บทที่ 2: ไม่ตบไม่ตีไม่ดีขึ้นเลย
ชิงเฉิง เจียหยวน อาคาร C ห้อง 606
เมื่อเฉียวซางกลับบ้านพร้อมแม่ ในหัวของเธอยังเต็มไปด้วยความอื้ออึง
เธอต้องทนกับการถูกทำร้ายทางวาจาที่โรงเรียนเป็นเวลาเกือบสองชั่วโมง ถ้าไม่ใช่เพราะท้องของอาจารย์ร้อง เขาอาจจะต่อเวลาไปอีกนาน
เฉียวซางควักน้ำล้างหน้าในห้องน้ำ
เธอมองดูตัวเองในกระจก ใบหน้าของเธอบอบบางเหมือนกับในชาติที่แล้วทุกประการ
ตอนนี้เธอดูเด็กลงมาก แถมแก้มยังย้วยอุดมไปด้วยคอลลาเจน
"มากินข้าวเย็นได้แล้ว" เสียงเรียกของแม่ดังมาจากห้องนั่งเล่น
"มาแล้วค่ะๆ"
เฉียวซางตอบและล้างหน้าของเธออีกครั้งอย่างเงียบ ๆ
เมื่อเธอเข้าไปในห้องนั่งเล่น แม่ของเธอ เย่เซียงถิง ก็มองเธอด้วยสายตาทิ่มแทง “อาหารยังร้อนๆอยู่รีบกินได้แล้ว”
จริงๆ แล้ว ครอบครัวของเฉียวซางค่อนข้างคล้ายกับเธอในโลกก่อน พ่อแม่ของเธอไม่เพียงแต่มีหน้าตาเหมือนกันเท่านั้น แต่เธอยังเป็นครอบครัวแม่เลี้ยงเดี่ยวอีกด้วย
พ่อของเฉียวซางไม่ได้หายตัวไปหรือตายตั้งแต่ยังเด็ก พวกเขาแค่หย่ากัน
พวกเขาหย่ากันเมื่อเฉียวซางอายุสามขวบ พ่อของเธอ เฉียวหวังหยาง แต่งงานใหม่ในปีนั้นและมีลูกสาวอีกคน ซึ่งตอนนี้อายุ 14 ปี
เป็นสถานการณ์ที่ค่อนข้างน่าสนใจ...
บางทีอาจเพราะรู้สึกผิดต่อแม่ของเธอ เขาจึงทิ้งลูกและบ้านไว้กับเธอเมื่อพวกเขาหย่ากัน
แม่ของเธอ เย่เซียงถิง ไม่เคยแต่งงานใหม่ เธอทำงานอย่างหนักเพื่อหาเงินและเลี้ยงดูเฉียวซางด้วยตัวเธอเอง
โชคดีที่แม่ของเธอเป็นผู้ฝึกสัตว์อสูรระดับ E พร้อมด้วยนกฮูกผู้ศรัทธาและพิราบอ้วน
เธอหาเลี้ยงชีพด้วยการบริการทัวร์ทางอากาศ ชีวิตของเธอจึงค่อนข้างสบายและมั่งคั่ง
ชีวิตแม่เลี้ยงเดี่ยวไม่ได้ทำให้เธอกลายเป็นหญิงชราทรุดโทรม แต่เปลี่ยนเธอให้เป็นผู้หญิงยุคใหม่ที่ภายนอกอ่อนโยนและภายในแข็งแกร่ง
และเฉียวซางเองก็รับรู้ได้เป็นอย่างดีเกี่ยวกับเรื่องนี้
แม่ของเธอต้องอดทนต่อคำดุด่าจากอาจารย์พร้อมกับเธอถึงสองชั่วโมง และยังอดทนอดกลั้นไม่ฟาดเธอสักเปรี้ยงได้เมื่อกลับถึงบ้าน
เธอแข็งแกร่งมาก!
แต่มันไม่ใช่ความผิดของเธอจริงๆ เนื่องจากเธอไม่สามารถดึงตำราอสูรออกมาจากจิตใจของเธอได้ และไม่เคยทำสัญญากับสิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติ จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะพิสูจน์ว่าเธอได้ปลุกพลังขึ้นแล้วด้วยตัวเองโดยไม่ได้ไปที่ศูนย์รับรองผู้ฝึกสัตรอสูรเพื่อตรวจสุขภาพ
เฉียวซางกินอาหารของเธออย่างเงียบๆ
แม้ว่าแม่ของเธอจะเป็นหญิงแกร่งยุคใหม่ แต่ก็ไม่มีอะไรรับประกันว่าเธอจะเป็นเช่นนั้นตลอดไป
“พรุ่งนี้หยุดเรียนสักวัน แม่จะพาลูกไปที่ศูนย์รับรองผู้ฝึกสัตว์อสูร” แม่ของเธอพูดพร้อมกับมองไปที่เฉียวซาง
เฉียวซางนิ่งค้างไปทันที “ทำไมเราต้องไปที่ศูนย์รับรองผู้ฝึกสัตรอสูรกันคะแม่?”
“ลูกบอกว่าลูกปลุกพลังขึ้นเองแล้วใช่ไหม? เราจำเป็นต้องได้รับการตรวจร่างกายและใบรับรองก่อน ถึงจะสามารถไปที่ฐานเพาะเลี้ยงสัตว์อสูรเพื่อเลือกอสูรได้” แม่ของเธออธิบาย
เนื่องจากเธอปลุกพลังแล้ว วิธีที่ดีที่สุดคือการทำสัญญากับอสูรให้เร็วที่สุด
เฉียวซางตกตะลึงไปในทันที “แม่เชื่อหนูเหรอ?”
ดวงตาของแม่ของเธอเปล่งประกายปะปนไปด้วยความขบขัน
“เราเป็นลูกของแม่ ไม่ให้เชื่อลูกแล้วจะเชื่อใคร แล้วแม่ก็รู้จักลูกตัวเองเป็นอย่างดี แม้ว่าเราจะหัวช้าสักหน่อย แต่ลูกก็ไม่ใช่คนที่โกหกไปเรื่อย”
ความรู้สึกของเฉียวซางอัดแน่นผสมปนเปอยู่ภายในใจเต็มไปหมด เธอไม่รู้ว่าควรจะแสดงสีหน้ายังไงออกมาดี อันที่จริงแม่ของเธอในโลกนี้ไม่เพียงแต่หน้าตาเหมือนแบบเดิมเป๊ะ แต่นิสัยก็ยังคล้ายกันทุกประการอีก
“แม่ ในเมื่อแม่เชื่อหนู ทำไมแม่ถึงยอมทนให้อาจารย์หนูบ่นตั้งสองชั่วโมงโดยไม่แย้งอะไรสักคำเลยล่ะ”
แม่ของเธอยิ้ม ทว่าคราวนี้ความรู้สึกที่ได้กลับชวนขนหัวลุก
“ปลุกพลังด้วยตัวเองได้ก็เรื่องหนึ่ง แต่ได้ 0 คะแนนในการสอบก็เป็นอีกเรื่อง จะว่าไปแม่ยังไม่ได้ถามลูกเลยว่าทำไมการสอบครั้งนี้ถึงได้ 0 คะแนน”
เฉียวซาง: "…"
เช้าวันรุ่งขึ้น
ที่ทางเข้าศูนย์รับรองผู้ฝึกสัตว์อสูรฮันกัง
สิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติลำตัวสีน้ำตาลรูปร่างอ้วนท้วนยาวกว่าสามเมตรพร้อมขนหางสีแดงบินโฉบลงมาจากท้องฟ้า
เฉียวซางลงจากตัวของพิราบอ้วนด้วยทีท่าตื่นเต้น
นี่เป็นครั้งแรกที่เธอใกล้ชิดกับท้องฟ้าขนาดนี้ มันให้ความรู้สึกตื่นเต้นอย่างน่าเหลือเชื่อ
เธอตัดสินใจแล้ว เธอต้องทำสัญญากับสัตว์อสูรประเภทบินให้ได้ในอนาคต!
“พิราบอ้วน ขอบใจนะที่มาส่ง” แม่ของเธอตบพร้อมลูบมันอย่างเอ็นดู
"คุก~คู~"
พิราบอ้วนส่ายปีก พร้อมดันหัวอันใหญ่โตของมันเข้าหาแม่ของเธอและคลอเคลียอย่างน่าเอ็นดู
แม่ของเธอโบกมือ ทันใดนั้นมีละอองแสงฉายบนตัวพิราบอ้วนก่อนมันจะหายไปในพริบตา
ไม่ว่าเธอจะเห็นมันกี่ครั้ง เฉียวซางก็พบว่ามันอัศจรรย์
สิ่งเหล่านี้อยู่นอกเหนือจากกฎวิทยาศาสตร์ที่เธอเคยเรียนรู้โดยสิ้นเชิง พวกเธอเดินเข้าไปในศูนย์รับรองผู้ฝึกสัตรอสูรฮันกังด้วยกัน ก่อนแม่จะพาเธอไปที่เคาน์เตอร์ 37
ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะได้พูดอะไร “สวัสดีค่ะ เรามาที่นี่เพื่อขอเข้ารับการตรวจการปลุกโดเมนสมอง”
เธอบอกให้เฉียวซางหยิบบัตรข้อมูลของเธอออกมา
เฉียวซางยื่นบัตรให้พนักงานอย่างเชื่อฟัง
หลังจากสแกนแล้ว พนักงานก็พูดว่า "ค่าธรรมเนียม 500 เหรียญพันธมิตรค่ะ"
มีผู้ฝึกสัตว์อสูรได้ออกจากบลูสตาร์และไปตั้งอาณานิคมใหม่บนดวงดาวอีกสามดวง จึงทำให้เกิดสกุลเงินร่วมกันขึ้น ซึ่งสกุลนั้นก็คือเหรียญพันธมิตร
หลังจากที่แม่ชำระเงินแล้ว พนักงานก็ลงทะเบียนเสร็จสิ้นและส่งคืนบัตรข้อมูล
“เพียงตามเจ้าพฤกษานำโชคเข้าไปข้างใน”
พฤกษานำโชคมีลำตัวเขียวขนาดเล็ก สูงไม่ถึงหนึ่งเมตร ปรากฏตัวขึ้นด้านหลังพนักงาน
หัวของมันกลมโต มีเถาวัลย์สีเขียวคู่หนึ่งบริเวณปลายเป็นสีเหลือง และสวมตราพนักงานไว้รอบลำคอ
เนื่องจากเป็นสัตว์อสูรประเภทพืช พฤกษานำโชคจึงมีนิสัยอ่อนโยนและเป็นที่รัก โดยเฉพาะจากเหล่าสาวๆ
"ลิกัว~"
มันเข้าหาเฉียวซางและทำท่าทางต้อนรับด้วยเถาวัลย์ ท่าทางแสดงถึงความเป็นมืออาชีพ
ในฐานะเมืองหลวงของมณฑลเจ้อไห่ เมืองฮันกังจึงมีศูนย์รับรองผู้ฝึกสัตรอสูรที่ใหญ่เป็นอันดับหนึ่งของมณฑล
เฉียวซางติดตามพฤกษานำโชคกว่าสิบนาทีก่อนจะไปถึงพื้นที่ทดสอบโดเมนสมอง
พฤกษานำโชคสแกนป้ายพนักงานบนเครื่องอ่านบัตรประจำตัวที่ประตู
"ลิกัว~"
เมื่อประตูเปิดออก มันก็ร้องเรียกเฉียวซาง
แม่เย่พูดกับเฉียวซางอย่างใจเย็นว่า "เข้าไปข้างในกันเถอะ"
แม้ว่าใบหน้าของแม่เธอจะสงบ แต่ดวงตาของเธอก็แสดงถึงความคาดหวัง
แม้ว่าเธอจะเชื่อลูกสาว แต่ความกังวลก็ยังอัดแน่นอยู่ในใจ
เฉียวซางติดตามพฤกษานำโชคเข้าไปข้างใน
สิ่งแรกที่เธอเห็นคือนักวิจัยหญิงผมสั้นในชุดแล็บสีขาวและบับเบิ้ลเบลล์ที่ลอยอยู่
เฉียวซางเพิ่งอ่านเรื่องบับเบิ้ลเบลล์เมื่อวันก่อน ไม่คิดมาก่อนว่าจะได้เจอตัวจริงเร็วขนาดนี้
บับเบิ้ลเบลล์เป็นสิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติประเภทพลังจิต ตัวมันนั้นไม่มีการแบ่งเพศ ถือเป็นอสูรที่พบเห็นได้ยากมาก
ในความเป็นจริงแล้วสิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติประเภทพลังจิตนั้นล้วนแล้วแต่พิเศษ
ฐานเพาะเลี้ยงสัตว์อสูรมักจะมีสิ่งมีชีวิตดังกล่าวเพียงห้าหรือหกตัวต่อปี โดยราคาเริ่มต้นคือสองถึงสามล้านเหรียญพันธมิตร ครอบครัวธรรมดาส่วนใหญ่ไม่ซื้อมันได้
เธอน่าจะรวยน่าดู
เฉียวซางตราหน้านักวิจัยผมสั้นในชุดคลุมสีขาวทันทีว่ารวย
นักวิจัยผมสั้นกำลังพิมพ์ลงบนคอมพิวเตอร์ของเธอ ดูเหมือนยุ่งมาก
ดูเหมือนเธอจะไม่แปลกใจที่เห็นพฤกษานำโชคและเฉียวซาง โดยระบุว่าเธอได้รับข้อมูลการลงทะเบียนของเฉียวซางมาล่วงหน้าแล้ว
"ไปนั่งตรงนั้น" เธอชี้ไปที่โซฟาเดี่ยวใกล้ๆ
เฉียวซางนั่งลงในจุดที่อีกฝ่ายชี้
มันเป็นเพียงโซฟาธรรมดาๆ ไม่มีอะไรพิเศษ
“บับเบิ้ลเบลล์” นักวิจัยผมสั้นตะโกนเรียกคู่หูของเธอโดยไม่แม้แต่เงยหน้ามอง
"เบลล์~"
ทันใดนั้นร่างของบับเบิ้ลเบลล์ก็เรืองแสงเป็นสีฟ้าโปร่งใส
ก่อนที่เฉียวซางจะรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น หมวกสีเงินที่เชื่อมต่อกับสายเคเบิลและอุปกรณ์จำนวนมากก็ลอยมาจากหลายเมตรและวางแนบลงบนหัวของเธอ
ภาพที่เห็นทำให้เฉียวซางตกตะลึง
ความสามารถนี้สะดวกสบายอย่างเหลือเชื่อ นี่มันสิ่งมีชีวิตที่เกิดขึ้นมาเพื่อคนขี้เกียจ!
“อย่าขยับ”
นักวิจัยผมสั้นยังคงไม่เงยหน้าขึ้นมอง แต่เฉียวซางเองก็รู้ดีว่าคำสั่งนี้นั้นส่งตรงถึงเธอ
หมวกสีเงินไม่ได้ขัดขวางการมองเห็นของเฉียวซาง และเธอสามารถเห็นใบหน้าของนักวิจัยขมวดคิ้วได้อย่างชัดเจนในขณะที่เธอสังเกตข้อมูลและภาพที่ส่งจากอุปกรณ์
เฉียวซางเกร็งขึ้นทันที คงไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม?
ใบหน้าของนักวิจัยผมสั้นเริ่มจริงจัง คล้ายกับความเข้มงวดของอาจารย์ห้องปกครองในโรงเรียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับบทบาทและสถานการณ์ปัจจุบันของเธอ
สิ่งนี้ทำให้หัวใจของเฉียวซางเต้นแรงมากยิ่งขึ้น
“นี่เธอปลุกพลังขึ้นเองงั้นเหรอ?” จู่ๆ นักวิจัยสาวก็ถามขึ้น
“เอ่อ มีปัญหาอะไรรึเปล่าคะ?” เฉียวซางถามอย่างกังวลใจ
“ไม่ ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง” นักวิจัยสังเกตเห็นความกังวลของเฉียวซาง จึงฝืนยิ้มที่ไม่เป็นธรรมชาติเพื่อให้เด็กสาวเชื่อมั่น
มันค่อนข้างน่ากลัว…
ความกังวลของเฉียวซางเพิ่มขึ้นสูง
“ปีนี้ มีเด็กเพียงหกคนเท่านั้นที่ปลุกพลังขึ้นเองรวมทั้งเธอด้วย เธอคงเกรดดีใช้ได้เลยใช่ไหมล่ะ?” นักวิจัยผมสั้นถาม
การเป็นนักเรียนที่เก่งไม่ได้เป็นตัวการันตีเสมอไปว่าจะสามารถปลุกพลังขึ้นเองได้ แต่คนที่ปลุกพลังขึ้นได้ส่วนใหญ่จะเป็นนักเรียนที่ฉลาดด้านวิชาการ
เฉียวซาง: “…”ทำไมไม่ชมว่าฉลาดหรือเก่งกาจกัน พี่สาวจะเอาเกรดฉันมาพูดทำไม?
เฉียวซางรู้ดีว่านักวิจัยกำลังพยายามคลายความกังวลของเธอ แต่การยกเรื่องเกรดมาพูดนั้น มันไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด...
“ปกติแล้วเกรดฉันนับเป็นอันดับสามของโรงเรียน” เฉียวซางตอบด้วยสีหน้าตายด้าน
“อันดับสามในโรงเรียนก็ยังถือว่าใช้ได้ มีหลายคนที่เป็นที่หนึ่งหรือสองแต่ไม่สามาถแม้แต่จะปลุกพลังได้” แม้รอยยิ้มเธอจะแข็งเกร็งและแปลกประหลาด แต่น้ำเสียงก็ยังเต็มไปด้วยความอ่อนโยน
“คราวนี้ฉันได้อันดับหนึ่งในการสอบจำลอง” เฉียวซางเสริม ตอนนี้กังวลเริ่มลดลงแล้ว
“หลังจากปลุกพลัง โดเมนสมองจะพัฒนา 2% ผู้ที่พลังตื่นด้วยตัวเองมักจะมีพัฒนาการประมาณ 5% ดังนั้นการที่ผลการเรียนของเธอจะดีขึ้นจึงเป็นเรื่องปกติ” ผู้วิจัยอธิบายพร้อมกล่าวชมเฉียวซางที่ได้ที่หนึ่ง
เฉียวซาง: …
ประมาณสองนาทีต่อมา นักวิจัยผมสั้นเงยหน้าขึ้นมองและร้องเรียก “บับเบิ้ลเบลล์”
"เบลล์~"
บับเบิ้ลเบลล์ ใช้พลังจิตเพื่อนำอุปกรณ์กลับไปยังตำแหน่งเดิมของมัน
“ขอแสดงความยินดีกับการปลุกพลังที่ประสบความสำเร็จ ไม่มีปัญหาอื่นๆ เกี่ยวกับโดเมนสมองของเธอ แต่ยังมีความผันผวนอยู่บ้าง พักผ่อนให้เพียงพอและกินของจำพวกผลไม้แห้งมากขึ้นหน่อย” นักวิจัยกล่าวและมอบใบรับรองพร้อมลายเซ็นต์และตราประทับให้กับเฉียวซาง
"ขอบคุณมากค่ะ"
เฉียวซางรับใบรับรอง รู้สึกได้ถึงน้ำหนักที่ถูกยกออกจากอก
“เป็นไงบ้าง?”
ทันทีที่พวกเขาก้าวออกนอกห้อง แม่ของเธอเดินเข้ามาอย่างรวดเร็วด้วยความประหม่า
เฉียวซางถอนหายใจแรงและยื่นผลการทดสอบให้กับแม่ของเธอ
ใบหน้าของแม่ซีดลงทันที มือของเธอสั่นเทาไม่กล้ารับใบรับรองจากผู้เป็นลูก
“ลองดูก่อนสิแม่” เฉียวซางกล่าวพร้อมยื่นใบรับรองเข้าใกล้แม่มากขึ้น
เย่เซียงถิงรู้สึกหนาวสั่นไปทั้งหัวใจ ลูกสาวอันเป็นที่รักของเธอนอกจากจะได้ 0 คะแนนแล้ว ยังปลุกพลังล้มเหลวอีก...
แม้ว่าเธอจะไม่ได้ 0 คะแนน แต่ดูจากประวัติผลการเรียน ไม่ว่ายังไงก็เป็นไปไม่ได้เลยที่ลูกเธอจะสามารถเข้าโรงเรียนมัธยมฝึกอสูรได้
หากต้องการเข้าเรียนในโรงเรียนมัธยมฝึกอสูร ขั้นแรกต้องทำสัญญากับสัตว์อสูรผ่านตำราอสูรที่ผ่านตื่นขึ้นจากการกระตุ้นคลื่นแม่เหล็ก จากนั้นค่อยเริ่มคิดจากเกณฑ์คะแนน
การสอบเข้ามีคะแนนเต็ม 650 คะแนน โดยค่าเฉลี่ยขั้นต่ำของปีที่แล้วอยู่ที่ 332 คะแนน
ถ้าหากลูกสาวของเธอพยายามอย่างหนักแต่ไม่สำเร็จก็ไม่เป็นไร เพราะถึงยังไงเธอก็พยายามอย่างเต็มที่แล้ว แต่ถ้าเธอโกหกเรื่องทั้งหมดนี้เพียงเพราะขี้เกียจเรียนละก็....
เย่เซียงถิงเริ่มสงสัยถึงวิธีการเลี้ยงลูกของตัวเอง
จำเป็นต้องตีให้หลาบ
เด็กคนนี้ต้องเข้าที่เข้าทางได้แล้ว
เมื่อเห็นแม่รับใบรับรองไปและอ่านผลทดสอบ แผ่นหลังของเฉียงเซียวก็ยืดตรงขึ้นทันที
เปรี๊ยะ
เฉียวซางแข็งค้างไปทันที