บทที่ 4: ขอลาหยุด
แม่เงียบไปพักหนึ่ง “สุนัขเขี้ยวเพลิงมันไม่ก้าวร้าวไปหน่อยเหรอ?”
เมื่อเลือกต้องเลือกสัตว์อสูร ผู้ฝึกสัตว์อสูรจะใช้คุณสมบัติ พรสวรรค์ และศักยภาพเป็นเกณฑ์พิจารณา
ทว่าสำหรับผู้ฝึกสัตว์อสูรมือใหม่นั้น อารมณ์ของสัตว์ร้ายถือเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุด
สัตว์อสูร เช่น พิราบอวบ จิ้งจอกหางทะเลทรายขาว งูหางสั้น หนูโพรงทราย และเต่ามอส เป็นตัวเลือกยอดนิยมสำหรับมือใหม่เนื่องจากนิสัยอ่อนโยนเป็นหลัก
สัตว์อสูรบางตัวที่ถูกเลี้ยงในฐานเพาะเลี้ยงสัตว์อสูรจะมีนิสัยเชื่องและไม่ก้าวร้าว
หากผู้ฝึกสัตว์อสูรที่ไม่มีประสบการณ์ทำสัญญากับสัตว์อสูรที่มีอารมณ์แปรปรวนเป็นหลัก ไม่เพียงแต่จะต้องปัญหายามต้องออกคำสั่งเพื่อต่อสู้ แค่ฝึกฝนก็นับว่าเป็นงานช้างแล้ว
เมื่อปีที่แล้ว เด็กชายจากเมืองไค่หนานได้สอบเข้าสำเร็จและทำสัญญากับนกกระจอกเพลิง
เพียงแค่เวลาสั้นๆ เจ้านกกระจอกเพลิงพยายามอย่างหนักเพื่อหนีจากการเป็นคู่สัญญาของเด็กชายคนนั้น
โดเมนสมองของเด็กชายได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง เมื่อสามารถกลับไปเรียนได้ ผลการเรียนของเขาตามหลังเพื่อนคนอื่นๆอย่างชัดเจน
ต่อมาได้มีการเปิดเผยขึ้นว่า สาเหตุทั้งหมดเกิดจากการที่เด็กหนุ่มต้องการให้นกกระจอกเพลิงโพสต์ท่าลงโซลเชียวมีเดียกับเขาเพียงเท่านั้น....
เหตุการณ์นี้กลายเป็นหัวข้อข่าวมาแรงอยู่ระยะหนึ่ง
สัตว์อสูรประเภทไฟมักจะหยาบคายและอารมณ์ร้อน แน่นอนสุนัขเขี้ยวเพลิงเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
ทว่าเฉียวซางไม่ได้คิดแบบนั้น เธอมองว่าไม่มีทางที่่ทั้งเผ่าพันธุ์จะมีนิสัยแบบนี้เหมือนกันหมด มันต้องมีตัวที่นิสัยดีน่ารักอยู่ในฝูงบ้าง
สิ่งมีชีวิตที่นิสัยเหมือนกันทั้งเผ่าไม่น่ามีจริง
“แม่บอกว่าหนูมีพรสวรรค์ด้านฝึกอสูรใช่ไหมล่ะ หนูเลยคิดว่าสุนัขเขี้ยวเพลิงน่าจะเข้ากันได้ดีกับหนู” เฉียวซางกล่าว
สุนัขเขี้ยวเพลิงเป็นสัตว์อสูรประเภทไฟที่มีพลังโจมตีที่แข็งแกร่ง และแน่นอนว่ามันจะตรงตามเกณฑ์สำหรับเธอที่จะกลายเป็นผู้ฝึกสัตว์อสูรระดับ E หลังจากการวิวัฒนาการครั้งที่หนึ่ง
แม้ว่าสุนัขเขี้ยวเพลิงจะไม่แพงเท่ากับสัตว์อสูรประเภทพลังจิตอย่างบับเบิ้ลเบลล์ แต่ก็ยังมีราคาแพงกว่าสัตว์อสูรอย่างพิราบอวบเป็นอย่างมาก
ในขณะที่พิราบอวบราคาประมาณ 30,000 ส่วนสุนัขเขี้ยวเพลิง ราคาประมาณ 100,000 เหรียญพันธมิตร
เฉียวซางเข้าใจลึกซึ้งถึงสถานทางการเงินของบ้าน ในราคาประมาณนี้ยังพอไหวอยู่
“เอาล่ะ พรุ่งนี้เช้าแม่จะพาลูกไปที่ฐานเพาะเลี้ยงสัตว์อสูร” แม่ของเธอเห็นด้วยโดยไม่ได้มีการโต้เถียงอะไรเกิดขึ้น
เช้าวันรุ่งขึ้น เฉียวซางถูกปลุกตั้งแต่เช้าตรู่
ภายใต้ความเร่งรีบของผู้เป็นแม่ เธอใช้เวลาอาบน้ำและกินข้าวรวมเพียงสิบนาที ก่อนจะออกจากบ้านตั้งแต่ 7.06 น.
ตลอดกระบวนการนี้ เปลือกตาของเฉียวซางพร้อมที่จะปิดทำการอยู่ตลอดเวลาเป็นสัญญาณบอกว่าเธอยังไม่ตื่นดี
เมื่อมาถึงฐานเพาะเลี้ยงสัตว์อสูรฮันกัง ก็เป็นเวลา 8:31 น. ซึ่งเป็นช่วงที่ศูนย์เปิดอย่างพอดิบพอดี
เนื่องจากยังเช้า พวกเธอจึงเป็นคนกลุ่มเดียวที่มาซื้อสัตว์อสูร
ไม่จำเป็นต้องนัดล่วงหน้าและไม่มีการรอคิว
พวกเธอได้รับการบริการจากหญิงสาวอายุราวๆสามสิบปีทันที
“มีอะไรให้ช่วยไหมค่ะ” เธอถามด้วยรอยยิ้มอย่างมืออาชีพ
“เราต้องการซื้อสุนัขเขี้ยวเพลิง” แม่ของเธอพูดเข้าประเด็นทันที
“ได้ค่ะ ตามฉันมาได้เลยค่ะ” พนักงานเดินนำทาง
เห็นได้ชัดว่าเธอมีประสบการณ์อย่างดี โดยคอยให้คำอธิบายอย่างต่อเนื่องตลอดการเดิน ซึ่งช่วยหลีกเลี่ยงความอึดอัดใจใดๆ ก็ตามที่อาจจะเกิดขึ้น
“ปัจจุบัน พวกเรามีสุนัขเขี้ยวเพลิงอยู่ทั้งหมด 27 ตัว ทุกตัวอยู่ในสภาพดีเยี่ยม มีสองตัวที่จวนจะวิวัฒนาการแล้ว ในบรรดา 25 ตัวที่เหลือ มีทั้งหมด 19 ตัวที่ได้เรียนรู้เพลิงปะทุแล้ว”
“และมีอีก 7 ตัวที่ชำนาญการใช้เพลิงปะทุ พวกมันตัวสูงกว่าพวกเดียวกันประมาณ 5 เซนติเมตรได้…”
ในระหว่างการแนะนำ ในที่สุดพวกเธอก็มาถึงพื้นที่ดูแลสุนัขเขี้ยวเพลิง
ก่อนที่เฉียวซางจะเข้าใกล้ จู่ๆ ก็เกิดเสียงระเบิดดังขึ้น เปลวเพลิงไหลทะลักไปทั่วโดยห่างออกไปจากเธอเพียงราวๆ 5 เมตรเพียงเท่านั้น
เฉียวซางกระโดดถอยหลังด้วยความตื่นตระหนก สายตาหันไปมองยังแหล่งกำเนิดไฟ
เห็นเป็นสุนัขเขี้ยวเพลิงสองตัวที่ขนาดใหญ่กว่าพวกพ้องอย่างชัดเจนกำลังเผชิญหน้ากันอยู่
ฟันที่ลุกท่วมไปด้วยเปลวเพลิงหรือเขี้ยวเพลิง ทักษะประจำเผ่าพันธุ์ของพวกมันที่ฝังแน่นอยู่ในพันธุกรรม
พนักงานยังคงสงบและอธิบายต่อไปว่า “สองตัวนี้เป็นสุนัขเขี้ยวเพลิงที่ใกล้จะวิวัฒนาการแล้ว พวกมันต่อสู้อย่างต่อเนื่องเพื่อพิสูจน์ว่าพวกมันนั้นแข็งแกร่งที่สุด แต่ผลลัพธ์มักจะจบลงที่การเสมออยู่ตลอด”
ขณะที่เธอพูด เปลวเพลิงอีกระลอกก็พุ่งออกมาและพุ่งออกไปห่างจากเฉียวซางประมาณสี่เมตร
เฉียวซางหนาวสั่นไปยันไขสันหลัง
พนักงานชี้ไปที่พุ่มไม้ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากซ้ายมือของเธอนัก
“เพลิงปะทุที่คุณเห็นก่อนหน้านี้ถูกปล่อยออกมาโดยสุนัขเขี้ยวเพลิงตัวนั้น พลังของมันค่อนข้างน่าประทับใจ”
เฉียวซางหันไปมองและพบสุนัขเขี้ยวเพลิงสองตัวกำลังเผชิญหน้ากัน บรรยากาศเต็มไปด้วยความตึงเครียด
ไม่นานนักทั้งสองตัวก็เริ่มฟัดและใส่นัวกันเอง
พนักงานหญิงอธิบายต่อว่า “พวกมันเป็นคู่แข่งกันที่ต่อสู้เพื่อแย่งชิงความรักจากสุนัขเขี้ยวเพลิงตัวเมีย น่าเสียดายเพราะต่อให้ชนะไปก็ไม่มีรางวัลจะให้ เพราะตัวเมียตัวนั้นมีตัวผู้ที่มันแอบชอบอยู่แล้ว”
เฉียวซาง: “…”
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เธอก็ถามว่า “สุนัขเขี้ยวเพลิงตัวเมียนั่นอยู่ตรงไหนคะ?”
บางทีสุนัขเขี้ยวเพลิงตัวเมียอาจจะนิสัยดีกว่าพวกตัวผู้
พนักงานยิ้มรับ.. “ตัวที่คอยส่งเสียงเชียร์พวกมันระหว่างสู้กันนั่นแหละค่ะ ตัวเมีย”
เฉียวซางผงะไป เธอมองอีกครั้งและเห็นสุนัขเขี้ยวเพลิงซึ่งมีขนที่สะอาด นุ่มสลวยกว่าอีกสองตัว กำลังเห่าอย่างตื่นเต้นจากพุ่มไม้ใกล้ๆนั้น
"ย่าห์!"
"ย่าห์!"
พนักงานแปลความหมายเสียงร้องของมัน “มันน่าจะกำลังส่งเสียงเชียร์อยู่ ถึงเจ้าตัวนี้จะไม่ชอบสู้ แต่มันชอบดูตัวผู้สู้กันเพื่อเรียกร้องความสนใจจากมันมาก”
เฉียวซาง: “…”
เฉียวซางรู้สึกสับสน ขณะที่พนักงานสังเกตเห็นคนเป็นแม่ไม่ได้พูดอะไรจึงถามขึ้นว่า “คุณมีสุนัขเขี้ยวเพลิงที่ชอบไหมคะ? ให้ฉันเอามันมาให้ดูใกล้ๆไหม?”
แม่ของเธอส่ายหัว “ฉันแค่มาเป็นเพื่อนลูกสาว คนที่ต้องการทำสัญญากับสุนัขเขี้ยวเพลิงคือเธอ”
ตอนนั้นเองพนักงานหญิงก็รับรู้เรื่องราวทั้งหมด “แสดงว่าคุณลูกสาวต้องเป็นอัจฉริยะที่ปลุกพลังขึ้นมาได้เองสินะคะเนี่ย”
สีหน้าของแม่เต็มไปด้วยความพอใจในพริบตา “รู้ได้ยังไงกัน”
พนักงานอธิบาย “ก็วันนี้เป็นวันศุกร์ และลูกสาวของคุณยังคงสวมชุดนักเรียนมัธยมต้นเหวินเฉิงของเธออยู่เลย เธอน่าจะอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 นะคะ”
“ช่วงเวลาการปลุกพลังในรอบปีตามที่พันธมิตรฝึกอสูรยังไม่ถึงกำหนด แถมช่วงนี้ก็เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการสอบเข้าเป็นไปไม่ได้เลยที่จะขอลาเรียนในช่วงเวลาสำคัญแบบนี้ เว้นแต่จะสามารถปลุกพลังขึ้นเองได้สำเร็จ”
แน่นอนทั้งหมดนี้เป็นเพียงการคาดเดา
เธอตั้งสมมุติฐานจากลูกค้าเมื่อไม่กี่วันก่อนที่สวมชุดมัธยมต้นเหวินเฉิงและมาซื้อสัตว์อสูรกับพ่อแม่ของเธอ
มันบังเอิญว่าเธอเป็นคนให้บริการลูกค้ากลุ่มนั้น
ยังไงก็ตาม โรงเรียนมัธยมต้นเหวินเฉิงนี่มันอะไรกัน? มีเด็กถึงสองคนที่สามารถปลุกพลังได้ในปีเดียวกัน?
เธอจะต้องไปปรึกษากับสามีเพื่อกูู้เงินซื้อบ้านใกล้กับโรงเรียนนั้นอย่างแน่นอน เพราะตอนนี้ลูกเธอเข้าเรียนชั้นประถม 4 แล้ว
รอยยิ้มของแม่เธอแข็งค้างไปในทันที
เฉียวซางกลับมามีสติและถามว่า “แม่คะ วันนี้แม่ได้โทรบอกอาจารย์เพื่อขอลาให้หนูแล้วใช่ไหม?”
เย่เซียงถิงหัวเราะออกมาอย่างแข็งทื่อ “ฮ่าฮ่า แม่คนนี้จะลืมได้ยังไงกัน”
“หนูจำได้ว่าเมื่อวานแม่ขอลาให้หนู แล้ววันนี้…” เฉียวซางถาม
“เมื่อวานแม่ขอลาหยุดให้ลูกสองวันเลย!” เสียงของเย่เซียงถิงดังขึ้นโดยไม่รู้ตัว
เฉียวซางกล่าวว่า “งั้นก็โอเคค่ะแม่”
เธอลอบถอนหายใจเบาๆ
แม่เธอไม่ได้สังเกตเลยสักนิดว่าเวลาตัวเองโกหกมักจะชอบขึ้นเสียงโดยไม่่รู้ตัว