราเป็นผู้บ่มเพาะพลังของจริง”
“แล้วก็จะบินได้ด้วย”
เพราะขอบเขตบ่มเพาะร่างกายนั้นเป็นขอบเขตที่แข็งแกร่งกว่าคนธรรมดาเท่านั้น ต่อให้จะมีพลังพิเศษอะไร แต่ความแตกต่างระหว่างคนธรรมดานั้นไม่ได้แตกต่างกันมาก
แต่การไปถึงขอบเขตแก่นแท้นั้นต่างกันโดยสิ้นเชิง
ไม่ว่าจะพลังในการบินบนอากาศหรือพลังอย่างอื่น เหล่านั้นล้วนไม่ใช่พลังที่ขอบเขตบ่มเพาะร่างกายจะมีได้
“วิชาลับที่ได้มามันสุดยอดไปเลย พอฝึกได้ไม่นานดวงวิญญาณของเราก็พัฒนาขึ้นมากแล้ว!”
“พอถึงขอบเขตแก่นแท้เมื่อไหร่ บางทีอาจจะควบคุมวิญญาณได้ก็ได้”
เฉินหยวนเองก็ยินดีกับพลังของวิชาสยบเก้าวิญญาณ
ก่อนที่เขาจะฝึกวิชาสยบเก้าวิญญาณนั้นเขาไม่มีสัมผัสรับรู้วิญญาณของตัวเองเลย
หลังจากฝึกแล้ว เขาสัมผัสมันได้อย่างชัดเจน
ยิ่งไปกว่านั้น เขายังควบคุมดวงวิญญาณของเขาเองได้และเพิ่มพลังการรับรู้ได้อีก
แม้ว่าจะเป็นไปไม่ได้ในการสังหารใครด้วยวิญญาณของเขาในตอนนี้ แต่มันก็ยังใช้ขู่คนอื่นได้ผ่านวิญญาณ
มันคือการจู่โจมทางจิตใจนั่นเอง
นี่คือสิ่งที่ดีที่เขาได้มา
ในตอนที่เฉินหยวนกำลังวิ่งอย่างรวดเร็วอยู่นั้นเองเขาก็ได้ยินเสียงดังมาจากข้างหน้า
สิ่งที่เขาเห็นคือกลุ่มคนกำลังล้อมและสังหารสาวงาม
นางมีร่างกายเร่าร้อน ดูดี และสัมผัสได้ถึงการยั่วยวนในทุกการเคลื่อนไหว
“ท่าน ช่วยข้าด้วย!”
เมื่อเห็นเฉินหยวนมา นางตาลุกวาว นางที่ดูอ่อนแอนั้นร้องขอความช่วยเหลือ
นางคิดว่าเฉินหยวนจะมาช่วยนาง
ใครจะไปรู้เล่าว่าเฉินหยวนจะเพียงแค่ปราดตามองและจากไป
ไร้ซึ่งการลงมือ
ตู้กู้หยุนบอกเขาว่าอย่ามีปฏิสัมพันธ์กับผู้ใดระหว่างช่วงเริ่มต้น
ไม่รู้ว่ามันจะเป็นเรื่องจริงหรือเท็จ แต่เมื่อสายสัมพันธ์เริ่มต้นแล้ว จะไม่มีอะไรดีตามมา
เป็นวีรบุรุษช่วยสตรีหรือ?
ขอโทษนะ ข้าขอเป็นคนตาบอดไปก่อนแล้วกัน
เมื่อเห็นเฉินหยวนหันมามองและวิ่งไป ทุกคนงุนงง
ชายหนุ่มคนนั้นเป็นอะไรกัน? เห็นเรื่องราวทั้งหมดแล้วยังไม่ทำอะไรอีกหรือ?
นี่ไม่ใช่สภาพจิตใจของคนหนุ่มเลย
การได้เห็นเฉินหยวนหนีนั้นทำให้นางโมโหเล็กน้อย
“ผู้หญิงอ่อนแออย่างข้าถูกรังแกแบบนี้ ท่านไม่คิดจะช่วยข้าหน่อยหรือ?”
ช่วย ล้อเล่นรึเปล่า?
เฉินหยวนไม่คิดจะสนใจอีกฝ่าย แทนที่จะหยุด เขากลับวิ่งให้เร็วขึ้น
“ไล่ตามไป ฆ่าเจ้านั่นให้ข้า!”
เมื่อเห็นเฉินหยวนไม่สนใจ สาวงามก็หยุดเสแสร้งและตะโกนด้วยความโกรธ
กลายเป็นว่าพวกเขาเพียงแค่แสดงละครเท่านั้น
เป็นเรื่องจริงที่ว่าจิตใจมนุษย์นั้นชั่วร้ายเหลือคณา
เมื่อเห็นมีหลายคนเข้ามา เฉินหยวนหยิบดีเสิทอีเกิลโดยไม่คิดอะไรอีก
ปั้ง ปั้ง ปั้ง
เสียงปืนดังหลายครั้ง คนล้มลงตามเสียงกระสุนปืน
ทั้งสองฝ่ายเป็นคนในขอบเขตบ่มเพาะร่างกาย พลังบ่มเพาะของพวกเขาไม่สูงนัก พวกเขาจึงป้องกันตัวจากกระสุนปืนไม่ได้
เมื่อเห็นคนของนางล้มลง สาวงามสีหน้าเปลี่ยนไป นางอ่อนโยนลงและพูดเสียงหวาน
“ท่าน ข้าคิดว่าเราอาจมีเรื่องเข้าใจผิดกัน ได้โปรดอย่าใส่ใจเลย ถ้าหากยินดี ข้ายินดีจะรับใช้ท่านไปตลอดชีวิต”
เฉินหยวนไม่พูดอะไร คำตอบเดียวที่นางได้รับคือเสียงปืน
ปั้ง
เสียงปืนทะลวงแหวกอากาศ สาวงามล้มลงกับพื้น
นางเบิกตากว้าง นางไม่เคยเข้าใจเลยว่าความตายรสชาติเป็นอย่างไรจนกระทั่งเฉินหยวนมอบกระสุนอันโหดเหี้ยมไร้ปราณีนี้