บทที่ 17 พฤกษาชำระเส้นเอ็น (2)
บทที่ 17 พฤกษาชำระเส้นเอ็น (2)
ภายหลังจี้กุนซือออกไปแล้ว หลี่เหยียนรู้สึกว่าลมปราณในร่างกายไหลเวียนสะดวกขึ้น มันเป็นเหตุให้เขายิ้มอย่างขื่นขม เพราะทุกครั้งที่อาจารย์อยู่ใกล้ เขาจะรู้สึกว่าลมปราณติดขัด
ปัจจุบันเขาเริ่มตั้งสติสงบจิตใจของตนเองเพื่อไม่ให้เกิดความคิดฟุ้งซ่าน เนื่องจากเตาสำริดจะเผาไหม้ได้ต่อเนื่องแค่หนึ่งชั่วยาม เขาไม่อาจปล่อยให้เวลาแห่งการฝึกฝนสูญเปล่า ยามนี้จึงเดินไปยังเตาสำริดและยืนตรง ก่อนจะยื่นมือทั้งสองข้างจุ่มลงในไอสีเขียวอมดำเหนืออ่างพลางท่องเคล็ดวิชาในใจ
ทันใดนี้เองที่ไอสีเขียวอมดำซึ่งห่อหุ้มมือทั้งสองข้างของเขาเหมือนจะถูกดึงดูดและแยกออกเป็นเส้นสีดำนับสิบ พวกมันเหล่านั้นพุ่งเข้าหาปลายนิ้วของเขา หลี่เหยียนรู้สึกราวกับมีเข็มแหลมที่ถูกเผาจนร้อนแดงกำลังพยายามงัดเล็บของตนออก มันแทบไม่ต่างอะไรกับการลอกเล็บทั้งเป็น ความเจ็บปวดพลันแล่นตรงไปยังจิตใจและสมอง
ถึงแม้ว่าหลี่เหยียนจะเตรียมใจเอาไว้แล้ว แต่ก็ไม่คาดคิดว่าจะเจ็บปวดถึงขั้นนี้ ถึงขนาดทำเขาต้องคร่ำครวญออกมา ท่ายืนตรงที่ควรนิ่งยังเริ่มสั่นเทา ร่างถอยหลังไปสองสามก้าว แต่เรื่องแปลกบังเกิด เพราะไอสีเขียวที่ถูกวิชาดึงดูดเข้าหาไม่สลายตัว มันยังคงตามเขามาและพุ่งเข้าสู่ร่างกายของเขาผ่านทางซอกเล็บ
ชุดคลุมสีดำของหลี่เหยียนพลันเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ เขาจึงกัดฟันและตั้งสติ ฝีเท้าก้าวออกไปด้านหน้า สุดท้ายกลับมายืนตรงอีกครั้งและโคจรวิชาต่อเนื่อง ไอสีเขียวอมดำที่เปรียบดังเข็มเงินถูกเผาร้อนจนแรง มันแทงผ่านเส้นชีพจรของเขาและเคลื่อนตัวไปต่อ ทุกตำแหน่งที่มันเคลื่อนผ่าน ร่างกายของเขาจะสั่นสะท้านพร้อมเหงื่อกาฬที่หลั่งออกมาเป็นชั้นประหนึ่งน้ำข้นเหนียว
เขาไม่ทราบด้วยซ้ำว่าตนเองจะยืนหยัดฝึกฝนเช่นนี้ได้นานแค่ไหน แต่ด้วยนิสัยที่เป็นคนอดทนอดกลั้น อะไรที่ตั้งจำแล้ว ถึงจะไม่อาจทำให้สมบูรณ์แบบ แต่ก็จะพยายามอย่างเต็มที่ เวลาเริ่มผ่านไปทีละน้อย จนท้ายที่สุดประสาทของเขาเริ่มด้านชา เหลือเพียงความคิดที่ยังโคจรวิชา เพื่อกระตุ้นไอสีเขียวอมดำให้ไหลเวียนไปทั่วร่างกาย
ข้างนอก จี้กุนซือยังคงนั่งขัดสมาธิบนโต๊ะหิน แม้ดวงตาหลับอยู่ แต่เปลือกตากระตุกเป็นครั้งคราว เผยให้เห็นถึงท่าทีความไม่สบายใจ จนกระทั่งเวลาผ่านไปครึ่งชั่วยาม เขาลืมตาขึ้นพร้อมหายตัววับไปจากโต๊ะหิน ประตูบ้านหินที่หลี่เหยียนพักอยู่พลันเปิดออกราวกับมีพลังที่มองไม่เห็นกระแทกใส่
ปัจจุบันหลี่เหยียนกำลังเผยสีหน้าเขียวคล้ำ ตั้งแต่มือจนถึงแขนทั้งสองข้างมีแต่ไอสีดำปกคลุม เขาหมดสติไปแล้ว เป็นเหตุให้การโคจรวิชาไม่อาจดำเนินต่อได้อีก ร่างกายกำลังโอนเอนไปด้านหลัง แต่เพราะไอสีดำที่ยังยึดติดอยู่กับนิ้วทั้งสิบ มันโค้งตามร่างกายที่เอนไปด้านหลังจนดูแปลกประหลาด ขณะที่เขากำลังจะล้มลงกับพื้น ตอนนี้เองที่มีร่างหนึ่งปรากฏขึ้นด้านหลัง
ร่างนั้นใช้แขนเสื้อสะบัดก็ม้วนตัวหลี่เหยียนขึ้นมา ภายหลังจึงสะบัดแขนเสื้ออีกข้างเพื่อปัดเป่าไอสีดำทั้งสิบสาย เสียง “เป๊าะ” ดังขึ้นเบา ๆ พร้อมกับไอสีดำที่ขาดออกจากนิ้วทั้งสิบของหลี่เหยียน ทว่าร่างกายของหลี่เหยียนยังคล้ายจะมีแรงดูด ไอสีดำที่ขาดออกไปแล้วยังคงลอยล่องในอากาศ ประหนึ่งงูพิษที่กำลังบิดตัวพยายามจะเคลื่อนที่เข้าหาหลี่เหยียน มันถือเป็นภาพที่ทั้งแปลกประหลาดและน่าสะพรึงกลัว
จี้กุนซือไม่คิดสนใจไอสีดำเหล่านั้น เขาแค่สะบัดแขนเสื้อเพื่อม้วนตัวหลี่เหยียน ก่อนจะใช้พลังที่สงบพยุงหลี่เหยียนลอยตัวไปยังเตียงและบรรจงวางร่างลง ถัดจากนั้นจึงเดินมาที่ข้างเตียง เพียงใช้สองมือโบกไปมา ไม่ช้าจึงประสานเป็นมุทราที่ซับซ้อน ก่อนที่แสงดาวสีเขียวจะพุ่งออกจากปลายนิ้วไปยังท้องของหลี่เหยียน
หลี่เหยียนรู้สึกราวกับอยู่ท่ามกลางภูเขาไฟ มันเป็นความรู้สึกปวดแสบปวดร้อนไปทั่วร่างกาย เขาอยากจะร้องออกมา แต่เสียงไม่อาจเปล่งออก มันเป็นความทรมานอันสาหัส หินหลอมเหลวสีแดงเพลิงจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังล้อมตัวเขาเอาไว้ ราวกับคิดจะเผาทั้งร่างให้สุก จนเขารู้สึกเสมือนตนเองกำลังจะตายอยู่ในภูเขาไฟแห่งนั้น
แต่ทันใดนี้เองที่มีความรู้สึกเย็นสบายผุดขึ้นมาในช่องท้อง ภูเขาไฟและหินหลอมเหลวเริ่มเลือนหายไป จิตใจของเขาปลอดโปร่งยิ่งขึ้น เพียงลืมตา ก็พบว่าตนเองนอนราบอยู่บนเตียง ข้างเคียงมีอาจารย์ในชุดคลุมสีดำยืนนิ่ง เขาพยายามจะลุกขึ้นนั่ง แต่ความรู้สึกเจ็บแปลบที่หน้าอกและช่องท้องเป็นเหตุทำให้คร่ำครวญออกมา สุดท้ายจึงนอนลงไปอีกครั้ง พร้อมความรู้สึกประหนึ่งมีประกายไฟพุ่งออกมาตรงหน้า ภูเขาไฟในร่างกายคล้ายจะปะทุขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
เขานอนอยู่บนเตียง เมื่อตั้งสติได้แล้วจึงหันมองผู้เป็นอาจารย์และฝืนยิ้ม “อะ... อาจารย์ขอรับ ศิษย์ไร้ความสามารถ ทำให้อาจารย์ผิดหวัง...”
“ไม่ใช่เช่นนั้น อย่าได้กล่าวโทษตนเอง ครั้งแรกก็สามารถยืนหยัดได้นานกว่าครึ่งชั่วยามก็ทำอาจารย์ประหลาดใจมากแล้ว ทำได้ดีมาก” จี้กุนซือยิ้มส่งให้อย่างอ่อนโยน
“เช่นนั้น... หมายความว่า... ศิษย์สามารถฝึกฝนวิชาของสำนักได้แล้วหรือขอรับ” หลี่เหยียนพยายามเอ่ยถามออกมาด้วยความยากลำบาก
“แน่นอน แม้ตอนนี้เจ้าจะรู้สึกทรมาน แต่ก็ต้องรีบกลั่นสรรพคุณจากยาสมุนไพรที่ดูดกลืนเข้าไป หากไม่แล้วฤทธิ์ของยาจะตกค้างในร่างกาย สุดท้ายเป็นโทษมากกว่าประโยชน์ ยามใดกลั่นสรรพคุณเหล่านั้นเรียบร้อย พลังที่เกิดขึ้นก็เป็นของเจ้าเอง ถือว่าเสร็จสิ้นการฝึกฝนครั้งหนึ่ง”
หลี่เหยียนทราบดี เมื่อก่อนอาจารย์เคยบอกเอาไว้ ว่าการฝึกฝนทุกวันจะแบ่งออกเป็นสองขั้นตอน นั่นคือการดูดซับสรรพคุณยาสมุนไพร และกลั่นไปเป็นพลังของตนเอง ทำเช่นนี้ทั้งสิ้นสี่สิบเก้าวันจึงบรรลุสู่ขั้นแรก สุดท้ายเกิดพลังภายในขึ้นมา หลังจากนั้นร่างกายจะมีพื้นฐานจนไม่ต้องดูดซับสรรพคุณจากยาสมุนไพรอีกต่อไป และสามารถฝึกฝนเช่นนั้นต่อได้เรื่อย ๆ
หลี่เหยียนสูดลมหายใจเข้าลึก อดทนต่อความเจ็บปวดแสบร้อนในร่างกาย เขายันกายลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิ หลับตาลง และเริ่มโคจรลมปราณเพื่อกลั่นพลังยาในร่างกาย
จี้กุนซือที่พบเห็นดังนี้จึงหันกลับเดินออกไปอย่างเงียบงัน และนั่งขัดสมาธิเหนือโต๊ะหินนอกบ้านอีกครั้ง ยามเมื่อนั่งลงเรียบร้อย เขาพึมพำกับตนเองว่า “เป็นเด็กที่มีจิตใจเข้มแข็ง แต่ภายหลังกลั่นพลังยาแล้วไม่ทราบเลยว่าจะยังสงบนิ่งได้อยู่หรือไม่” ภายหลังพึมพำจบคำ เขาก็เริ่มจมไปกับห้วงความคิดของตนเอง
นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา หลี่เหยียนเริ่มการฝึกฝนอันเจ็บปวด ดูดซับยาเข้าสู่ร่างกาย กลั่นพลังยา เสริมสร้างเส้นชีพจร วันแล้ววันเล่าผ่านไป แต่ช่วงเวลาที่เขาดูดกลืนยาแล้วยังคงสติสัมปชัญญะได้นั้นเริ่มยาวนานมากขึ้น แม้ว่าทุกเจ็ดวันพลังยาจะเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว แต่ความเจ็บปวดในการดูดกลืนเริ่มลดน้อยลง
ทางด้านจี้กุนซือ แม้ช่วงแรกคอยให้ความช่วยเหลือ แต่ช่วงหลังมองว่าเขาสามารถฝึกฝนด้วยตนเองได้ มันเป็นเพราะเส้นชีพจรในร่างกายของหลี่เหยียนแข็งแกร่งขึ้นตลอดเวลา ตอนแรกที่มันเหมือนท่อเล็กที่บอบบาง ยามเมื่อพลังยาเข้าไปขยายเส้นชีพจรอย่างรุนแรง มันย่อมเกิดซึ่งความเจ็บปวดทรมาน และเมื่อกลั่นพลังยาสู่ร่างกาย เส้นชีพจรเล็กใหญ่ในร่างกายของเขาจะเริ่มขยายขนาดใหญ่ขึ้น เพราะเส้นชีพจรหลักขยายขนาดและแข็งแรงมากขึ้น ความเจ็บปวดจึงลดทอนลง
“ฮู่ว” หลี่เหยียนถอนหายใจลากยาวพร้อมจบการโคจรลมปราณกลั่นพลังยาในวันนี้ เขาไม่ได้รีบลุกขึ้นยืน แต่ยังคงนั่งขัดสมาธิ ลืมตาขึ้น และขมวดคิ้วพลางเกิดความรู้สึกหงุดหงิดใจ สุดท้ายสูดลมหายใจเข้าลึกอีกครั้ง เขาได้พบว่ายิ่งฝึกฝนไปเรื่อย อารมณ์ของตนเองจะยิ่งหงุดหงิดง่าย ราวกับมีไฟก้อนหนึ่งวิ่งพล่านไปทั่วร่างกายจนทำให้หงุดหงิด
ประเด็นนี้เขาเคยสอบถามแล้ว จี้กุนซือกล่าวว่ามันคือผลข้างเคียงจากการชำระล้างร่างกายด้วยพลังยา เพราะพลังยาที่แข็งแกร่งจะทำให้เส้นชีพจรแข็งแกร่ง มีแต่ร่างกายเช่นนี้จึงสามารถควบคุมวิชาอันร้ายกาจของสำนักได้ ขอเพียงครบสี่สิบเก้าวันและบรรลุสู่ขั้นแรก อาการเหล่านี้จะเริ่มดีขึ้น และเมื่อฝึกฝนต่อไปก็จะหายไปเอง
หลี่เหยียนที่ได้ฟังจึงนึกถึงวิทยายุทธ์อันล้ำเลิศของผู้เป็นอาจารย์ มองว่าสมเหตุและสมผล แต่ในใจยังมีความกังวล และทุกครั้งที่คิดเช่นนั้น เขาจะรู้สึกว่ามันไร้ที่มาที่ไป
ภายหลังตัดความคิดเหล่านั้นออกไป หลี่เหยียนเกิดรู้สึกหงุดหงิดใจอีกครั้ง และความหงุดหงิดนี้ทำให้เขาไม่อาจสงบจิตใจในเวลาฝึกฝน
หลี่เหยียนลุกขึ้นยืนแล้วเปิดประตูออกไป ปัจจุบันเป็นช่วงกลางคืน แต่เพราะความอึดอัดใจ เขาตัดสินใจไปเดินเล่นในหุบเขา เพราะตั้งแต่เริ่มการฝึกฝน เขาก็เอาแต่วุ่นวายกับการฝึกทุกวี่วันจนแทบไม่เคยได้พักผ่อน แต่วันนี้เพราะความหงุดหงิดในใจจึงทำให้เขาอยากหาที่ระบายและไม่อยากอยู่ห้อง
เขาเดินไปเรื่อยๆ โดยไม่มีจุดหมายในหุบเขา ลมฤดูใบไม้ร่วงในยามค่ำคืนพัดผ่านใบหน้า ความเย็นยะเยือกทำให้เขารู้สึกโล่งใจขึ้นมาก เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ รับไอเย็นในสายลม เขาเดินช้าๆ ในหุบเขา หุบเขานี้ไม่ได้ใหญ่มากนัก เมื่อเดินไปครึ่งรอบ เขาก็มาถึงริมบ่อน้ำ รู้สึกถึงความหนาวเย็นที่พัดเข้ามา จิตใจสงบลง รู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาในทันที
เพียงเดินมาถึงริมบ่อน้ำ ความหนาวเย็นยิ่งรุนแรงขึ้น เขารู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก หลี่เหยียนรู้สึกดีจึงนั่งลงข้างบ่อน้ำ นั่งอยู่ครึ่งชั่วยาม เมื่อลุกขึ้นยืน ความร้อนรุ่มในร่างกายก็หายไปหมด แต่เกิดอาการง่วงขึ้นมาแทน จึงเดินกลับไปที่ห้อง แล้วล้มตัวลงนอนหลับไป
รุ่งสาง หลี่เหยียนตื่นขึ้นพร้อมความรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่า การฝึกฝนยี่สิบกว่าวันที่ผ่านมา ทำให้ร่างกายของเขาแปรเปลี่ยนไปไม่น้อย จนไม่ได้หลับสนิทเช่นเมื่อคืน
ภายหลังตื่นนอน หลี่เหยียนยืนหน้าโต๊ะพลางรับชมหมอกเบาบางที่ลอยล่องเหนือบ่อน้ำนอกหน้าต่างด้วยดวงตาเป็นประกาย เขารีบเดินไปยังบ้านหินของอาจารย์ เพียงมาถึง เขาจึงได้ยินเสียงอันคุ้นเคยและอบอุ่นของจี้กุนซือ “มาแล้วก็เข้ามาสิ”
ตั้งแต่หลี่เหยียนเริ่มฝึกฝน เขาแทบไม่ได้มาหาอาจารย์ มีแต่อาจารย์ที่ส่วนใหญ่จะมาหา เพราะทุกครั้งที่ปรุงยาเสร็จ อาจารย์จะคอยเฝ้าอยู่หน้าบ้าน
“ขอรับอาจารย์” หลี่เหยียนพยักหน้ารับและรีบเดินเข้าไปด้านใน เมื่อเข้ามาแล้ว จึงได้พบว่าอาจารย์ยังคงนั่งขัดสมาธิที่โต๊ะ มือข้างหนึ่งยังคงถือหนังสือตำราเล่มหลักของสำนัก สุดท้ายจึงเงยหน้ามองเขาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แต่เขาก็ไม่ทราบว่าด้วยเหตุผลอะไร ทุกครั้งที่พบเจออาจารย์ เขามักจะรู้สึกว่าลมปราณในร่างกายเกิดอาการติดขัด
“วันนี้เจ้าดูสดชื่นดีนะ คล้ายว่าจะค้นพบอะไรบางอย่างในหุบเขาแห่งนี้เข้าแล้ว” จี้กุนซือมองหลี่เหยียนที่ยืนตรงหน้าพลางพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“อาจารย์ทราบว่าศิษย์จะมาหาหรือขอรับ?” หลี่เหยียนถามด้วยความสงสัย
“เจ้าน่าจะค้นพบแล้ว ว่าบ่อน้ำนั่นสามารถบรรเทาความร้อนรุ่มในร่างกายของเจ้าได้” จี้กุนซือยิ้มออกมา
“เป็นเช่นนั้นขอรับ ที่แท้อาจารย์ก็รู้ถึงสรรพคุณของบ่อน้ำนั้นตั้งนานแล้ว” หลี่เหยียนเอ่ยถาม
“แน่นอน อาจารย์เลือกหุบเขาแห่งนี้ใช้พำนักอาศัย ก็เพราะทราบสรรพคุณอันหนาวเย็นของบ่อน้ำนั่น”
“เช่นนั้น... เหตุใดท่านอาจารย์ไม่ให้ศิษย์ไปฝึกที่นั่นเล่าขอรับ?” หลี่เหยียนเอ่ยถามด้วยความลังเล
"ฮ่าๆ วิธีการฝึกฝนขั้นต้นของสำนักเรานั้นค่อนข้างรุนแรง ศิษย์ของสำนักเราเวลาฝึกฝนขั้นต้น ก็มักจะเกิดอาการแบบนี้ วิธีแก้ไขก็มีอยู่หลายวิธี เช่น การหมกมุ่นอยู่กับสิ่งที่ตัวเองชอบ เพื่อให้จิตใจสงบ เช่น การเล่นดนตรี การวาดภาพและอีกสารพัด หรือใช้วิธีภายนอกมาบรรเทาความร้อนในร่างกายโดยตรง เช่น หินน้ำแข็ง ภูเขาหิมะ บ่อน้ำเย็นอะไรพวกนี้" จี้กุนซือเว้นวรรค แล้วมองไปที่หลี่เหยียน
หลี่เหยียนไม่ได้ถามต่อ เขารู้ว่าอาจารย์กำลังจะเฉลยให้ฟัง
เมื่อจี้กุนซือเห็นหลี่เหยียนสงบนิ่งเช่นนี้ ก็อดถอนหายใจในใจไม่ได้ ‘เด็กคนนี้ ชอบสงบใจและครุ่นคิด’
ถัดจากนั้นจี้กุนซือจึงกล่าวต่อ "ที่ไม่ให้เจ้าไปฝึกที่ริมบ่อน้ำตอนนั้น ก็เพราะว่าตอนเริ่มฝึกฝน ควรจะใช้ความอดทนของตัวเองเพื่อฝึกฝนจิตใจ หากเริ่มต้นด้วยการพึ่งพาสิ่งภายนอก เมื่อฝึกฝนไปเรื่อย ๆ สรรพคุณก็จะลดลง กลับทำให้การฝึกฝนผิดพลาด ดังนั้น อาจารย์จึงไม่ได้บอกเจ้าเรื่องนี้ เพราะกลัวว่าเจ้าจะอดใจไม่ไหว จนละทิ้งการฝึกฝนของตัวเองไป"
เมื่อหลี่เหยียนได้ฟัง ก็นึกในใจว่า ‘ที่แท้ก็มีเหตุผลเช่นนี้นี่เอง วิธีแก้ไขมากมายเหล่านั้น ใช้ได้ไม่ง่ายเลย’ แล้วโค้งคำนับ "ศิษย์ผิดไปแล้วขอรับ"
จี้กุนซือโบกมือ "ไม่ใช่ความผิดของเจ้า แต่อาจารย์ไม่ได้บอกเจ้าชัดเจนเอง" จากนั้นเขาก็ครุ่นคิดแล้วพูดว่า "ดูจากการฝึกฝนหลายวันที่ผ่านมา เจ้าน่าจะถึงจุดอ่อนล้าแล้ว แต่ตอนนี้ก็อย่าเพิ่งไปฝึกที่ริมบ่อน้ำ
อาจารย์จะใช้วิธีอื่นช่วยเจ้าขจัดอาการผิดปกติที่เกิดขึ้นระหว่างฝึกฝน รอจนกว่าเจ้าจะครบสี่สิบเก้าวัน ก้าวเข้าสู่ขั้นแรกเสียก่อนค่อยไปฝึกที่ริมบ่อน้ำ ตอนนั้นผลลัพธ์จะดีที่สุด เมื่อก้าวเข้าสู่ขั้นแรกแล้ว ก็สามารถไปฝึกที่นั่นได้ตลอด"
หลี่เหยียนได้ยินดังนั้นก็ดีใจ "แล้ว... อาจารย์จะใช้วิธีใดหรือขอรับ?"
"ตอนที่เจ้าฝึกฝนวันนี้ก็จะรู้เอง" จี้กุนซือยิ้ม แต่ไม่ยอมบอก
หลี่เหยียนได้แต่ยิ้มอย่างขมขื่น แล้วขอตัวกลับไป
หลายชั่วยามต่อมา เมื่อหลี่เหยียนดูดซับยาเข้าสู่ร่างกายแล้ว ก็เริ่มนั่งขัดสมาธิกลั่นพลังยา ไม่นานนัก ความร้อนรุ่มจึงพลุ่งพล่านในร่างกาย หลี่เหยียนพยายามระงับหลายครั้ง แต่ก็ระงับไม่อยู่ จิตใจไม่สงบ ความหงุดหงิดมีแต่จะพลุ่งพล่านขึ้นเรื่อย ๆ
ทันใดนั้น ก็มีเสียงกู่ฉินพลันดังมาจากหน้าต่าง ฟังแล้วสงบเยือกเย็น ประหนึ่งพระจันทร์ในฤดูใบไม้ร่วง เปรียบดังกระต่ายหยกกำลังขึ้นทางทิศตะวันออก เหมือนดังสายลมพัดผ่านใบไม้ในป่า ทันใดนั้นเองที่เหมือนเสียงกระซิบของหญิงสาว ราวหยาดน้ำค้างยามเช้าที่ชโลมจิตใจ หลี่เหยียนรู้สึกเย็นใจขึ้น ความหงุดหงิดค่อย ๆ จางหายไป จิตใจสงบลง
เขารู้ทันทีว่าอาจารย์ใช้วิธีใด ที่แท้อาจารย์มีฝีมือการเล่นกู่ฉินที่ล้ำลึกถึงขั้นนี้ ที่สามารถเปลี่ยนเสียงดนตรีเป็นภาพ ทำให้จิตใจสงบ ทำให้เขาไม่กล้าคิดฟุ้งซ่านอีกต่อไป ตั้งใจจดจ่อ จนเข้าสู่สภาวะที่ลืมตัวตนไป