ตอนที่แล้วบทที่ 41
ทั้งหมดรายชื่อตอน

บทที่ 42


โรงพยาบาลเหรินไห่ในเมืองหลวง

ลู่จิ่งสวมเสื้อสเวตเตอร์ขนแกะสีขาวนุ่ม เดินเข้ามาในแผนกผู้ป่วยในอย่างรวดเร็ว

แตกต่างจากเมื่อก่อนที่มักจะดูเศร้าหมอง แต่ในวันนี้ใบหน้าของเธอกลับดูเปล่งปลั่ง ผมยาวสลวยดูสดใสแจ่มใสราวกับต้องลมมาปะทะ รวมถึงน้ำเสียงในการพูดของเธอที่ดูสูงขึ้นกว่าปกติเล็กน้อย "ลู่ชวน! เที่ยงนี้เรากินเกี๊ยวกันเถอะ"

ลู่ชวนเก็บแท็บเล็ตแล้วเงยหน้าขึ้นมองเธอ "ทำไมแม่ถึงดูมีความสุขจังครับ"

ลู่จิ่งเปิดกล่องเก็บความร้อนบนโต๊ะแล้วหันกลับมายิ้มให้เขา "เหรอ? "

ลู่ชวน : “…”

ตอนหันกลับมา ถ้าแม่ไม่ได้เพิ่งยิ้มบนใบหน้า ก็คงไม่ชัดเจนเท่าไหร่นัก

"โจวหย่งจื้อมีเรื่องโชคร้ายอะไรหรือเปล่า? "

เมื่อคิดอย่างละเอียดแล้ว ในช่วงเวลานี้ สิ่งเดียวที่จะทำให้แม่ของเขาดูมีความสุขได้ก็คงมีแต่เรื่องโชคร้ายของอดีตสามีที่เลวทรามของเธอเท่านั้น

ลู่จิ่งนำกล่องเก็บความร้อนขนาดใหญ่สองใบออกมาแล้วเปิดฝาพร้อมกับดุเขา "พูดอะไรน่ะ! นั่นพ่อของลูกนะ! ถึงแม่จะรอให้เกิดเรื่องไม่ดีกับเขาอยู่ทุกวัน แต่นี่มันเป็นแม่ไง ความสัมพันธ์เป็นแบบไหนลูกน่าจะรู้ดี? น่าขยะแขยง"

แต่แม่กลับดูมีความสุขจนออกนอกหน้าขนาดนี้...มันจะเป็นเรื่องอะไรได้

ลู่ชวนไม่อยากถามต่อแล้ว

ในเวลานี้ ลู่จิ่งยื่นกล่องเก็บความร้อนที่หนักอึ้งให้เขา เป็นกล่องขนาดใหญ่ ข้างในบรรจุเกี๊ยวเต็มกล่อง นับแล้วได้ประมาณสามสิบถึงห้าสิบชิ้น!

ช่องเล็กๆ ด้านข้าง มีน้ำส้มสายชูใส่อยู่เล็กน้อย แต่ไม่มากนัก ในตอนนี้กลิ่นหอมของเกี๊ยวและน้ำส้มสายชูโชยมา ลู่ชวนกลืนน้ำลายโดยไม่รู้ตัว รู้สึกว่ากระเพาะอาหารที่เงียบเหงาของตัวเองถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาทันที

"เกี๊ยวเยอะขนาดนี้เลยเหรอแม่ เราแบ่งกันกินเถอะ ผมกินไม่ไหวหรอก"

เขาพูดเพิ่งจบประโยค แต่ก็เห็นลู่จิ่งนั่งลงที่ข้างเตียงผู้ป่วยและเปิดกล่องเก็บความร้อนที่เหมือนกันกับเขาอีกกล่องในมือของเธอ ภายในก็มีเกี๊ยวเช่นกัน

ของลูกชายเมื่อเทียบกับของเธอแล้ว ก็คงมีน้อยกว่าแค่ไม่กี่ชิ้น

"แม่" ลู่ชวนลังเลเล็กน้อย "เกี๊ยวเยอะไปไหมครับเนี่ย"

แต่ไม่มีใครตอบเขาแล้ว เห็นได้ชัดว่าลู่จิ่งอดใจไม่ไหว คีบเกี๊ยวอ้วนกลมๆ ชิ้นหนึ่ง ยัดเข้าปากทันที หลังจากกินไปสามชิ้นอย่างรวดเร็ว เธอก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่ายังมีลูกชายที่ป่วยอยู่ จึงรีบเงยหน้าขึ้นมองเขา แล้วย้ำเตือนอย่างไม่ใส่ใจ

"กินเร็วๆ อย่าถามมาก! "

ลู่ชวนเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วก็หยิบตะเกียบขึ้นมาบ้าง

หลังจากที่อยู่ในโรงพยาบาลมานาน ความอยากอาหารของเขาก็ค่อนข้างย่ำแย่ ทำให้ตอนนี้พอได้กลิ่นหอมของเกี๊ยว กลับยิ่งรู้สึกว่าท้องไส้ปั่นป่วนมากกว่าเดิม จนกระทั่งเกี๊ยวชิ้นหนึ่งเข้าปาก กลิ่นหอมและกลิ่นเนื้อที่บรรยายไม่ถูกก็เข้ามาปะปนกับน้ำซุปที่สดใหม่ เข้าสู่ปากลู่ชวน

ลู่ชวนค่อยๆ เคี้ยวเกี๊ยวชิ้นนี้ กลืนลงไป แล้วก็ไม่เงยหน้าขึ้น มุ่งตรงไปคีบชิ้นต่อไปทันที

การกินที่เงียบงันนี้ดำเนินต่อไปจนถึงครึ่งทาง จนกระทั่งประตูห้องผู้ป่วยที่ปิดอยู่ครึ่งหนึ่งถูกเคาะ ชายวัยกลางคนสวมชุดผู้ป่วยคนหนึ่งยืนอยู่หน้าประตู ผมสั้นเกรียน ผิวคล้ำ แขนข้างหนึ่งพาดไม้ค้ำยัน ขาข้างล่างพันผ้าปิดแผลไว้แน่นหนา

เขาพยุงไม้ค้ำยัน คิ้วตาที่จริงจังก็เปลี่ยนเป็นอึดอัดกะทันหัน แล้วก็ยิ้มอย่างเขินอาย "เอ่อ... ไอ้... ฉัน... เอ่อ... พวกคุณกินอะไรกันอยู่เหรอ"

ลู่ชวนสบตากับเขา เขาไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้มาก่อนในชีวิต ตอนนี้จึงอดที่จะงงไม่ได้ ส่วนลู่จิ่งที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็หัวเราะ “อึ๊กอึ๊ก” ชายที่ยืนอยู่หน้าประตูหน้าแดงก่ำ ดูอึดอัดมากขึ้น

เธอรีบพยายามกลั้นเสียงหัวเราะ "ไม่เป็นไรๆ เราทานเกี๊ยวผักกาดไส้หมูกันอยู่ค่ะ"

เมื่อเข้ามาใกล้ เธอก็เห็นได้ชัดว่าลำคอของชายตรงหน้ากลืนน้ำลายลงไปหลายอึกแล้ว แม้แต่ใบหูก็ยังแดงตามไปด้วย

"ขอถามหน่อยได้ไหมว่าซื้อจากไหน"

เขาถาม หลังจากเห็นว่าลู่จิ่งไม่พูดอะไร ก็รีบอธิบาย "ผมอยู่ห้องตรงข้าม ได้กลิ่นจากห้องพวกคุณมันหอมมาก และมันหอมมากขึ้นเรื่อยๆ จนผมอดใจไม่ไหวน่ะ...แต่ก็ไม่เป็นไรนะครับถ้าไม่สะดวก"

คิดดูสิ ว่าชายวัยสี่สิบหรือห้าสิบปี ยังอุตส่าห์ต้องเดินกะเผลกมาถามเพราะความอยากกินเกี๊ยวแค่คำเดียว มันก็ดูน่าอับอายจริงๆ เขาหันหลังกลับ เตรียมจะเดินหนีออกจากห้องไปอยู่แล้ว แต่ลู่จิ่งเองก็รู้สึกผิดเมื่อเห็นท่าทางของเขาเหมือนกัน ในเมื่อเกี๊ยวนี้มันอร่อยจริงๆ ขนาดเมื่อคืนเธอยังกินจนแน่นเลย วันนี้พอมีคนมาถาม เธอกลับดันหัวเราะเยาะเขาได้ยังไง?

เธอจึงรีบตะโกนว่า "เอ่อ... ถ้าคุณไม่รังเกียจ ฉันมีเหลืออยู่นะคะ คุณไปเอาชามที่ห้องมาสิ ฉันจะตักให้คุณหน่อย"

ชายตรงข้ามเดินกะเผลกกลับไปหยิบชามด้วยความรีบร้อนทันที ดูเหมือนปากจะบอกว่าอับอาย แต่ในใจกลับอยากกินจนทนไม่ไหวแล้ว และลู่ชวนก็มองดูเธอตักเกี๊ยวครึ่งหนึ่งจากกล่องเก็บความร้อนอย่างใจเย็น แล้วก็อดทนไม่ไหวในที่สุด

"ผมกินหมดได้! อย่าให้เขาเยอะไป!! "

ลู่จิงมองลูกชายด้วยสายตาตำหนิ "แม่ก็กินหมดได้เหมือนกัน! แต่เมื่อคืนกินหมดจนปวดท้องเลยนะ แล้ววันนี้ตอนเที่ยงก็ยังไม่จำอีก ดันต้มเยอะขนาดนี้..."

เธอพยายามซ่อนความเสียดายไว้ แล้วทำเป็นไม่สนใจ "ถ้ามีคนอื่นอยากกินบ้างก็แบ่งเขาเถอะลูก มันมีเยอะ กินหมดจะจุกไปซะเปล่าๆ "

"ว่าแต่ว่าลู่ชวน ลูกตักเกี๊ยวในชามตัวเองแบ่งออกมาด้วยนะ ตอนที่แม่ต้มเกี๊ยว คิดแต่ว่าจะให้ลูกกินเยอะๆ ลืมไปว่าช่วงนี้ลูกกินได้ไม่มากเท่าไหร่ เดี๋ยวท้องจะเสียเอา"

พูดจบก็ไม่รอให้เขาปฏิเสธ เธอก็หยิบกล่องเก็บความร้อนในมือเขามา แล้วก็ถอนหายใจ

"ลูกว่าแม่อยู่ปักกิ่งนานเกินไปหรือเปล่า ทำไมรู้สึกว่าผักกาดตามชนบทแบบนี้มันอร่อยจัง"

"ชนบท? " ลู่ชวนแปลกใจ

"ใช่" ลู่จิ่งมองเขา "คราวที่แล้วลูกไม่ได้ให้ที่อยู่บ้านเราไว้กับเด็กสาวคนนั้นเหรอ เมื่อคืนมีรถขนส่งผักมาจากชิงซีตั้งสิบกิโลกรัม ส่วนใหญ่เป็นพวกผักกาดขาวผักกาดหอมทั้งนั้น"

"แม่เห็นว่ามันสดมาก ก็เลยรีบไปซื้อเนื้อมาห่อเกี๊ยว"

แต่ไม่คิดว่ามันจะอร่อยขนาดนี้ เดิมทีตั้งใจต้มเกี๊ยวสักสิบตัวไว้กินเป็นของว่างตอนกลางคืนแท้ๆ แต่พอต้มเสร็จก็เผลอต้มหม้อแล้วหม้อเล่า กินสิบตัวแล้วก็สิบตัวอีก...

สรุปรวมแล้วกินไปทั้งหมดสามสิบตัว ก่อนจะต้องกลืนยาช่วยย่อยตามหลังไปอีกตั้งสองเม็ด กว่าจะหลับก็ดึกดื่นไปแล้ว

พอได้ยินว่าหญิงสาวนิสัยเป็นแบบนี้ ก็ทำให้ลู่ชวนถอนหายใจอย่างโล่งอก เขาเกรงใจจริงๆ ว่าอีกฝ่ายจะขึ้นมาตอบแทนบุญคุณเสียยิ่งใหญ่ถึงเมืองหลวง เพียงแต่เขารู้สึกอย่างไรก็ไม่จำเป็นต้องบอกให้ใครรับรู้โดยละเอียด เพราะมันน่าอับอาย แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้ลู่ชวนประหลาดใจแล้ว

เขาคิดถึงวันนั้นที่ส่งข้อความไปแล้วไม่มีการตอบกลับใดๆ จากไลน์ จู่ๆ ก็มีความสุขพิกล

หญิงสาวคนนี้ไม่ได้พูดคำโกหกเลย สัญญาว่าจะส่งผักก็ส่งผัก

ดังนั้นลึกๆ จึงละทิ้งกำแพงในใจตัวเองไปแล้ว

ยิ่งพอรู้สึกว่าที่อยู่ที่ให้ไปนั้นไม่สูญเปล่าเลย เขาก็ลิ้มรสเกี๊ยวที่เหลืออย่างเสียดาย

ในเวลานี้ ผู้ป่วยตรงข้ามเดินมาเคาะประตูอีกครั้ง ชายหนุ่มส่งชามข้าวมาให้ด้วยความอับอาย ทำให้ลู่จิ่งเกือบจะหัวเราะออกมา

ขณะเดียวกัน ผู้ป่วยที่หน้าประตูก็ทั้งอับอายและลำบากใจ ท้องก็ไม่ยอมหยุดร้องจ๊อกๆๆ เรียกให้แม่ลูกในห้องหันมามอง เธอพยายามกลั้นขำไว้ แล้วใส่เกี๊ยวลงไป

ชายวัยกลางคนตัดสินใจวางชามลงกับโต๊ะ “เกี๊ยวนี้พวกคุณทำเองเหรอ เนื้อกับผักมาจากไหนกัน ทำไมมันหอมจัง! แค่ได้กลิ่นก็ทำให้ผมน้ำลายไหลแล้ว”

ลู่จิ่งยื่นชามข้าวคืนให้ “ใช่ เนื้อหมูซื้อจากซูเปอร์มาร์เก็ตทั่วไปนี่แหละค่ะ แต่ผักกาดพวกนี้เป็นของหญิงสาวในชนบทที่ส่งมาให้เราเฉยๆ...”

เธอหัวเราะอย่างเขินอาย เห็นได้ชัดว่าไม่มีความคิดจะให้ข้อมูลติดต่อซ่งถานแก่เขา

ชายตรงข้ามตกใจไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็นึกอะไรขึ้นได้ รีบหันกลับมาหยิบผลไม้สองถุงที่พื้นหน้าประตู “อ่า...ผมเข้าใจแล้ว ขอโทษจริงๆ ครับที่รบกวน ขอบคุณมาก” พูดจบก็วางผลไม้ไว้ที่หน้าประตู แล้วใช้ไม้เท้ากระทุ้งพยุงตัวรีบเข้าห้องของตัวเอง ไม่ให้โอกาสเธอได้ปฏิเสธเลย

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด