14 - องค์ชายเสเพล
14 - องค์ชายเสเพล
หยางฟ่านหมกมุ่นอยู่กับความก้าวหน้าในการบ่มเพาะของตน โดยไม่รู้ตัวเลยว่าเขาได้กลายเป็นเป้าหมายของความอิจฉาริษยาจากผู้อื่นไปเสียแล้ว
เวลาผ่านไปสองชั่วยาม
พลังของยาบำรุงปราณหมดสิ้นลง
หยางฟ่านค่อยๆ ลืมตาขึ้น สองตาเปล่งประกายวาบราวกับแสงสวรรค์ แม้ทั่วร่างจะเปียกชุ่มและดูอิดโรยไปบ้าง แต่เพียงมองแค่แววตาก็ให้ความรู้สึกทรงพลังอย่างประหลาด
เมื่อมองไปรอบๆ ก็พบว่าเสี่ยวเหลียนจื่อและคนอื่นๆ กำลังจ้องมองเขา
หยางฟ่านอ้าปากจะกล่าวบางอย่าง แต่ก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี
ความแตกต่างในการบ่มเพาะที่เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ได้ก่อให้เกิดรอยร้าวเล็กๆ ในกลุ่มของพวกเขา ยกเว้นเสี่ยจู้จื่อที่ยังคงไร้เดียงสา
เสี่ยจู้จื่อแสดงท่าทางตื่นเต้น กล่าวพร้อมออกท่าทางประกอบว่า
"เสี่ยวฟ่าน เจ้าเก่งมากเมื่อครู่! แม้การเคลื่อนไหวของเจ้าจะดูช้า แต่พลังกลับมหาศาลขนาดนั้น ข้าว่าหมัดเดียวของเจ้าคงทำให้ข้าปลิวกระเด็นได้แน่ๆ!"
หยางฟ่านเข้าใจนิสัยจริงใจและซื่อตรงของเสี่ยจู้จื่อ จึงไม่ลังเลที่จะถ่ายทอดประสบการณ์ให้
"การบ่มเพาะต้องอาศัยพลังโลหิต ข้าชะลอการเคลื่อนไหวพร้อมกับควบคุมพลังโลหิตให้ไหลช้าลง ทำให้พลังถูกสะสมและระเบิดออกมาอย่างรุนแรง จึงเกิดเป็นภาพเมื่อครู่"
"อย่างนั้นเองหรือ"
เสี่ยจู้จื่อพยักหน้าเหมือนจะเข้าใจแต่ก็ยังดูงุนงง
ขณะที่เสี่ยวเหลียนจื่อและเสี่ยวหลิงจื่อต่างมีสีหน้าครุ่นคิด
หยางฟ่านที่เริ่มจับพลังโลหิตได้อย่างคล่องแคล่ว ดูเหมือนจะมีประสบการณ์มากกว่าพวกเขา ใบหน้าเรียบเฉยของเขาแฝงไว้ด้วยความรู้ลึกซึ้งขณะถ่ายทอดความรู้นั้น
เสี่ยวเหลียนจื่อพยักหน้าเล็กน้อย จดจำความหวังดีนี้ไว้ในใจ
ส่วนเสี่ยวหลิงจื่อยังคงมีท่าทีเย็นชา
หลังจากทั้งหมดล้างตัวและเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว ก็ตรงไปยังห้องพักของเหล่าข้ารับใช้
ทันทีที่เข้าไปก็ได้กลิ่นหอมโชยมา
เมื่อเดินสำรวจรอบๆ ในที่สุดก็พบว่ากลิ่นหอมนั้นมาจากไก่แก่ที่ถูกเคี่ยวในหม้อเหล็กด้วยไฟอ่อนนานกว่าหนึ่งชั่วยาม
"วันนี้อาหารดีขนาดนี้เลยหรือ"
เสี่ยวเหลียนจื่อที่สนิทสนมกับกลุ่มนางกำนัลและขันทีรีบชะโงกหน้าไปดู น้ำลายแทบไหล
ขันทีสาวน้อยคนหนึ่งกล่าวด้วยใบหน้ามีความสุข
"เป็นคำสั่งของหลี่กงกง ต่อไปนี้เราจะได้รับอาหารระดับนี้ทุกวัน พวกเราช่างโชคดีจริงๆ!"
ดวงตาของหยางฟ่านฉายแววความคิด
เขาเข้าใจทันทีว่านี่เป็นกลยุทธ์ของหลี่กงกงในการรวบรวมใจคน
ภายในตำหนักชั้นในนี้เปรียบเสมือนสังคมย่อส่วน
ไก่แก่วันละตัว แม้จะดูเป็นการให้เพียงเล็กน้อย แต่กลับสร้างความแตกต่างอย่างชัดเจนระหว่างคนในตำหนักฉางชิงกับกลุ่มข้ารับใช้อื่นๆ เมื่อเวลาผ่านไป ย่อมก่อให้เกิดความสามัคคีเป็นหนึ่งเดียว
และเมื่อถึงเวลาต้องเผชิญหน้ากับแรงกดดันจากฮองเฮา ผู้คนในตำหนักย่อมพร้อมใจร่วมต้านศัตรู ลดโอกาสที่จะเกิดความไม่พอใจ
"จิ้งจอกเฒ่าจริงๆ"
หยางฟ่านอดไม่ได้ที่จะคิดในใจ
เขาตักซุปไก่พร้อมเห็ดใส่ปาก รู้สึกอุ่นสบายไปทั่วร่าง ความเหนื่อยล้าจากการฝึกเมื่อเช้าหายเป็นปลิดทิ้ง
หลังรับประทานอาหารเสร็จ พวกเขาก็รีบมุ่งหน้าไปยังตำหนักฉางชิง
แสงอรุณยามเช้าสาดส่องลงบนพระตำหนัก สะท้อนประกายระยิบระยับ ชวนให้รู้สึกถึงความโอ่อ่าสง่างามแห่งราชวงศ์
เมื่อเข้าไปถึงในตำหนัก พวกเขาในฐานะข้ารับใช้มีอิสระพอสมควร อย่างน้อยก็ไม่ต้องทำความสะอาดพระตำหนัก สามารถพักผ่อนได้
"หลี่กงกง"
หยางฟ่านที่กำลังเหม่ออยู่นั้นก็ได้สติ เมื่อหลี่กงกงเดินออกมาจากข้างใน
"เตรียมตัวให้พร้อม ไปปรนนิบัติเฉินเฟยที่สวนหลวง"
"ทราบแล้ว"
พวกเขาตอบรับอย่างรวดเร็ว และรีบเตรียมตัว
ไม่นานทุกอย่างก็พร้อม
เฉินเฟยออกมาจากตำหนัก นางสวมกระโปรงผ้าไหมสีแดงสดปักลายอย่างประณีต พร้อมด้วยผ้าคลุมไหล่ขาวถักด้วยเส้นทอง ยกผมสูงอย่างวิจิตรประดับด้วยเครื่องเพชรอันงดงาม
ดวงตาคู่งามเหมือนสายน้ำ ดั่งห้วงมหาสมุทรที่ลึกล้ำ มีเสน่ห์เย้ายวนเกินห้ามใจ
หยางฟ่านรู้สึกคอแห้งเล็กน้อย
ผู้หญิงคนนี้...
งามเย้ายวนเสียจนเข้าไปถึงจิตใจ
เทียบได้กับตำนานนางสนมต๋าจี๋แห่งราชวงศ์ซาง(เรื่องที่มีนาจาเป็นตัวเอง) เพียงแค่กิริยาเล็กน้อยก็ชวนให้จิตใจหวั่นไหว
ขบวนเดินทางไปยังสวนหลวง
เฉินเฟยทอดสายตามองวิวที่งดงามรอบตัว ความอึดอัดในใจผ่อนคลายลงบ้าง
หลี่กงกงได้รายงานเรื่องการเป็นเป้าหมายของฮองเฮาในเช้าวันนั้น ทำให้นางรู้สึกหนักใจ
ไม่นึกเลยว่าเหตุผลจะเกี่ยวกับองค์ชายสิบสาม
นางเพิ่งเข้าวังได้ไม่นาน เคยพบองค์ชายสิบสามเพียงไม่กี่ครั้ง แต่เรื่องราวเสเพลของเขาก็เป็นที่เลื่องลือ
ยิ่งเมื่อนึกถึงการที่เขาส่งคนปลอมตัวเป็นนางออกไปสำเริงสำราญ ยิ่งทำให้นางรู้สึกรังเกียจจับใจ
นี่มันช่างเป็นการทำให้ราชวงศ์ต้องเสื่อมเสียเกียรติอย่างยิ่ง
หากข่าวนี้แพร่ออกไป คงสร้างความวุ่นวายใหญ่โตไม่น้อย
ในขณะนั้นเอง
"องค์ชาย โปรดหยุดก่อน ด้านหน้า..."
เพี๊ยะ!
เสียงฝ่ามือกระทบใบหน้าดังขึ้น ตามด้วยเสียงดุด่าของบุรุษ
"เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใคร กล้าขวางทางของข้า รีบหลีกไปเดี๋ยวนี้!"
ชายหนุ่มผู้สวมชุดหรูหราเดินปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าทุกคน
เขาดูอายุเพียงสิบห้าถึงสิบหกปี ใบหน้าหล่อเหลา ท่วงท่าสง่างาม แต่ดวงตากลับมีร่องรอยหมองคล้ำ พร้อมแววตาเจ้าชู้
องค์ชายสิบสาม!
จูจ้าวหลิน!
เขามาทำอะไรที่นี่กัน?
สีหน้าของเฉินเฟยเปลี่ยนไปเล็กน้อย ขณะที่หลี่กงกงรีบก้าวออกมายืนขวางหน้าจูจ้าวหลิน ไม่ให้เข้าใกล้แม้แต่ก้าวเดียว แล้วโค้งตัวลงอย่างนอบน้อม
"คารวะองค์ชายสิบสาม"
แต่จูจ้าวหลินแม้ไม่ชายตาแลหลี่กงกงแม้แต่น้อย สายตาของเขามองตรงไปที่เฉินเฟยเพียงผู้เดียว
เขาก้าวเท้าจะเดินอ้อมไป แต่หลี่กงกงก็ก้าวขวางอีกครั้ง
ทำให้สีหน้าของจูจ้าวหลินเริ่มมืดครึ้ม
"เจ้าแก่นี่ เจ้าทำแบบนี้ตั้งใจจะขวางข้าหรือไร เจ้ามองไม่เห็นหรือว่ากำลังขวางทางข้าอยู่!"
เขาจ้องหลี่กงกงด้วยสายตาอำมหิต
แต่หลี่กงกงกลับไม่แสดงท่าทีสะทกสะท้าน
"ไม่ทราบว่าองค์ชายสิบสามเสด็จมาที่นี่ด้วยธุระอันใด?"
"เรื่องของข้า เจ้ามีสิทธิ์จะถามหรือ?"
สีหน้าของจูจ้าวหลินยิ่งบึ้งตึง สายตาเลี่ยงผ่านหลี่กงกงแล้วเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มอ่อนโยนขณะมองเฉินเฟย
"เฉินเฟย ไม่นึกเลยว่าพวกเราจะได้พบกันที่นี่ บังเอิญจริงๆ!
ข้าคิดว่าพระสนมอาจยังไม่คุ้นเคยกับสถานที่นี้นัก มิสู้ให้ข้าพาพระองค์เดินชมรอบๆ จะเป็นอย่างไร?"
คำพูดนี้ทำให้เหล่านางกำนัลและขันทีรอบข้างตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว
เขาช่างบังอาจนัก!
ในฐานะองค์ชาย กลับกล้าทูลเชิญพระสนมของฮ่องเต้เที่ยวชมสวนหลวง
นั่นคือพระสนมของบิดาเขาเอง!
หากเรื่องนี้หลุดรอดออกไป องค์ชายสิบสามอาจเอาตัวรอดได้ แต่เฉินเฟยอาจต้องพบจุดจบที่ไม่อาจคาดเดาในตำหนักลึก
แม้แต่หยางฟ่านก็ไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะกล้าแสดงออกอย่างอุกอาจเช่นนี้
พฤติกรรมที่ไร้ยางอายเช่นนี้ สะท้อนถึงการตามใจอย่างมากจากฮองเฮา จนทำให้เขากลายเป็นเช่นนี้ได้
………..