บทที่ 40: เนตรราชันย์
17 มิถุนายน.
ในตอนเช้าเฉียวซางมาถึงโรงเรียนมัธยมต้นหมิงเผ่ยพร้อมด้วยแม่ของเธอ
สถานที่สอบสำหรับการสอบจงเกาจะกระจายไปตามเขต โดยนักเรียนจากแต่ละโรงเรียนจะถูกสุ่มไปยังศูนย์สอบต่างๆ เฉียว ซางได้รับมอบหมายให้เข้าสอบที่โรงเรียนมัธยมต้นหมิงเผ่ย
“ลูกเอาเอกสารเข้าห้องสอบมาแล้วใช่ไหม?” แม่ของเธอถาม
"ค่ะหนูเอามาแล้ว"
“ลูกมีปากกาใช่ไหม เอาของมาครบรึเปล่า”
"ค่ะ หนูเอามาครบแล้วแม่"
“ระหว่างสอบให้เริ่มด้วยคำถามที่รู้คำตอบ ทิ้งข้อยากไว้เป็นข้อสุดท้ายโอเคไหม?”
“หนูรู้น่าแม่”
“เอาล่ะ ลูกควรเข้าห้องสอบได้แล้ว แม่จะมารับลูกหลังสอบเสร็จ” แม่ของเธอพูดอย่างอ่อนโยน
นี่เป็นครั้งแรกที่แม่ของเธอพูดอย่างอ่อนโยนนับตั้งแต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับแจกันที่มีลายเซ็นต์ของหมีกรงเล็บ เฉียงซางแอบรู้สึกไม่ชินเล็กน้อย
"แม่..."
"มีอะไรซังซังของแม่?" แม่ของเธอถาม เสียงของเธออ่อนโยนมากขึ้นกว่าเดิมเสียอีก
“มันยังไม่ถึงเวลาสอบ หนูยังเข้าห้องไม่ได้” เฉียวซางตอบอย่างช่วยไม่ได้
หากเธอทำได้ เธอคงอยากให้แม่ของเธอเปลี่ยนนิสัยที่มักจะชอบเผื่อเวลามากจนเกินไป
แม่ของเธอเงียบไป
ในห้องเรียน ไม่ใช่แค่มีอาจารย์คุมสอบสองคน แต่ยังมีสัตว์อสูรอีกสองตัวด้วย เฉียวซางนั่งเงียบๆในที่นั่งที่หมายเลข 6 ของแถวที่ 5
สัตว์อสูรนี้มีลักษณะคล้ายหนูตัวเล็กสีม่วงน้ำเงินมันคอยเดินใช้เขาของมันสัมผัสร่างกายของนักเรียนแต่ละคน
เขาสีน้ำเงินยาวประมาณเจ็ดหรือแปดเซนติเมตร งอกขึ้นมาจากหน้าผาก ลักษณะคล้ายเสาอากาศขนาดจิ๋ว
เฉียวซางนักเรียนระดับบ๊วยที่พึ่งก้าวหน้าขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ นึกออกทันทีว่ามันถูกเรียกว่า หนูวัตต์
หนูวัตต์เป็นสัตว์อสูรประเภทไฟฟ้า มันสามารถตรวจจับได้ว่ามีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อยู่รอบๆหรือไม่ ผ่านทางเสาอากาศบนหน้าผากของมัน
ขณะที่หนูวัตต์เดินไปรอบๆ สัมผัสนักเรียนทีละคน จู่ๆเสาอากาศของมันก็ปล่อยประกายไฟสีม่วงออกมาเมื่อมันเดินมาถึงตรงนักเรียนที่นั่งอยู่หมายเลข 3 ของแถวที่ 3
"อา!" นักเรียนส่งเสียงร้องอย่างคุมไม่ได้ ปากกาที่มือขวาของเขากลิ้งและตกลงพื้น
ไฟฟ้านั้นไม่ได้รุนแรงอะไรนัก แค่ทำให้เกิดอาการชาเพียงครู่หนึ่งเท่านั้น
"วา วา" หนูวัตต์ชี้ไปที่นักเรียนคนนั้นและส่งเสียงร้องแหลม
"ส่งมันมา" อาจารย์สาวที่นั่งอยู่บนแท่นกล่าว เธอลุกขึ้นและเดินมาหาหนูวัตต์
ใบหน้าของนักเรียนคนนั้นซีดลง ริมฝีปากเม้มแน่นด้วยความลังเล
“ฉันจะพูดอีกครั้ง ส่งมันมา!” อาจารย์พูดซ้ำด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
ภายใต้แรงกดดันจากการจ้องมองของอาจารย์และทุกคนรอบตัว นักเรียนแหวกผมด้วยทีท่าไม่เต็มใจเผยให้เห็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขนาดเท่าถ่านกระดุม
อุปกรณ์เหล่านี้ไม่ใช่ของที่หายากอะไร พวกมันมีไว้ใช้เพื่อส่งคำตอบสำหรับคำถามปรนัยจากระยะไกลด้วยพลังจิต
อย่างไรก็ตาม มันไม่มีประโยชน์สำหรับข้อสอบจำพวกเติมคำในช่องว่าง และอัตนัย
มีเพียงสัตว์อสูรที่มีความสามารถทางจิตเท่านั้นที่สามารถใช้ทำแบบนี้ได้ หมายความว่านักเรียนคนนี้วางหัวสมรู้ร่วมคิดกับผู้ฝึกสัตว์อสูรที่มีอสูรประเภทพลังจิตที่สามารถมองเห็นกระดาษข้อสอบได้
"คะแนนสำหรับวิชานี้ของเธอจะถือว่าเป็นโมฆะ" อาจารย์พูดอย่างเย็นชา ก่อนจะหยิบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และคว้ากระดาษคำตอบของเขาออกไป
นักเรียนคนนั้นเดินออกไปทั้งน้ำตา ขณะที่อาจารย์พูดเสียงดังว่า “หากนักเรียนคนไหนมีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อยู่ให้มอบมันมาซะ อย่าคิดว่าจะรอดจากหนูวัตต์ไปได้ ถ้าฉันจับได้คะแนนของเธอจะนับว่าเป็นโมฆะทันที”
ไม่มีเคลื่อนไหว
โชคดีที่หลังจากหนูวัตต์ทำการตรวจสอบต่อ ก็ไม่มีเหตุการณ์ผิดปกติอะไรเกิดขึ้นอีก
ในขณะเดียวกัน สัตว์อสูรอีกตัวหนึ่งซึ่งมีลักษณะคล้ายลูกตาลอยได้ แบ่งตัวออกเป็นดวงตาดวงเล็กๆจำนวนห้าถึงหกดวง และวนเวียนไปรอบๆห้องในทิศทางที่ต่างกัน
สัตว์อสูรตัวนี้ถูกเรียกว่าเนตรราชันย์ ฉากต่างๆที่ร่างแยกได้เห็นหรือรับรู้จะถูกส่งมายังร่างหลักโดยอัตโนมัติ
ด้วยการที่มันสามารถเฝ้ามองทั้งห้องได้อย่างครอบคลุม มันจึงเป็นสัตว์อสูรที่นิยมนำมาใช้ในการคุมสอบ
เนตรราชันย์ไม่เพียงแต่ถูกใช้สำหรับการสอบระดับมัธยมศึกษาตอนต้นเท่านั้น แต่ยังปรากฏในการสอบระดับมัธยมปลายด้วย
เฉียวซาง จดจ่ออยู่กับการข้อสอบของเธอ แต่ทันใดนั้น เนตรราชันย์ดวงหนึ่งก็ลอยขึ้นมาที่มือที่กำลังเขียนของเธอ
มือของเธอสั่นโดยไม่ตั้งใจ
รูม่านตาของมันหมุนวนอย่างต่อเนื่อง บางครั้งก็จ้องมองที่กระดาษคำตอบของเธอ บางครั้งก็จ้องมองที่ใบหน้าของเธอ หลังจากผ่านไปห้าวินาที ดูเหมือนว่ามันจะพอใจที่ไม่มีอะไรผิดปกติและค่อยๆบินออกไปเอง
เฉียวซางรู้สึกกับตัวเองว่าการทดสอบนี้ไม่ใช่แค่ทดสอบความรู้ทางวิชาการเท่านั้น แต่ยังทดสอบความเข้มแข็งของจิตใจอีกด้วย
ใครมันจะไม่ตกใจถ้าจู่ๆมีลูกตาลอยได้จากที่ไหนก็ไม่รู้มาเกาะ แถมมันจ้องมองที่พวกเขาอย่างตั้งใจขณะที่พวกเขากำลังทำข้อสอบอีก นี่มันตัวทำลายสมาธิชัดๆ!
โชคดีที่หลังสอบไปได้สองวัน เฉียวซางก็เริ่มชาชินกับมัน
ตอนนี้แม้ว่าจะมีเนตรราชันย์สองดวงอยู่ข้างเธอ ปากกาเธอก็ไม่มีแม้แต่จะสะดุด
19 มิถุนายน.
วันสุดท้ายของการสอบข้อเขียน
หลังจากเสร็จสิ้นการสอบวันสุดท้าย เฉียวซางก็กลับบ้านและล้มตัวนอนคลุมโปงบนเตียง
จิตใจเธอเครียดต่อเนื่องกันมาหลายวัน ในตอนนี้ภารกิจทั้งหมดของเธอสิ้นสุดลงแล้ว ในที่สุดเธอก็สามารถผ่อนคลายได้สักที สิ่งที่เธอต้องการตอนนี้มีแค่นอนยาวๆสักงีบเท่านั้น
เธอนอนหลับจนถึง 19:02 น.
เมื่อตื่นขึ้นมา จิตใจของเธอก็รู้สึกปลอดโปร่งกว่าที่เคย เธอได้รู้สึกสดชื่นแบบนี้มาสักพักแล้ว
เธอลุกขึ้นนั่งบนเตียงและมองออกไปนอกหน้าต่าง
ท้องฟ้ามืดสนิท แต่ยังคงมีแสงจันทร์และแสงจากหลอดไฟสร้างบรรยากาศสลัวๆ
ห้องเธอมืดสนิท และจากช่องอากาศใต้ประตูทำให้เธอได้รู้ว่าไฟในห้องนั่งเล่นเองก็ถูกปิดเอาไว้อยู่เช่นกัน ทุกอย่างเงียบสงบ แม้แต่สุนัขเขี้ยวเพลิงก็ไม่โผล่ออกมาให้เห็น
ด้วยความรู้สึกเหงาเล็กน้อย เฉียวซางจึงลุกขึ้นและมองออกนอกหน้าต่างไปยังลานด้านล่าง
มีคนอยู่ข้างนอกไม่มากนัก เด็กๆกำลังเล่นสนุกกันอยู่ ผู้ใหญ่นั่งกันเป็นคู่ๆ และผู้สูงอายุกำลังเพลิดเพลินกับบรรยากาศยามเย็น
จากนั้นสายตาเธอหยุดอยู่ที่ร่างสามร่างที่ยืนอยู่บริเวณขอบ
ซึ่งก็คือแม่เธอ สุนัขเขี้ยวเพลิง และพิราบอ้วน
เธอมองดูพวกเขาอย่างเงียบๆกว่าสามนาที จนเริ่มรู้สึกท้องร้องด้วยความหิวโหย...
เธอจำได้ว่าวันนี้เธอมีนัดกินข้าวกับฟางซือซือ แต่ดันเผลอหลับไปซะก่อน....
ที่ลานด้านล่าง
"ย่าห์!" สุนัขเขี้ยวเพลิงหันมาหาเฉียวซางพร้อมร้องเรียกด้วยท่าทีเป็นสุข ก่อนจะกระโจนเข้าสู่อ้อมแขนของเธอ
สุนัขเขี้ยวเพลิงยังคงสวมกำไลแรงโน้มถ่วงหนัก 15 กิโลกรัมเอาไว้อยู่ ทำให้มือของเฉียวซางตกลงต่ำ
“แม่ค่ะ เดี๋ยวหนูออกไปข้างนอกนะ” เฉียวซางกล่าว
"โอเค" แม่เธอรับคำ
เฉียวซางได้บอกแม่ตั้งแต่ก่อนเข้านอนแล้วว่าจะไปหาฟางซือซือ ดังนั้นแม่เธอเลยไม่ได้มีคำถามอะไร
ยี่สิบนาทีต่อมา
เฉียวซางมาถึงร้านหม้อไฟโดยอุ้มสุนัขเขี้ยวเพลิงไว้ในอ้อมแขนของเธอ
"เชี่ย!"
“สุนัขเขี้ยวเพลิง!”
เสียงตื่นตกใจของสองคนดังขึ้นที่โต๊ะหมายเลข 27
นอกจากฟางซือซือแล้วลู่ซือหยาก็อยู่ที่นั่นด้วย
เวลานัดพบที่ตกลงกันไว้คือ 19.00 น. และแม้ว่าเฉียวซางจะมาช้ากว่าเวลานัดไปครึ่งชั่วโมง ฟางซือซือและลู่ซือหยาก็ไม่ได้ถามเธอเกี่ยวกับเรื่องนี้ ความสนใจของพวกเขามุ่งเน้นไปที่สุนัขเขี้ยวเพลิง
“เธอทำสัญญากับสุนัขเขี้ยวเพลิงจริงๆด้วย!” ลู่ซือหยาพูดอย่างประหลาดใจ
“เฉียวซางไม่ยุติธรรม! เธอมีสุนัขเขี้ยวเพลิงแต่ไม่ยอมบอกกันบ้างเลย” ฟางซือซือกล่าวเสริม โดยจ้องมองไปที่สุนัขเขี้ยวเพลิงที่ดูเชื่องๆ อยากจะลองลูบหัวมันดูแต่ก็กลัวเกินกว่าจะทำแบบนั้น
นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้ใกล้ชิดกับสัตว์อสูรประเภทไฟขนาดนี้...
เฉียวซางที่กำลังกินหม้อไฟของเธออยู่ก็ถามว่า “ซือหยา เธอรู้อยู่ก่อนแล้วใช่ไหมว่าฉันปลุกพลังขึ้นเอง”
โดยปกติแล้ว เมื่อคนที่ยังไม่ปลุกพลังมาปรากฏตัวพร้อมกับสุนัขเขี้ยวเพลิง คำถามแรกก็คือ 'เธออุ้มสุนัขเขี้ยวเพลิงที่ไหนมา?' ไม่ใช่ 'เธอทำสัญญากับสุนัขเขี้ยวเพลิงจริงๆด้วย!’
ฟางซือซือหดตัวลีบทันที
ลู่ซือหยาเหลือบมองฟางซือซือแล้วรีบโยนระเบิดออกมาว่า "ฟางซือซือบอกฉันตั้งแต่สองสัปดาห์ก่อนแล้ว"
ก็นะ...
เฉียวซางไม่แปลกใจเลยสักนิด เฉียวซางไม่แปลกใจเลยสักนิด ตอนเธอเห็นฟางซือซือกระจายข่าวเกี่ยวกับผมของอาจารย์ให้ทุกคนได้รู้ เธอก็พอๆเดาได้แล้ว
การคาดหวังให้ยัยนี่เก็บความลับก็ยากพอๆกับการให้สุนัขเขี้ยวเพลิงปีนต้นไม้นั่นแหละ!
….
ประโยคท้ายอ้างอิงจากตอนที่ 25 (อาหารมื้อหรู) ที่สุนัขเขี้ยวเพลิงพยายามชนต้นไม้ให้ผลไม้หล่นลงมาแทนที่จะปีนไปเก็บ