บทที่ 34: ให้กำลังใจ
การแข่งขันเดียวกัน วันเวลาเดียวกัน และหัวข้อสนทนาเดียวกัน แต่เนื้อหากลับตาลปัตรโดยสิ้นเชิง
“นายคิดว่าเขายันไว้ได้นานแค่ไหน”
ไม่มีข้อบ่งชี้ชัดเจนว่าเขาที่พูดถึงนี่คือชายหรือหญิง แต่ทุกคนกลับเข้าใจตรงกันหมด
“สามนาทีมั้ง”
"ฉันเดาว่าสอง"
“เคยสู้มาครั้งนึงแล้ว รอบนี้น่าจะได้สักประมาณห้านาทีแหละ”
“ไม่มีใครคิดว่าจะชนะได้เลยเหรอ?” ถามขึ้นโดยหนึ่งในผู้สมัครสอบที่แพ้ให้กับหลู่เหลียงเย่
“นายยังอยู่อีกเหรอ?” คนที่เดาว่าห้านาทีหันหน้าไปถาม
ผู้สมัครที่พ่ายแพ้: "...ฉันรอกลับโดยนกจะงอยดำพร้อมพวกนายนั่นแหละ"
"เริ่มได้!"
ทันทีที่ซุ่นปั๋วอวี้ประกาศเริ่มการแข่งขันหลู่เหลียงเย่ก็เป็นฝ่ายเริ่มออกคำสั่งก่อน
ปลาคาร์ปวงแหวนยกครีบหน้าขึ้นเล็กน้อย และฟองอากาศใสหลายสิบฟองก็ปรากฏขึ้นในอากาศทันที ก่อให้เกิดกำแพงหนาทึบระหว่างตัวมันกับสุนัขเขี้ยวเพลิง ฟองอากาศสะท้อนแสงเผยให้เห็นการผสมผสานระหว่างสีน้ำเงินและสีแดง… เป็นดั่งกระจกเงาลวงตา
“เกิดอะไรขึ้นกับสุนัขเขี้ยวเพลิงตัวนี้!” มีเสียงตกใจดังขึ้นจากอัฒจันทร์
ในความเป็นจริงแล้ว ฝ่ายที่เริ่มเคลื่อนไหวก่อนคือสุนัขเขี้ยวเพลิง ก่อนที่ฟองอากาศจะเริ่มก่อตัว มันได้ใช้แรงทั้งหมดพุ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วอันน่าเหลือเชื่อ
จากนั้นฟองอากาศก็ปรากฏขึ้นล้อมรอบตัวของสุนัขเขี้ยวเพลิง
ไฟแพ้น้ำเป็นหลักสัญสำนึกของคนทั่วโลก สัตว์อสูรประเภทไฟส่วนใหญ่เกลียดน้ำมากถึงขั้นไม่เคยอาบน้ำสักครั้งในชีวิต
ทว่าถึงจะถูกล้อมแต่ย่างก้าวของสุนัขเขี้ยวเพลิงกลับไม่สะดุดลงสักนิด มันพุ่งเข้าใส่ดงฟองอากาศอย่างไม่ลังเล
มันเคลื่อนที่ไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูง หลีกเลี่ยงฟองอากาศทั้งหมดอย่างพริ้บไหว ไม่ปล่อยให้แม้แต่ปลายของมันสัมผัสด้วยซ้ำ
เฉียวซางไม่ได้แปลกใจเลยสักนิด เพราะช่วงไม่กี่วันมานี้ความเร็วและการระเบิดพลังของสุนัขเขี้ยวเพลิงได้รับการปรับปรุงอย่างมีนัยสำคัญ
มันอยู่ในจุดที่แม้แต่เครื่องขว้างลูกบอลในระดับสี่ไม่แม้แต่จะได้แอ้มปลายขนของมันด้วยซ้ำ ฟองอากาศที่ชักช้าอืดอาดพวกนี้ไม่มีวันขวางมันได้หรอก
มีเยอะไปก็เท่านั้น ท้ายที่สุดมันก็ไม่ต่างอะไรไปจากสิ่งกีดขวางที่อยู่กับที่ไม่ขยับ
ปลาคาร์ปวงแหวนยังคงยกครีบของมันเพื่อส่งพลังออกไปเรื่อยๆ
ฟองอากาศไม่เพียงแต่ปิดกั้นสุนัขเขี้ยวเพลิงเท่านั้น แต่ยังบดบังการมองเห็นของตัวปลาคาร์ปวงแหวนเองอีกด้วย
“หลบเร็ว!”
เมื่อมันได้รับคำสั่งอย่างกะทันหันของผู้ฝึกสัตว์อสูร ปลาคาร์ปวงแหวนก็พยายามรีบทำตาม แต่ก่อนที่มันจะได้ทันลดครีบของมันลง แรงกระแทกจากอะไรสักอย่างก็ทำให้มันกระเด็นออกไปจากจุดเดิม
“ริง!!”
ขณะที่มันถูกส่งไปปลิวออกไป มันก็กรีดร้องด้วยความเจ็บปวดและสับสน
ทำไมจู่ๆมันถึงลอยได้?
"เรียบร้อย" เฉียวซางเปิดปากพูดเป็นคำแรกของการแข่งขันในนัดนี้
เพลิงปะทุขนาดกำปั้นโจมตีเข้าที่ปลาคาร์ปซึ่งกำลังร้องโอดครวญอย่างไร้ปราณี
หลังจากดิ้นรนได้อีกสองวินาที ท้ายที่สุดมันก็หมดสติ
“ปลาคาร์ปวงแหวน!”
หลู่เหลียงเย่รีบวิ่งไปหาสัตว์อสูรของเขาและตะโกนอย่างกังวลว่า "อาจารย์ครับ! อาจารย์!"
ฉินเหวินตรงปรี่เข้าหาปลาคาร์ปวงแหวนอย่างใจเย็นแล้วพูดว่า "ไม่เป็นไร แค่โดนเลียนิดหน่อยเดี๋ยวก็หาย"
จากนั้นเธอก็เรียกหยดปลายลิ้นออกมา…
“ให้ตายเหอะ นี่พวกนายเห็นนั่นไหม?”
“แจ่มแจ้งเลยละ หลู่เหลียงเย่ยืนได้ไม่ถึงสองนาทีด้วยซ้ำ”
“สุนัขเขี้ยวเพลิงตัวนั้นเจ๋งสุดๆ”
“ไม่ คนที่เจ๋งจริงๆคือผู้ฝึกสัตว์อสูรต่างหาก! ตั้งแต่เริ่มจนจบเธอไม่แม้แต่จะออกคำสั่งด้วยซ้ำ”
โดยปกติแล้ว ในการต่อสู้ระหว่างผู้ฝึกสัตว์อสูรมือใหม่อย่างพวกเขา สัตว์อสูรมักจะรอคำสั่งเจ้านายก่อนที่จะเริ่มเคลื่อนไหว
เช่นมันต้องได้รับคำสั่งก่อน สุนัขเขี้ยวเพลิงถึงจะรู้ตัวว่าควรจะหลบ ป้องกัน หรือโจมตี
แต่หญิงสาวคนนั้นไม่แม้แต่จะออกคำสั่งใดๆ และสุนัขเขี้ยวเพลิงก็เปิดฉากโจมตีด้วยตัวเอง
การประสานงานในระดับนี้เห็นได้ชัดว่ามันได้รับการฝึกมาล่วงหน้าเป็นอย่างดี
สถานการณ์แบบนี้มักจะเห็นได้จากการแข่งขันระดับสูงเพียงเท่านั้น
ผู้ฝึกสัตว์อสูรที่มีประสบการณ์มักจะศึกษาสัตว์อสูรของคู่ต่อสู้ล่วงหน้า และวางแผนการรับมืออย่างเสร็จสรรพ
นี่เป็นหนึ่งในเหตุผลว่าทำไมการแข่งขันระดับสูงจึงมักจะไม่ค่อยมีการออกคำสั่งทีละลำดับ
ทั้งหมดนี้มีไว้เพื่อทำให้ตัวเองคาดเดาได้ยากขึ้น
นอกจากนี้ยังมีผู้ฝึกสัตว์อสูรขั้นสูงบางคนที่แทนที่จะศึกษาคู่ต่อสู้ กลับเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยมว่าสัตว์อสูรของตัวเองจะสามารถรับมือกับคู่ต่อสู้ด้วยตัวเองได้ และออกคำสั่งเพียงเฉพาะแค่ในเวลาสำคัญ
แต่โดยทั่วไปแล้วกลยุทธ์ดังกล่าวสามารถนำมาใช้ได้กับผู้ฝึกสัตว์อสูรระดับสูงเพียงเท่านั้น
แต่หญิงสาวคนนั้นก็เป็นแค่มือใหม่เหมือนพวกเขา…
“เธอคนนั้นชื่ออะไรนะ?” รองผู้อำนวยการหลิวเหยาถาม
“เฉียวซางจากโรงเรียนมัธยมต้นเหวินเฉิงครับ” ซุ่นปั๋วอวี้ตอบหลังจากพลิกดูเอกสารในมือของเขา
“ถ้าจำไม่ผิดเหมือนว่าทางเหวินเฉิงจะมีนักเรียนคนหนึ่งได้รับการแนะนำให้มาที่โรงเรียนของเรานี่” เจิ้งกั๋วผิงกล่าว
“ใช่มีอยู่คนนึง เธอชื่อไท่ซูซู พ่อแม่เป็นเพียงคนธรรมดา ข้อมูลเธอเด่นกว่าใครเพื่อนจนฉันจำได้แม่นเลย” ซุ่นปั๋วอวี้ตอบกลับ
“คนธรรมดา! แถมยังปลุกพลังได้ด้วยตัวเองเนี่ยนะ! โดเมนสมองเธออยู่ที่เท่าไหร่?” เจิ้งกั๋วผิงอุทานด้วยความตกใจ
"5%" ซุ่นปั๋วอวี้กล่าว
“เด็กคนนี้มีแนวโน้มดีใช้ได้ ถ้าผลการสอบจงเกาของเธอไม่แย่ เธอควรจะจัดไปอยู่ในห้องหัวกะทิ” รองผู้อำนวยการหลิวเหยาเสนอขึ้น
“ผมเองก็เห็นด้วยกับท่าน แต่ถึงเธอจะเป็นหนึ่งในตัวอย่างหายากที่เกิดจากคนธรรมดาและสามารถปลุกพลังขึ้นเองได้ แต่โดเมนสมองของเธออยู่ที่ 5% เท่านั้น ห้องหัวกะทิของเราจัดตั้งขึ้นเพื่อแข่งขันกับหลี่ตันโดยตรง เราต้องพิจารณาให้ครบทุกด้าน เช่นความแข็งแกร่งของสัตว์อสูรในสัญญา ทักษะการออกคำสั่ง และ....” เจิ้งกั๋วผิงแนะนำไปตามที่เขาคิด ก่อนจะสังเกตุเห็นสายตาของซุ่นปั๋วอวี้ที่มองเขาดั่งไอ้โง่
“อะไร? ฉันพูดอะไรผิดรึไง?” เจิ้งกั๋วผิงถามด้วยความกระฟัดกระเฟียด
ซุ่นปั๋วอวี้ค่อยๆเปิดปากพูด “รองผู้อำนวยการพูดถึงคะแนนสอบจงเกา คนที่ได้รับคำแนะนำต้องสอบรึไง?”
เจิ้งกั๋วผิง: "..."
โอ้ งั้นคนที่พวกเขากำลังพูดถึงคือเฉียวซางนี่เอง…
ถ้าพิจารณาจากสุนัขเขี้ยวเพลิงตัวนั้น ทักษะการประสานงานร่วมกัน ไม่ปัญหาเลยสักนิดที่เธอจะเข้าร่วมชั้นเรียนหัวกะทิ
ปัญหาคือฉันโดนไอ้เวรซุ่นปั๋วอวี้ด่าเอาอีกแล้ว...
โคตรน่าหงุดหงิด…
ขณะเดียวกันเฉียวซางก็วุ่นอยู่กับการหยิบขวดนมฉีหยวนออกมาจากกระเป๋าเป้สะพายหลังของเธอเพื่อส่งให้สุุนัขเขี้ยวเพลิงดื่ม
หลังจากการต่อสู้สองครั้ง เธอก็ได้รับหนึ่งในห้าจุดรับสมัครพิเศษที่โรงเรียนมัธยม เซินซุ่ย
หลังจากสู้มาสองครั้ง เธอก็ได้รับตำแหน่งหนึ่งในห้าของเซินซุ่ยเป็นที่เรียบร้อย
ทว่าเป้าหมายของเธอไม่ใช่แค่นั้น แต่มันคือที่หนึ่ง
ผู้ที่ได้อันดับที่สองถึงห้ายังคงต้องทำคะแนนสูงกว่าเกณฑ์คะแนนขั้นต่ำ 50 คะแนน ในขณะที่อันดับที่หนึ่งต้องผ่านเกณฑ์คะแนนขั้นต่ำเท่านั้น
เธอเข้าใจถึงความแตกต่างนี้ดี
50 คะแนน!
เธอต้องทำแบบฝึกหัดอีกกี่รอบถึงจะสามารถชดเชยคะแนนส่วนนั้นได้
และตอนนี้เธออยู่ห่างจาก 50 คะแนนฟรีๆแค่ก้าวเดียวเท่านั้น!
สุนัขเขี้ยวเพลิงสวมแว่นกันแดดทรงสามเหลี่ยม นั่งยองๆบนเบาะรองนั่ง ค่อยๆจิบนมด้วยอุ้งเท้าของมัน ด้วยทีท่าพึงพอใจ
การแข่งขันนัดที่สองเพิ่งเริ่มต้นขึ้น โดยเป็นการแข่งขันระหว่างพิราบอวบและแมวหูยาว
"ย่าห์!"
"ย่าห์!"
"ย่าห์!"
สุนัขเขี้ยวเพลิงลุกขึ้นนั่ง ถือนมด้วยอุ้งเท้าข้างหนึ่ง และใช้เท้าหน้าอีกข้างหนึ่งเพื่อพยุงตัว
มันทำท่าเชียร์ จากนั้นก็จิบนม จากนั้นก็เชียร์และก็จิบนมอีก
เสียงเชียร์ของมันส่งตรงไปให้พิราบอวบที่อยู่่บนสนาม
ที่บ้านมันมีพิราบอ้วนเป็นหนึ่งในครอบครัวที่แสนดี พวกมันจะกินอาหารด้วยกันอยู่ตลอด แถมเจ้าพิราบอ้วนยังคอยแบ่งอาหารพลังงานในส่วนของมันให้กับสุนัขเขี้ยวเพลิงเสมอ
และในฐานะที่พิราบอ้วนเป็นหนึ่งในสมาชิกครอบครัวของมัน พิราบอวบจึงได้รับเสียงเชียร์จากมันโดยอัตโนมัติ
"ย่าห์!"
"ย่าห์!"
"ย่าห์!"
สิบนาทีต่อมา
แม้ว่าสุนัขเขี้ยวเพลิงจะส่งเสียงเชียร์อย่างกระตือรือร้น แต่พิราบอวบก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้...