บทที่ 16 พฤกษาชำระเส้นเอ็น (1)
บทที่ 16 พฤกษาชำระเส้นเอ็น (1)
แสงแรกของวันเริ่มส่องขึ้นจากทางเหนือของหุบเขา นกน้องเจื้อยแจ้วขับขานพลางบินไล่กันไปมาในป่าเขียวขจี ยามเมื่อเวลาผ่านไป ดวงอาทิตย์จึงเคลื่อนขึ้นสู่จุดสูงสุดเหนือฟากฟ้า เหนือหุบเขา และเริ่มเคลื่อนคล้อยต่อไปทางยอดเขาฝั่งตะวันตก จนกระทั่งพลบค่ำจึงค่อยลาลับไปหลังยอดเขา ความมืดเริ่มแผ่ปกคลุมผืนดิน เหลือเพียงเสียงจักจั่นร้องดังระงมเป็นระยะ
วันเวลาผันผ่าน หลี่เหยียนเริ่มฝึกฝนมาได้เกือบเก้าวันแล้ว นอกจากเวลาชำระล้างร่างกายและมื้ออาหาร หลี่เหยียนจะเปิดประตูห้องเพียงแค่ครู่เดียว ส่วนที่เหลือนั้นจะปิดประตูเงียบอยู่ตลอด
ภายในห้อง หลี่เหยียนในชุดตัวยาวสีดำกำลังนั่งขัดสมาธิบนเตียงไม้ ดวงตาหลับลงเล็กน้อย ขณะมือทั้งสองข้างประสานเป็นรูปมุทราวางไว้บริเวณหน้าท้อง ลมหายใจต่อเนื่องสม่ำเสมอ ภายหลังผ่านไปไม่นาน เขาค่อยลืมตาขึ้นด้วยคิ้วขมวดแน่น เพราะช่วงเกือบเก้าวันที่ผ่านมา เขาฝึกฝนอย่างขยันขันแข็ง แต่ก็ยังไม่อาจปลุกพลังปราณในตันเถียนได้
แน่นอนว่าเคยไปสอบถามจากอาจารย์แล้ว จี้กุนซือให้คำตอบว่าการฝึกฝนระยะนี้จะขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล บ้างก็อาจใช้เวลาสามถึงห้าวัน บ้างก็สิบวันถึงครึ่งเดือนจึงสามารถปลุกพลังปราณในตันเถียนได้ ในเส้นทางแห่งการฝึกฝน ห้ามใจร้อน มีแต่ต้องสงบจิตสงบใจ แต่... มันก็ผ่านมาเกือบสิบวันแล้ว เขายังไม่อาจหาความรู้สึกในการฝึกฝนที่ว่านั้นเจอ ไม่แปลกหากจะเกิดรู้สึกท้อแท้ขึ้นมาบ้าง
ยามนี้เขาลุกจากเตียงและผลักประตูเปิดออกไปภายนอก เพื่อรับชมท้องฟ้าที่เริ่มหม่นแสง พลางออกไปเดินเล่นในหุบเขาอย่างเชื่องช้าและพินิจถึงความหมายในแต่ละถ้อยคำและแต่ละตัวอักษรในบทท่องจำ เป็นการเดินไปพลางคิดไปพลาง ทันใดนี้เองที่ได้ยินเสียงน้ำไหลเอื่อย เขาเดินมาถึงริมบ่อน้ำโดยไม่รู้ตัว ภายหลังฟังเสียงน้ำตกที่ไหลลงจากหน้าผา พลางชมแสงจันทร์เสี้ยวที่สาดส่องลงสู่เบื้องล่าง
น้ำตกที่ไหลรินทำให้จิตใจของเขาสงบได้ และทันใดนี้เอง เขารู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นในใจ มันทำให้เขายืนนิ่งอยู่ตรงนั้นจนไม่ทราบว่าเวลาผ่านไปนานเพียงใด เพราะตอนนี้เองที่เขารู้สึกเหมือนมีไอเย็นบางอย่างภายในร่างกาย มันสอดคล้องกับเสียงน้ำตก เขาจึงนั่งขัดสมาธิริมสระน้ำ
เคล็ดวิชาชี้นำลมปราณที่วนเวียนในหัวตลอดหลายวันที่ผ่านมาพลันราบรื่นขึ้นมาเสียอย่างนั้น ด้วยเวลาเพียงไม่นาน ใบหน้าของเขาเริ่มปรากฏไอสีดำลอยล่อง และมันไม่ได้ทำให้เขาดูประหลาด แต่กลับให้ความรู้สึกเย็นยะเยือกประหนึ่งมีน้ำเย็นปกคลุมแผ่ซ่านไปทั่วทั้งกาย
ช่วงเวลาเช่นตอนนี้ หลี่เหยียนไม่รู้สึกตัวเลยแม้แต่น้อย เขาทราบเพียงแค่ในหัวมีแค่เสียงน้ำตกที่ดังก้อง และตามจังหวะการหายใจเข้าออก อะไรบางอย่างเริ่มแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย ไม่ช้า เขาเริ่มรู้สึกได้ถึงไอเย็นบางอย่างที่ผุดขึ้นมาจากตันเถียนและไหลต่อเนื่องไปตามเส้นชีพจรที่เคล็ดวิชาชี้นำลมปราณนำพา
ทุกตำแหน่งที่ไอเย็นเคลื่อนผ่าน เส้นชีพจรบริเวณนั้นจะเย็นวาบขึ้นมา ทว่าไม่ใช่เป็นความรู้สึกหนาวเย็น แต่เป็นความรู้สึกประหนึ่งมัจฉาในห้วงน้ำ ไอเย็นเริ่มไหลเวียนต่อเนื่องไปตามเส้นชีพจรจนครบรอบ ตันเถียนเริ่มรู้สึกเย็นมากขึ้น จนกระทั่งเย็นยะเยือกไปทั้งกาย
ภายในกระท่อมหินทางตะวันออกของหุบเขา จี้กุนซือกำลังนั่งขัดสมาธิหลับตาบริเวณโต๊ะ แต่แล้วทันใดนี้เองที่เขาลืมตาตื่นขึ้น ใบหน้าเผยรอยยิ้มพลางพึมพำกับตนเอง “ในที่สุด... ก็สัมผัสได้ถึงพลังปราณในฟ้าดินแล้วสินะ ดูเหมือน... จะได้เวลาเริ่มเตรียมสมุนไพรเสียแล้ว น่าสนใจดีจริง ๆ” ภายหลังพึมพำจบ เขาจึงหลับตาลงอีกครั้ง
ภายหลังจากนั้นไม่นาน หลี่เหยียนค่อยลืมตาตื่นขึ้น หุบเขายังคงเป็นเช่นเดิม น้ำตกบนหน้าผายังคงไหลรินเช่นที่เคยเป็น เพียงแต่พระจันทร์เสี้ยวได้หายลับไปจากท้องฟ้าเสียแล้ว ยามนี้เป็นเวลาเที่ยงคืน เขาเผยท่าทีลังเล เพราะคืนในฤดูใบไม้ร่วงค่อนข้างหนาวเย็น
แต่หลี่เหยียนกลับไม่รับรู้ถึงความหนาวเย็นจากภายนอก เพราะไอเย็นในร่างกายของเขามันรุนแรงยิ่งกว่า ทำให้ร่างกายในปัจจุบันไม่รู้สึกว่าตรงใดไม่สบาย แต่กลับรู้สึก ว่าประสาทสัมผัสทั้งหลายเฉียบคมมากยิ่งกว่าที่เคยเป็น กระทั่งว่าร่างกายเบาย่อง กระนั้น... เขาจำได้ว่าในเคล็ดวิชาชี้นำลมปราณกล่าวเอาไว้ ว่าการปลุกพลังปราณในตันเถียนควรเป็นกระแสความร้อน
แต่เหตุใดมันถึงกลับกันเสียได้ หรือว่าเขาฝึกฝนส่วนใดผิดพลาด หากว่าเป็นเช่นนั้น เขาจะเป็นเหมือนดังอดีตศิษย์พี่หรือไม่ เมื่อคิดได้ดังนั้น เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกระวนกระวายใจ ขณะกำลังลังเลและลุกขึ้นยืน ตอนนี้กลับรู้สึกว่าไอเย็นในตันเถียนติดขัด มันไหลเวียนไม่สะดวก เขาถึงขั้นชะงัก แต่ทันใดนี้เองที่เสียงหนึ่งดังขึ้นข้างหู “หลี่เหยียน เจ้าฝึกฝนขั้นต้นสำเร็จแล้ว ถือว่าไม่เลว”
เมื่อได้ยินเสียง เขาสะดุ้งตกใจและรีบหันกลับไปมอง พบเห็นเป็นร่างในชุดคลุมสีดำยืนอยู่ด้านหลังอย่างเงียบงัน ทว่าเขาก็คลายความระวัง เพราะเสียงนั้นคือผู้เป็นอาจารย์ เขากระทั่งรีบร้อนคำนับ “อาจารย์ ท่านยังไม่พักผ่อนหรือขอรับ” ขณะที่ในใจของเขารู้สึกแปลกใจ เพราะพลังภายในภายในของอาจารย์ลึกล้ำยิ่งใหญ่ เพราะเพียงแค่ร่างกายของเขามีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย อีกฝ่ายกลับรับรู้ถึงได้ นับเป็นความเก่งกาจอันไม่อาจประเมิน
แม้ว่าในยามนี้แสงจันทร์ที่เคยสาดส่องในหุบเขาจะลาลับไปแล้ว แต่ท่ามกลางแสงดาวพร่างพราวบนฟากฟ้า หลี่เหยียนยังพอจะมองเห็นใบหน้าของผู้เป็นอาจารย์ได้ ว่าอีกฝ่ายกำลังเผยยิ้มบาง ยามนี้เองที่เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงลังเล “ศิษย์... ศิษย์ยังไม่แน่ใจว่าใช่สำเร็จหรือไม่ขอรับ”
“โอ้? อาจารย์สัมผัสได้ถึงพลังปราณในตันเถียนของเจ้าแล้ว คิดว่าน่าจะสำเร็จแล้ว” จี้กุนซือกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“เพียงแต่... สิ่งที่ศิษย์รู้สึกได้นั้นเป็นไอเย็นยะเยือก ไม่ใช่ความรู้สึกอบอุ่นในตันเถียนดังเช่นที่เคล็ดวิชาอธิบายเอาไว้นะขอรับ” หลี่เหยียนตอบตามตรงพร้อมเผยสีหน้าท่าทีกังวล
จี้กุนซือที่ได้ยินจึงเกิดรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่ครู่ถัดมาก็ยิ้มรับ “เรื่องนี้... อาจารย์ไม่ได้อธิบายให้เจ้าฟังโดยละเอียดพอ เคล็ดวิชาชี้นำลมปราณเป็นเพียงแค่การปลุกพลังปราณในตันเถียน แต่ละคนที่ถูกปลุกพลังปราณขึ้นมาจะรู้สึกแตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นปวดเมื่อย ชา คัน เย็น ร้อน ความหลากหลายค่อนข้างมากมายเลยทีเดียว แต่โดยทั่วไปแล้ว อาการรู้สึกอุ่นหรือร้อนคือสิ่งที่พบเจอได้บ่อยที่สุด เคล็ดวิชาที่อาจารย์มอบให้จึงกล่าวเพียงแค่สิ่งที่พบบ่อย เรื่องนี้ไม่ต้องเป็นกังวล”
หลี่เหยียนที่ได้ยินจึงผ่อนลมหายใจออกด้วยความโล่งอก ความกังวลที่เคยมีพลันเลือนหายพลางคิดในใจว่า ‘ถัดจากนี้ หากว่ามีข้อสงสัยใดก็ควรถามอาจารย์โดยตรง ไม่ใช่คิดเองเออเองเช่นนี้จนทำให้กลัวไปก่อนเสียเปล่า’
จี้กุนซือราวกับมองเห็นท่าทีของหลี่เหยียนผ่านความมืด ยามนี้จึงหัวเราะเสียงเบา “หลายวันมานี้เจ้าคงเหน็ดเหนื่อยไม่น้อย วันนี้ไม่ต้องฝึกฝนต่อแล้ว รีบไปนอนเสีย พรุ่งนี้ค่อยเริ่มฝึกวิชาเงาพฤกษาอย่างเป็นทางการ”
“ขอรับอาจารย์ เช่นนั้นศิษย์ขอตัว” หลี่เหยียนที่ได้ยินจึงยินดี เพราะมันหมายความว่าเขาผ่านในส่วนของพื้นฐานแล้ว และมีคุณสมบัติที่จะฝึกฝนวิชาที่แท้จริงได้ อันที่จริงเขาเองก็อยากจะฝึกวิชาเสียเดี๋ยวนี้ แต่อีกใจก็ทราบดีว่าไม่อาจรีบร้อน
เกือบสิบวันที่ผ่านมา แม้ว่าเขาจะไม่ได้ใช้กำลังกายมากมายนัก แต่จิตใจกลับถูกใช้งานจนเหนื่อยล้า เขาจึงรีบเดินกลับไปยังบ้านหินของตนเอง และยามเมื่อก้าวเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ตอนนี้เองที่ความรู้สึกติดขัดในตันเถียนเริ่มลดลงไปมาก จนเขาอดไม่ได้ที่จะชื่นชมพลังภายในของผู้เป็นอาจารย์ เพราะเมื่อก่อนตอนที่เขายังไม่มีพลังปราณก็ไม่เคยรู้สึกเช่นนี้ แต่ตอนนี้มีแล้วกลับทำให้รับรู้ถึงแรงกดดันจากผู้เป็นอาจารย์
จี้กุนซือมองหลี่เหยียนเดินลับสายตาไป สุดท้ายจึงหันหลังกลับและหายวับไปจากตำแหน่งที่เคยอยู่ ชั่วพริบตาพลันปรากฏตัวในห้องของตนเอง เพียงสะบัดแขนเสื้อ เขาจึงกวาดประตูให้ปิดลงอย่างเงียบงันและนั่งลงบนโต๊ะอีกครั้งหนึ่ง สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนไปมาพลางครุ่นคิดในใจ
‘ที่แท้... พลังปราณในฟ้าดินที่เขารับรู้ได้ก่อนคือพลังแห่งน้ำ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น... ตอนที่ทดสอบด้วยเข็มครั้งก่อน ไอสีดำที่เด่นชัดที่สุดก็เป็นเรื่องจริง เช่นนั้นการฝึกวิชาเงาพฤกษาอาจไม่ใช่ทางเลือกที่ดีที่สุด แต่โชคดีที่เขาครอบครองรากวิญญาณหลายธาตุ จากที่ดูครั้งก่อน ไอสีเขียวยังพอมีให้พบเห็น เป็นรองก็เพียงแค่พลังแห่งน้ำ ยังพอฝึกฝนได้อยู่ ทว่า... คงต้องใช้เวลานานขึ้นพอสมควร จนอาจารย์คนนี้เริ่มไม่แน่ใจว่าจะสามารถระงับพิษจนการฝึกฝนวิชาลุล่วงด้วยดีได้หรือไม่’
จี้กุนซือครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ สุดท้ายจึงส่ายศีรษะเผยยิ้มอันขื่นขม “แค่มีคนที่สองปรากฏให้พบเจอก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว ยังจะหวังอะไรอีกงั้นหรือ จะมีอะไรดีไปกว่านี้ ไม่มีแล้วเสียด้วยซ้ำ พรุ่งนี้เริ่มเลยก็แล้วกัน อย่างไรร่างกายของอาจารย์ผู้นี้ก็รอไม่ไหวแล้ว” คิดได้ดังนั้น จี้กุนซือจึงหลับตาลงเข้าสู่ห้วงสมาธิ
รุ่งเช้าวันถัดมา หลี่เหยียนตื่นขึ้นด้วยความรู้สึกสดชื่นแจ่มใส่ อารมณ์ของเขากำลังสดใสเหมือนดังท้องฟ้าสีครามในฤดูใบไม้ร่วง ภายหลังจัดการมื้อเช้าเรียบร้อย เขาจึงรีบไปยังหน้าบ้านของผู้เป็นอาจารย์ และเช่นเคย เพียงมาถึงหน้าประตู เสียงของจี้กุนซือก็ดังขึ้นให้ได้ยิน “หลี่เหยียนหรือ เข้ามาสิ”
แม้ช่วงหลายวันมานี้หลี่เหยียนจะออกจากห้องเพียงไม่กี่ครั้ง แต่เขาก็รู้สึกได้ว่าทุกสองสามวันอาจารย์จะออกไปภายนอก ส่วนเวลาที่เหลือจะเก็บตัวฝึกฝนอยู่ในบ้านหินแห่งนี้
หลี่เหยียนเข้าไปด้านในบ้านเป็นเวลานานครึ่งวัน จนเมื่อเขากลับไปแล้ว จี้กุนซือจึงเดินออกมาเชื่องช้าพลางเรียกเฉินอันและหลี่อินมาบอกกล่าว ถัดจากนั้นจึงเดินตรงไปยังบ้านหินหลังที่สอง ผ่านไปไม่นาน เฉินอันและหลี่อินจึงยกเตาสำริดอันวิจิตรงดงามมาวางไว้ตรงหน้าห้องของหลี่เหยียน
ขณะที่หลี่เหยียนก็ทำตามคำสั่งของผู้เป็นอาจารย์ นั่นคือรอคอยอยู่ในห้อง ยามพบเห็นคนทั้งสองมาถึง จึงเชื้อเชิญให้ยกเตาสำริดเข้ามาในห้อง และเพราะบ้านหินหลังที่เขาอยู่อาศัยกว้างขวาง จะวางมันเอาไว้ตรงไหนก็ย่อมได้
เตาสำริดนี้สูงประมาณครึ่งตัวคน สร้างขึ้นจากสำริดชั้นดี ทั่วทั้งเตาสะท้อนแสงสาดส่อง ด้านล่างเป็นฐานหยกที่แข็งแรง รอบเตาแกะสลักเอาไว้ด้วยรูปมังกรสีม่วงถึงสามตัว หัวมังกรเหล่านั้นเชิดขึ้น คาดว่าเป็นรูปทรงรองรับน้ำหนัก ที่ตัวมังกรและเตามีช่องว่างเล็ก ๆ ให้สามารถมองเห็นด้านในเตาได้ และตอนนี้ด้านในเตาเป็นสีแดงเพลิง ไม่ทราบว่าเชื้อเพลิงคืออะไร แต่กลับไม่มีควันให้พบเห็น มีก็เพียงความร้อนที่แผ่ออกมาจากเตา
ประมาณหนึ่งเค่อ จี้กุนซือจึงเดินออกมาจากกระท่อมหินหลังที่สอง ใบหน้ายามนี้มีสีเขียวอมเทา ท่าทีดูเหนื่อยล้า เฉินอันและหลี่อินก็เข้าไปด้านในบ้านหลังนั้นเช่นกัน ไม่ช้าอ่างสำริดจึงถูกยกออกมาจากกระท่อม มันมีไอร้อนลอยล่องออกมา สุดท้ายจึงนำอ่างไปวางไว้บนหัวมังกรทั้งสามของเตาสำริดในบ้านหลี่เหยียน ก่อนจะคำนับจี้กุนซือและหลี่เหยียน สุดท้ายปิดประตูแล้วเดินจากไป
จี้กุนซือเดินมาหน้าเตาสำริด ใบหน้าที่เหนื่อยล้าเผยรอยยิ้มออกมาให้เห็น และบอกกับหลี่เหยียนว่า “เคล็ดวิชาที่อาจารย์บอกเจ้าเมื่อเช้า จำได้หรือไม่?”
หลี่เหยียนยืนตรงหน้าเตาสำริดและตอบด้วยท่าทีนอบน้อม “ศิษย์จำได้แล้วขอรับ”
“ดี แม้ว่าเคล็ดวิชาแต่ละขั้นไม่ได้มีมากมาย แต่ความหมายนั้นลึกซึ้ง มันต้องทำความเข้าใจอย่างถี่ถ้วน อาจารย์ใช้เวลาครึ่งวันอธิบายให้ฟัง ก็เพื่อให้เจ้าเข้าใจวิธีการใช้เคล็ดวิชาขั้นแรกอย่างถ่องแท้ ส่วนที่เหลือนั้นขึ้นอยู่กับการฝึกฝนของตัวเจ้าเอง ดังคำกล่าวว่า อาจารย์นำพาส่งที่หน้าประตู การบำเพ็ญเพียรอยู่ที่ตัวบุคคล หลักการนี้ในยุทธภพไม่เคยแปรเปลี่ยน” จี้กุนซือพยักหน้ารับ
“ศิษย์จะขยันฝึกฝนขอรับ ขอบคุณท่านอาจารย์ที่ชี้แนะ” หลี่เหยียนตอบรับด้วยท่าทีนอบน้อมเช่นเคย
ปัจจุบัน อ่างสำริดที่วางไว้บนเตาสำริดยังมีไอร้อนพวยพุ่งออกมา หากมองให้ใกล้จะพบเห็นหมอกควันลอยคลุ้งภายในอ่าง รวมถึงสมุนไพรหลายชนิดลอยอยู่ในน้ำ พวกมันกำลังปล่อยไอสีเขียวอมดำออกมาและลอยวนเหนืออ่าง
“การปรุงยาสมุนไพรนี้ขึ้นมาถือเป็นเคล็ดลับในสำนัก ยาสมุนไพรอ่างนี้สามารถใช้ซ้ำได้ถึงเจ็ดวัน ภายหลังจากนั้นจะสิ้นสรรพคุณและต้องปรุงขึ้นใหม่ แต่ปริมาณอาจเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ทำซ้ำเช่นนี้เจ็ดวันเจ็ดสัปดาห์ รวมเป็นสี่สิบเก้าวัน เส้นชีพจรของเจ้าจะผ่านกระบวนการชำระล้างและเสริมสร้างจนแข็งแกร่งยิ่งขึ้น
และมีแต่เส้นชีพจรนี้จึงสามารถทนต่อการโคจรของพลังภายในอันแข็งแกร่งของสำนักเราได้ และแค่เส้นชีพจรที่ผ่านการฝึกฝนสี่สิบเก้าวัน มันจะเทียบเท่ากับยอดฝีมือระดับสองหรือสามในยุทธภพได้แล้ว หากคนทั่วไปคิดก้าวไปให้ถึงขั้นนั้นต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่าสิบปี
แต่สำนักเรามีวิธีชำระเส้นชีพจรด้วยเคล็ดวิชาลับจึงสามารถไปถึงขั้นดังกล่าวได้ เพียงแต่... ระหว่างกระบวนการเจ้าจะต้องทนความเจ็บปวดทรมาน คนที่ไม่มีความมุ่งมั่นจะไม่อาจทำได้สำเร็จ ทั้งหมดขึ้นอยู่กับตัวเจ้าเองแล้ว เข้าใจใช่หรือไม่?” ยามพูดกล่าวถึงตรงนี้ น้ำเสียงของจี้กุนซือพลันจริงจังขึ้นมา
“ศิษย์ทราบแล้วขอรับ และจะไม่ทำให้อาจารย์ต้องผิดหวัง” หลี่เหยียนมองตอบผู้เป็นอาจารย์ด้วยสายตาแน่วแน่ เพราะเมื่อเช้าเขาถูกย้ำเตือนถึงเรื่องนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า และเขาเป็นคนที่จิตใจเข้มแข็ง ทราบดีว่าไม่มีอะไรที่ได้รับมาโดยเปล่า วิทยายุทธ์ของสำนักที่แข็งแกร่งเช่นนี้ กระบวนการได้รับมาย่อมยากลำบาก เขาเตรียมใจเอาไว้แล้ว
“ดี เช่นนั้นก็เริ่มได้ อาจารย์จะคอยเฝ้าอยู่ด้านนอก หากมีอะไรผิดปกติจะได้พร้อมเข้าช่วยเหลือโดยทันที” กล่าวคำจบเขาไม่พูดอะไรอีก เพียงแค่เปิดประตูเดินออกไป ปิดประตูและนั่งขัดสมาธิบริเวณโต๊ะหินหน้าห้องเพื่อทำสมาธิ