ตอนที่แล้วบทที่ 12: รู้กันหมด
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 14: ลาหยุดยาว

บทที่ 13: มีคนมาหาเธอน่ะ


“ยังไงก็ตาม ขาใหญ่…” ฟางซือซือเริ่มเปิดบทสนทนาต่อ

“อย่ามาเรียกฉันว่าขาใหญ่” เฉียวซางขัด

“งั้นเอาเป็นขาสวยแทนเป็นไง” ฟางซือซือแนะนำอีกคำ

เฉียวซาง: “…”

ภายใต้สายตาอันตรายของเฉียวซาง ในที่สุดฟางซือซือก็เปลี่ยนน้ำเสียงและคำเรียก “เฉียวซาง เธอได้ทำสัญญากับสัตว์อสูรแล้วหรือยัง”

ไม่มีสัตว์อสูรที่เพิ่งตื่นขึ้นใหม่สามารถต้านทานการล่อลวงให้ทำสัญญากับสัตว์อสูรได้โดยเร็วที่สุด

เฉียวซางพยักหน้าโดยไม่ปฏิเสธ

“แล้วเธอ...”

ขณะที่ฟางซือซือกำลังจะถามต่อ เสียงในห้องเรียนก็เงียบลงทันที ราวกับว่ามีคนกดปุ่มปิดเสียง

เมื่อมองขึ้นไปก็เห็นว่าเป็นอาจารย์ประจำชั้นที่มาถึง…

ในวินาทีต่อมา ใบหน้าของฟางซือซือก็ซีดลง

ไม่นะ ไม่นะ เธอยังลอกการบ้านไม่เสร็จ!

“อีก 5 นาทีไปรวมตัวกันที่สนาม” อาจารย์ประจำชั้นพูด และมองไปทางเฉียวซางหลังจากพูดจบ

นักเรียนกว่า 4,000 คนและอาจารย์กว่า 300 คนของโรงเรียนมัธยมต้นเหวินเฉิง รวมตัวกันที่สนามก่อให้เกิดฝูงชนหนาแน่น

“เธอคิดว่าทำไมทั้งโรงเรียนต้องมารวมตัวกันที่นี่” ฟางซือซือซึ่งยืนอยู่ด้านหลังเฉียวซาง แหย่เธอเล่นด้วยนิ้ว

“ไม่รู้เหมือนกัน” เฉียวซางตอบกลับ

เนื่องจากนักเรียนปีสามอยู่ระหว่างการเตรียมสอบอย่างเข้มข้น โดยทั่วไปแล้วพวกเขาจึงไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมประชุมเฉกเช่นเดียวกับปีหนึ่งและสอง

โดยปกติแม้ว่าโรงเรียนจะเรียกรวมตัว แต่ก็มักจะมีชั้นเรียนอย่างน้อยหนึ่งหรือสองชั้นเรียนที่เป็นข้อยกเว้นเสมอ

เฉียวซางมองขึ้นไปบนเวทีและเห็นว่ามีเจ้าหน้าที่โรงเรียนระดับสูงยืนอยู่ด้วยกันทั้งหมด รวมกระทั่งผู้อำนวยการ รองผู้อำนวยการ และหัวหน้าฝ่ายวิชาการ

นี่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่บ่อยนักในการประชุมภาคเช้าตามปกติ

ผู้อำนวยการเฉินหยงเฟิงยืนอยู่บนเวที โดยกล่าวสุนทรพจน์ไม่ต่างไปจากครั้งก่อนๆ

เฉียวซางหาวอย่างเบื่อหน่ายไม่แม้แต่จะสนใจสิ่งที่เกิดขึ้นบนเวที

หลังจากผ่านไปสิบนาที เสียงปรบมือดังก้องก้องไปทั่วอาคาร และเฉียวซางแม้จะไม่รู้ว่าทำไมทุกคนถึงปรบมือแต่เธอก็ทำตามโดยอัตโนมัติ

ร่างบางจากปีสามเดินขึ้นไปบนเวที

“เรียนอาจารย์ที่เคารพและสวัสดีเพื่อนๆที่น่ารักทุกคน ฉันไท่ซูซู จากห้อง 9 ของชั้นปีที่สาม เป็นเกียรติอย่างยิ่ง…”

กลายเป็นว่าการประชุมครั้งนี้้มีเพื่อเชิดชูเกียรติของไท่ซูซู

เฉียวซางไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์ใดๆกับไท่ซูซู แต่เธอเคยได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับเด็กสาวรายนี้มาไม่มากก็น้อย

ไท่ซูซูมาจากครอบครัวที่ยากจนและเป็นนักเรียนคนเดียวในโรงเรียนที่ได้รับทุนการศึกษา

เธอเป็นนักเรียนระดับท็อปเป็นเวลาสามปีติดต่อกัน และต่อมาได้ปลุกพลังขึ้นมาเองสำเร็จ เรียกว่าเป็นต้นแบบแรงบันดาลใจของใครหลายคน

“ให้ยัยนี่มาพูดอะไรกันนักกันหนาโคตรน่ารำคาญ? ฐานะที่บ้านยัยนี่ไม่พอแม้แต่จะซื้อสัตว์อสูรกากๆด้วยซ้ำ” เด็กผู้ชายที่ยืนอยู่ทางขวาของเฉียวซางพูดเหน็บแนมออกมา

“พ่อแม่เธอเป็นคนธรรมดาทั้งคู่ไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมพวกเขาถึงมีลูกที่ปลุกพลังเองได้ล่ะ” บางคนตั้งข้อสังเกตขึ้น

เฉียวซางรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ด้วยการพัฒนาของสังคมผู้ฝึกสัตว์อสูร ผู้คนตระหนักกันมานานแล้วว่าลูกหลานของผู้ฝึกสัตว์อสูรมีแนวโน้มที่จะปลุกพลังด้วยตัวเองได้ง่ายกว่าคนอื่นๆ

ยิ่งระดับของผู้ฝึกสัตว์อสูรสูงมากเท่าไหร่ โอกาสที่จะมีลูกซึ่งมีพรสวรรค์มากก็จะยิ่งสูงตามเท่านั้น

ในทางกลับกันหากทั้งพ่อและแม่เป็นคนธรรมดา โอกาสที่ลูกๆของพวกเขาจะกลายเป็นผู้ฝึกสัตว์อสูรมีเพียง 2% เท่านั้น และโอกาสที่จะสามารถปลุกพลังขึ้นได้เองนั้นยิ่งน้อยลงไปอีก

ความอยากรู้อยากเห็นของเฉียวซางพองตัวขึ้น และเธอเริ่มเอียงหูเอาใจใส่กับบทสนทนารอบข้าง

“ฉันได้รับโอกาสในการแนะนำให้เข้าเรียนที่โรงเรียนเซินซุ่ย หากไม่ได้รับความช่วยเหลือจากคณะอาจารย์…”

เปลือกตาเฉียวซางกระตุก

ทั้งเธอและไท่ซูซูต่างปลุกพลังขึ้นเองทั้งคู่ และตอนนี้เป้าหมายของทั้งคู่ยังเป็นเซินซุ่ยเฉกเช่นเดียวกัน เมื่อลองเอาคุณสมบัติของทั้งสองมาเทียบดูแล้วเธอก็อดไม่ได้ที่จะท้อและหมดความสนใจที่จะฟังการบรรยายต่อ

เมื่อกลับมาในห้องเรียน เฉียวซางก็มุ่งความสนใจไปที่การเรียนของเธอเพียงอย่างเดียว

ในฐานะนักเรียนชั้นปีที่สามที่การสอบเข้าโรงเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายกำลังใกล้เข้ามา หลักสูตรทั้งหมดได้รับการสอนจนหมดสิ้นแล้ว เหลือเพียงแค่การสอบจำลองเพื่อทบทวน

กว่า 3,000 ปีที่แล้ว เกิดภัยพิบัติ: แผ่นดินไหว พายุเฮอริเคน ภูเขาไฟระเบิด และเหตุการณ์ภัยพิบัติอื่น ๆ ที่ทำให้โลกตกอยู่ในสภาวะล่มสลายผู้ฝึกสัตว์อสูรคนไหนที่เป็นคนหยุดยั้งภัยพิบัติครั้งนี้ได้?

[ก. เฉินเจียติง]

[ข เซินเสี่ยวหมาน]

[ค. หวังเหวินหยู่]

[ง. หวังเหยา]

เฉียวซางได้เห็นคำถามเช่นนี้มากมายในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นเมื่อ 3,000 ปีก่อนไม่ใช่ภัยพิบัติทางธรรมชาติ แต่เป็นภัยพิบัติที่มนุษย์สร้างขึ้น

เป็นหวังหยาวที่ใช้สัตว์อสูรของเขาเพื่อสร้างหายนะ ในฐานะผู้ฝึกสัตว์อสูรระดับ SS พลังอำนาจของเขามากพอที่จะแปรเปลี่ยนภูมิประเทศ

ด้วยการเลื่อนขั้นตำราอสูรในแต่ละคร้ัง ผู้ฝึกสัตว์อสูรจะสัมพันธ์ใกล้ชิดกับอสูรสัญญามากขึ้น ทำให้ได้รับพลังส่วนหนึ่งจากอสูรมาบ่มเพาะและพัฒนาร่างกาย

ดังนั้นเมื่อระดับของพวกเขาเพิ่มขึ้น ร่างกายก็จะยิ่งแข็งแกร่งตาม

เว้นแต่จะตกเป็นเป้าโจมตีโดยตรง พวกเขาจะไม่ตายจากการโดนลูกหลงระหว่างสู้

หวังเหยาด้วยร่างกายของผู้ฝึกสัตว์อสูรระดับ SS สามารถฝ่ากับดักของพันธมิตรและผู้ฝึกสัตว์อสูรไป 223 คน ในจำนวนนั้นมีระดับ S อยู่ด้วยถึง 11 คน

การเพาะเลี้ยงผู้ฝึกสัตว์อสูรระดับ S ต้องใช้ความพยายามอย่างน้อยหนึ่งศตวรรษ สิ่งนี้ทำให้พันธมิตรก็ประสบความสูญเสียอย่างหนักหน่วง

ต่อมาผู้ฝึกสัตว์อสูรระดับ SS หวังเหวินหยู่กลับมาจากดาวหยานเถียน และในที่สุดก็ปราบหวังเหยาได้ แต่ในการต่อสู้ครั้งนั้น สัตว์อสูรที่อยู่ที่ทำสัญญาอยู่กับเขามาอย่างยาวนานถึง 5 ตัวต่างตกตาย

หลังจากนั้น หวังเหวินหยู่ก็เริ่มเก็บตัวเงียบ

คำถามข้อนี้สามารถตอบผิดได้ง่ายๆหากอ่านไม่ละเอียด

คำถามนี้ปรากฏในการสอบจำลองครั้งก่อน และเฉียวซางเลือก D ไม่ใช่เพราะเธออ่านคำถามผิด แต่เพราะตอนนั้นเธอใช้วิธี “สามยาว หนึ่งสั้น” ในการทำข้อสอบ

ครั้งนี้เธอเปลี่ยนคำตอบจากครั้งที่แล้ว

“เฉียวซาง มีคนมาหาเธอ” เด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่นั่งอยู่ข้างประตูตะโกนออกมา

เฉียวซางเงยหน้าขึ้นมองและเห็นเด็กผู้หญิงในชุดนักเรียนสีซีดยิ้มให้เธอจากทางเข้าประตู

“นี่ไท่ซูซู! พวกเธอไปรู้จักกันตั้งแต่เมื่อไหร่?” ฟางซือซือถามด้วยความประหลาดใจ

ไท่ซูซูเป็นคนดังในโรงเรียน ความสนใจของเพื่อนร่วมชั้นจึงถูกดึงดูดโดยธรรมชาติ

“ฉันไม่รู้จักเธอ” เฉียวซางตอบด้วยความงงงวยไม่แพ้กัน

ถึงอย่างนั้นเธอก็เดินออกไปหาอีกฝ่าย

"มีอะไรรึเปล่า?" เฉียวซางถามด้วยความสับสน

เธอแน่ใจว่าเจ้าของร่างคนก่อนไม่เคยปฏิสัมพันธ์ใดๆกับไท่ซูซูมาก่อน คนหนึ่งเป็นนักเรียนระดับท็อป ส่วนอีกคนเป็นปลาเค็มหางแถว แถมพวกเธอเองก็ยังอยู่กันคนละห้องด้วย

ในเมื่อตอนนี้มันใกล้ที่จะเรียนจบแล้ว ไท่ซูซูไม่ได้มีเหตุผลอะไรเลยที่ต้องเข้าหาเธอ

“ฉันมาที่นี่เพื่อขอโทษแทนแม่ฉันสำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นครั้งที่แล้ว” ไท่ซูซูกล่าว

เธอมีรูปลักษณ์เหมือนดอกไม้สีขาวเล็กๆ และเนื่องจากภาวะขาดสารอาหาร เธอจึงดูบอบบาง ราวกับว่าแค่ลมกระโชกแรงก็มากพอที่จะให้เธอปลิวไสว

"มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นงั้นเหรอ?" เฉียวซางเลิกคิ้ว

“แม่เธอไม่ได้บอกเหรอ? เมื่อวันศุกร์ที่แล้วแม่ฉันเผลอพูดเรื่องไม่ดีกับแม่เธอ ตอนนั้นมีอาจารย์ยืนอยูู่ด้วยฉันเลยไม่สามารถเข้าไปขัดได้ ตอนที่อยู่บ้านคุณป้าเขาไม่ได้ดูหงุดหงิดอะไรใช่ไหม?” ไท่ซูซูถามด้วยเสียงแผ่วเบา

เฉียวซางเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่จะถามว่า “แม่เธอพูดว่าอะไรงั้นเหรอ?”

ไท่ซูซูแสดงสีหน้าขอโทษขอโพยออกมา

“มันค่อนข้างแรง แต่ที่จริงแล้วแม่ฉันไม่ได้ตั้งใจ แถมคุณป้าเองก็พูดบางอย่างออกมาเช่นเดียวกัน”

เธอหยุดชั่วคราวแล้วกล่าวเสริมว่า “แค่อาจารย์เห็นว่าพวกแม่ๆกำลังจะเริ่มทะเลาะกันจึงขอให้แม่ของเธอเป็นฝ่ายออกไปก่อน พอคิดถึงตอนนั้นฉันเลยรู้สึกผิดนิดหน่อย”

ใบหน้าของเฉียวซางนิ่่งเงียบ “อาจารย์ขอให้แม่ฉันออกไป แล้วมันเกี่ยวกับเธอยังไง?”

ไท่ซูซูสางผมของเธอด้วยมือให้ตรงเรียบ

“อาจารย์คงไม่เชิญคุณป้าออกไปหากไม่ใช่เพราะฉัน”

"อ่า" เฉียวซางกล่าวแล้วถามอีกครั้ง “แล้วสรุปแม่เธอพูดอะไรกันแน่”

ไท่ซูซูหัวลง ด้วยความที่เธอเตี้ยกว่าเฉียวซางเป็นทุนเดิม ทำให้ตอนนี้เฉียวซางจึงไม่สามารถแม้แต่สังเกตุสีหน้าอีกฝ่ายได้

“แม่ฉันบอกว่าผลการเรียนของเธอไม่ดีเป็นเพราะเธอขาดการอบรมจากพ่อ และที่เธอสามารถปลุกพลังขึ้นได้เป็นเพราะโชคดีล้วนๆ แถมยังพูดอีกว่าที่คุณป้าต้องหย่านั้นไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะคุณป้าปากร้าย”

เธอเงยหน้าขึ้นมา พร้อมแววตาและสีหน้าไร้เดียงสา “แล้วนี่เธอ...ปลุกพลังขึ้นมาได้เองจริงๆเหรอ?”

....

ขาใหญ่ (大腿)เป็นการเล่นมุกจากคำว่า กอดต้นขา(抱大腿) หมายถึงการพูดประจบสอพลอ

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด