ตอนที่แล้วบทที่ 4: ขอลาหยุด
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 6: สุนัขเขี้ยวเพลิง

บทที่ 5: ตำราอสูร


นาทีต่อมา

เสียงของแม่เธอดังกว่าปกติเล็กน้อย แต่สีหน้าของเธอยังคงรักษาความสงบเอาไว้ “แม่จะไปห้องน้ำหน่อยนะ”

พนักงานพูดขึ้น “เลี้ยวซ้ายข้างหน้าแล้วเลี้ยวขวาตรงสุดทางเลยค่ะ”

แม่พยักหน้ารับเป็นเชิงเข้าใจ และยกขาเดินไปทางขวาในทันที

“คุณผู้หญิง ห้องน้ำอยู่ทางซ้ายมือค่ะ” พนักงานเตือน

แผ่นหลังของแม่ของเธอแข็งทื่ออยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเธอก็เลี้ยวซ้ายราวกับว่าเมื่อครู่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เฉียวซางอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขบขัน มุมปากของเธอโค้งมนขึ้น

ภาพลักษณ์หญิงแกร่งยุคใหม่ของแม่เริ่มพังทลายไปเรื่อยๆแล้ว

จากนั้นเธอก็หันความสนใจกลับมาที่สุนัขเขี้ยวเพลิง

เฉียวซาง สังเกตเห็นว่าเหล่าสุนัขเขี้ยวเพลิงเต็มไปด้วยความกระตือรือร้นและพลังงานอันล้รี่ไม่มีสักตัวเดียวนั่งนิ่งเงียบๆ

ไม่แปลกเลยที่พวกมือใหม่จะนิยมเลือกพิราบอวบ...

เฉียวซางไม่สามารถค้นหาทั้งหมดด้วยตัวเองได้ จึงถามว่า “มีสุนัขเขี้ยวเพลิงที่มีนิสัยเงียบๆ บ้างไหมคะ?”

พนักงานตอบอย่างมีชั้นเชิงว่า “จริงๆแล้ว เรายังมีสัตว์อสูรอื่นๆ อีกมากมายในฐานเพาะเลี้ยงของเรา”

เฉียวซางเข้าใจความนัยนั่นทันที

แม้เธอจะไร้ประสบการณ์ในฐานะผู้ฝึกสัตว์อสูร แต่ชาติที่แล้วเธอก็เป็นผู้ใหญ่และมีความยับยั้งชั่งใจที่ดี เธอไม่ถูกความอยากได้ครอบงำโดยไร้สติ

เมื่อเป็นเช่นนั้น เธอจึงตัดสินใจมุ่งเน้นไปที่การเลือกสุนัขเขี้ยวเพลิงที่สะดุดตาเธอมากที่สุด

“ขอดูเจ้าตัวนั้นได้ไหมคะ”

เฉียวซางสังเกตเห็นสุนัขเขี้ยวเพลิงตัวหนึ่งพุ่งชนต้นไม้อย่างไม่ลดละ—ไม่ใช่พฤติกรรมที่ทำขึ้นมาส่งๆหรือประมาทเลินเล่อ ท่าทางมันเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นทะเยอทะยาน

เธอแอบคิดว่าเป้าหมายที่มันอยากจัดการไม่ใช่ต้นไม้แต่เป็นตัวมันเอง

ไม่งั้นมันจะมีหมาตัวไหนชนต้นไม้ไปเรื่อยๆอย่างไร้จุดหมาย?

“แน่นอนค่ะ” พนักงานกล่าว

เธอเป่านกหวีดที่ห้อยคอเอาไว้ ส่งเสียงแหลมสูงออกมา

สุนัขเขี้ยวเพลิงทุกตัวหยุดกิจกรรมของพวกมัน รวมถึงการต่อสู้ และหันความสนใจไปที่เธอ

บางตัวเริ่มเอียงศรีษะ

"ย่าห์?"

ถึงเวลาข้าวเที่ยงแล้วเหยอ?

เมื่อไฟที่ลุกโหมกระหน่ำบดบังเส้นทางจางหายไป พนักงานก็ตรงปรี่เข้าไปหาสุนัขเขี้ยวเพลิงพร้อมหิ้วคอมันมา

"ย่าห์?"

สุนัขเขี้ยวเพลิงกระพริบตาด้วยความสับสน หูสั่นกระดิกรัวคล้ายเจ้าเข้า

สุนัขเขี้ยวเพลิงถูกวางไว้ข้างหน้าเฉียวซาง

มันเป็นสัตว์อสูรสุนัขขนาดเล็กที่มีขนสีแดงเปลวไฟตัดด้วยแถบสีดำและมีขนสีส้มกระจุกตัวกันบริเวณศีรษะ

สุนัขเขี้ยวเพลิงที่อยู่ตรงหน้าเธอสูงประมาณ 60 ซม. ตัวเล็กกว่าเพื่อนร่วมเผ่าอย่างชัดเจน

มีรอยช้ำจางๆจากการชนต้นไม้เมื่อครู่ ม่านตาสีดำของมันส่องประกายชวนหวานซึ้งเชิญชวนให้เข้าไปลูบไล้

ต่างจากสุนัขเขี้ยวเพลิงตัวอื่นๆ เจ้าตัวน้อยนี้ดูน่าสงสารและน่าเอ็นดูมาก

จิตใจของเฉียวซางมโนขึ้นเองเออเองว่าเจ้านี่ต้องเป็นตัวที่อ่อนแอและถูกรังแกโดยฝูงของมัน ไม่มีอาหารให้กินมากพอจนทำให้เกิดภาวะขาดสารอาหาร และที่ต้องทนทรมาณซ้อมกับตัวเองก็เพื่อให้ได้รับการยอมรับ

การชนต้นไม้น่าจะเป็นความพยายามที่จะฝึกฝนทักษะพิเศษบางอย่าง

บางทีอาจคล้ายกับทักษะจำพวกเพลิงทะยานละมั้ง

พนักงานอธิบายว่า “เจ้าสุนัขเขี้ยวเพลิงตัวนี้อายุน้อยที่สุดของฐานเพาะเลี้ยงเราแล้ว มันพึ่่งจะอายุครบ 1 เดือนไม่นานมานี้”

ดังนั้นมันไม่ใช่ว่ามันอ่อนด๋อย แต่มันแค่ยังเด็กสินะ...

นี่นับเป็นข้อดี อันที่จริงผู้ฝึกสัตว์อสูรหลายคนมักชอบเลี้ยงสัตว์อสูรของตนตั้งแต่ระยะฟักไข่เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นและความเข้าใจกับพวกมัน

เฉียวซางเคยพิจารณาซื้อไข่สัตว์อสูรเฉกเช่นเดียวกัน แต่ก็ล้มเลิกความคิดนี้ไปอย่างรวดเร็ว

ท้ายที่สุดเธอยังต้องไปโรงเรียนอยู่ และการเอาไข่ไปโรงเรียนด้วยมันน่าจะไม่ค่อยปลอดภัย

จะทิ้งมันไว้ที่บ้านในขณะที่แม่ของเธอออกไปทำงานก็ทำให้เธอไม่สบายใจเช่นกัน

เฉียวซางหมอบลงและลูบหัวสุนัขเขี้ยวเพลิงเบา ๆ สุนัขเขี้ยวเพลิงพริ้มตาลงอย่างพอใจ หางสีแดงของมันกระดิกตามสัญชาตญาณ

น่ารักแถมนิสัยยังดีอีกต่างหาก

สัมผัสขนนุ่มๆในมือ ยิ่งทำให้กราฟความพึงพอใจของเธอพุ่งทะยาน

เธอมองเข้าไปในดวงตาของสุนัขเขี้ยวเพลิงและยิ้ม “เด็กน้อยอยากไปกับฉันไหม”

ขณะเดียวกันสีหน้าของพนักงานก็เริ่มแข็งแปลกๆ อันที่จริงเจ้าสุนัขเขี้ยวเพลิงตัวนี้มันไม่ได้เป็นหมาที่ดีแบบที่เด็กสาวคิด

มันนำความเยาว์วัยของมันของมันมาใช้ประโยชน์ คอยกลั่นแกล้งและหาเรื่องเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์ตัวอื่นอยู่บ่อยครั้ง

สุนัขเขี้ยวเพลิงตัวนี้เห็นชัดว่ามันเพิ่งเกิด ยังไม่ปลุกทักษะใดๆขึ้นมา กรงเล็บมันยังไม่พัฒนาเต็มที่เลยด้วยซ้ำ

ดังนั้นหมาตัวอื่นๆเลยปล่อยมันไป บางครั้งก็ตามน้ำ แสร้งร้องโอดครวญพ่ายแพ้ ตามใจเจ้าตัวน้อยจนเคยตัว จนเจ้านี่มีนิสัยหยิ่งทะนงเพราะคิดว่่าหมาตัวอื่นในฐานไม่สามารถเทียบกับมันได้เลยแม้แต่น้อย

ในฐานะพนักงานมืออาชีพ เธอรับรู้ได้เป็นอย่างดีว่าลูกค้าที่มาใช้บริการนั้นต้องการสัตว์อสูรแบบไหน

เห็นชัดว่าเด็กสาวคนนี้ต้องการสุนัขเขี้ยวเพลิงที่นิสัยสงบเสงี่ยมเรียบร้อย

เธอควรจะพูดดีไหม?

ที่ฐานนี้ไม่มีสุนัขเขี้ยวเพลิงแบบที่ว่า ที่นี่ไม่มีหมานิสัยดี!

ขณะเธอกำลังจะพูด ภาพของค่าคอมมิชชั่นที่จะได้ บ้านหลังใหม่ และลูกชายที่อยู่ชั้นประถม 4 ก็แวบเข้ามาในหัว สุดท้ายเธอก็เลยไม่ได้พูดอะไร

สุนัขเขี้ยวเพลิงเข้าใจความหมายของคำว่า "ไปด้วย-”

แน่นอน! มันอยากจะออกไป ที่นี่ไม่มีคู่แข่ง แถมสัมผัสของมนุษย์นี้ก็รู้สึกสบายมาก… ถึงเวลาต้องหาคู่ต่อสู้ใหม่แล้ว!

"ย่าห์!"

สุนัขเขี้ยวเพลิงพยักหน้าอย่างจริงจัง ยื่นเท้าอวบอ้วนออกมาด้านหน้า

เฉียวซางรู้สึกประหลาดใจชั่วขณะหนึ่ง แต่จากนั้นก็จับมือกับอุ้งเท้าของมัน

กระบวนการดำเนินไปอย่างราบรื่นมากกว่าที่เธอคาดไว้...

ข้อตกลงระหว่างหนึ่งเด็กสาวและหนึ่งหมาก็บรรลุผลในที่สุด

......

สัญญาระหว่างมนุษย์กับสิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติถูกสร้างขึ้นผ่านตำราอสูร

ตำราอสูรทำหน้าที่เป็นสื่อกลางที่เชื่อมโยงทั้งสองฝ่ายอย่างใกล้ชิด โดยทั่วไปเพื่อให้สัญญาประสบความสำเร็จทั้งสองฝ่ายจะต้องยินยอม

อย่างไรก็ตาม มันเป็นไปได้ที่จะสร้างสัญญาหลังจากเอาชนะสิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติและทำสัญญากับมันยามที่หมดสติหรือไร้การป้องกัน

วิธีหลังมีความเสี่ยงหลายประการ หากความสัมพันธ์ไม่เพียงพอ สัตว์อสูรอาจไม่เชื่อฟังจนทำให้โดเมนสมองเสียหาย

เว้นแต่จะเป็นนักฝึกอสูรระดับสูงที่ฝึกปรือโดเมนสมองของตนมาเป็นอย่างดีถึงจะพอบรรเทาความเสี่ยงลงได้ เพราะในกรณีนี้ต่อให้สัตว์อสูรดื้อรั้นยกเลิกสัญญาเอง นักฝึกอสูรที่ระดับสูงพอก็จะไม่ได้รับความเสียหายมากนัก

ในขณะนี้ เฉียวซางกำลังเชื่อมต่อกับโดเมนสมองของเธอ

ตำราอสูรในสมองของเธอยังคงนิ่งเงียบ แม้ว่าจะเรียกว่าตำราแต่มันก็บางพอๆกับจดหมายจ่าหน้าซอง

เท่าที่อ่านมาในหนังสือ ตำราในขั้นแรกจะเป็นสีขาวและมีหน้าสัญญาเพียงหน้าเดียวเท่านั้น

เมื่อโดเมนสมองพัฒนาถึง 10% ตำราจะกลายเป็นสีเทา และพื้นที่สัญญาจะขยายเป็นสองหน้า

ด้วยท่าทางมือที่เธอจำมาจากคู่มือ ในไม่ช้าตำราปฎิญาณอสูรก็ถูกเปิดใช้งานในโดเมนสมองของเธอ และค่อยๆ เปิดไปยังหน้าแรกและหน้าเดียวที่มี

แสงสีขาวค่อยๆ รวมตัวกันจากทุกด้านเหนือหัวของเจ้าสุนัขเขี้ยวเพลิงตัวน้อยก่อตัวเป็นดวงดาวทรงกลมขนาดเล็ก

อันที่จริงวิธีที่ง่ายที่สุดที่จะดูว่าผู้ฝึกสัตว์อสูรอยู่ระดับไหน คือดูจากสียามทำสัญญาหรืออัญเชิญอสูรออกมา แสงที่สาดส่องไปทั่วตัวอสูรนั่นแหละคือสีที่บ่งบอกระดับของผู้ฝึก

เช่นเดียวกัน สีของดวงดาวที่ปรากฎสะท้อนถึงระดับของตำราในขณะนั้น

อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพียงข้อมูลอ้างอิง เพราะต่อให้โดเมนสมองและตำราพัฒนาไปไกลขนาดไหน หากสัตว์อสูรที่ทำสัญญาไม่แกร่งพอและไม่สามารถผ่านการทดสอบวัดระดับได้ ระดับของพวกเขาก็จะไม่เพิ่มขึ้น

แสงจากดวงดาวปกคลุมอาบหัวน้อยๆของสุนัขเขี้ยวเพลิง มันเงยหน้าขึ้นมองดูกลุ่มดาวบนหัวด้วยความสงสัย

5 2 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด