บทที่ 12: รู้กันหมด
ความมืดมิดปกคลุมบริเวณโดยรอบ ความเงียบงันอันน่าขนลุก จู่ๆ ร่างสีดำก็เข้ามาใกล้มากขึ้น พร้อมส่งเสียงหัวเราะประหลาดสร้างความไม่สบายใจให้คนฟัง
มันไม่มีแขนขา ปรากฎแค่ลำตัวขนาดเท่าศีรษะมนุษย์ที่ลอยอยู่ในอากาศ ดวงตาสีแดงเข้มจับจ้องไปที่หญิงสาวในชุดขาวราวกับเป็นเหยื่อ
ในช่วงเวลาถัดมา ร่างกายไม่สมประกอบก็งอกมือพิการออกมาและเอื้อมมือไปที่หัวใจของหญิงสาว
มือนั้นลอดผ่านร่างของหญิงสาว แต่มันกลับคว้าได้เพียงความว่างเปล่า
ดวงตาของร่างสีดำเบิกกว้างด้วยความไม่เชื่อ
เด็กสาวเงยหน้าขึ้น และใบหน้าไร้อัตลักษณ์ก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้นบนหน้าจอ...
“ย่าห์!”
สุนัขเขี้ยวเพลิงกระโจนเข้าสู่อ้อมแขนของเฉียวซาง
ไม่อยากดูแล้ว!
เฉียวซางลูบหัว แอบผิดหวังในใจเล็กๆ...
สองวันมาป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ เฉียวซางปฏิเสธคำเชิญของฟางซือซือที่จะออกไปเที่ยวและเลือกอยู่บ้านเพื่ออ่านหนังสือ
นอกเหนือจากการใช้เวลาในการลงทะเบียนตัวเองเป็นผู้ฝึกสัตว์อสูรและลงทะเบียนสุนัขเขี้ยวเพลิงที่ศูนย์รับรองผู้ฝึกสัตรอสูรแล้ว เธอใช้เวลาเกือบทั้งหมดของเธอจมอยู่กับหนังสือ
อาจเนื่องมาจากการตื่นขึ้นของโดเมนสมอง ความทรงจำของเธอจึงดูดีขึ้นกว่าในชีวิตก่อนมาก แค่อ่านครั้งเดียวมันก็ฝังอยู่ในความทรงจำของเธอแล้ว
และวันเวลาก็ผ่านไปอีกวัน ช่วงเวลาที่ต้องกลับไปโรงเรียนก็มาถึง
“สุนัขเขี้ยวเพลิง ทำตัวดีๆนะ ฉันจะปล่อยแกทันทีที่โรงเรียนเลิก” เฉียวซางพยายามเกลี้ยกล่อม
เนื่องจากตอนนี้มันเบื่อกับการละเล่นออกและเข้า เข้าและออกแล้ว มันเลยปฎิเสธที่จะเข้าไปในตำราอย่างรุนแรง
พอคราวนี้เฉียวซางพยายามเอามันกลับเข้าไป มันเลือกที่จะขัดขืน
เห็นชัดว่ามันชอบอยู่ข้างนอกมากกว่า
“ย่าห์”
สุนัขเขี้ยวเพลิงส่ายหัว แสดงความต้องการของตัวเองชัด
เฉียวซางถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย จริงอยู่โรงเรียนไม่ได้เข้มงวดในการนำสัตว์อสูรในสัญญาไปเรียนด้วย แต่เนื่องจากนักเรียนส่วนใหญ่ยังไม่แม้แต่จะปลุกพลังขึ้นได้ สุนัขเขี้ยวเพลิงจะดึงดูดความสนใจมากเกินไป
เฉียวซางไม่ต้องการเป็นอยู่กลางแสงสปอร์ตไลท์
“ถ้าแกยอมกลับเข้าไป ตอนขากลับวันนี้ฉันจะซื้อผลลูกยอแดงให้กิน” เฉียวซางพยายามล่อลวง
สุนัขเขี้ยวเพลิงหันหน้าหนีอย่างหยิ่งผยอง
มันไม่เห็นอยากกินสักหน่อย
ริมฝีปากของเฉียวซางกระตุก
แม่ของเธอซื้อผลลูกยอแดงมาหกผล เฉียวซางให้สุนัขเขี้ยวเพลิงกินสี่อันในวันแรก และให้มันกินอย่างวันละลูกในสองวันถัดมา
มันเบื่อเร็วขนาดนี้เลยเหรอ?
“ถ้าแกไม่ยอมกลับเข้าตำรา ฉันจะทิ้งแกไว้บ้านนี่แหละ”
“จะไปละนะ”
“ฉันจะไปจริงๆนะ”
เฉียวซางเอนตัวลงบริเวณหน้าประตู แสร้งทำเป็นใส่รองเท้าเพื่อเตรียมตัว
“ย่าห์!”
สุนัขเขี้ยวเพลิงกระโจนเข้าสู่อ้อมแขนของเฉียวซาง เงยหน้าขึ้นมองด้วยแววตาที่เศร้าสร้อยและน้ำตาที่ล้นเอ่อ
“ถ้าแกอยากไปกับฉัน ก็อยู่ในตำราไปก่อน ฉันสัญญาว่าเลิกเรียนเมื่อไหร่จะรีบปล่อยแกออกมาทันที” เฉียวซางให้คำมั่นสัญญา
“ย่าห์” สุนัขเขี้ยวเพลิงก้มหัวลงท่าทีอ่อนลงกว่าก่อนหน้ามาก
เห็นสิ่งนี้ใจของเฉียวซางก็ยวบเหลวจนแทบจะกลายเป็นน้ำ
มันยังเป็นแค่เด็กน้อยอยู่เลย
สวนชิงเฉิง ตั้งอยู่ภายในเขตการศึกษาของโรงเรียนมัธยมต้นเหวินเฉิง ซึ่งอยู่ห่างออกไปเพียง 9 กิโลเมตร
การเดินทางไปที่นั่นสามารถทำได้โดยใช้รถประจำทางสาย 23, 36, 57 หรือรถไฟใต้ดินสาย 5 ไม่ก็ 7
เฉียวซางไม่ได้ขึ้นรถไฟใต้ดินอย่างที่ทำเหมือนแต่ก่อน
บนรถประจำทางหมายเลข 36 สุนัขเขี้ยวเพลิงโผล่หัวออกมามองลอดไปนอกหน้าต่างจากแขนของเฉียวซางปล่อยให้ลมพัดผ่านขนของมันอย่างเป็นสุข
รู้สึกตื่นเต้นที่ได้เห็นโลกภายนอก
“ตอนเราไปถึงโรงเรียนแล้วแกต้องทำตัวดีๆนะรู้ไหม?” เฉียวซางกล่าวพลางยิ้มด้วยความเอ็นดู
“ย่าห์!”
สุนัขเขี้ยวเพลิงตอบรับคำอย่างกระตือรือร้น
เห็นแบบนี้แล้วเฉียวซางอดไม่ได้ที่จะลูบหัวน้อยๆของมัน
เมื่อพวกเขามาถึง สุนัขเขี้ยวเพลิงก็ยอมให้เฉียวซางเรียกมันกลับไปในตำราอสูรอย่างเชื่อฟัง ถึงกระทั่งกระดิกหางอย่างมีความสุข
ห้อง 3-7 โรงเรียนมัธยมเหวินเฉิง
“นี่เธอการบ้านเสร็จยัง? ขอฉันลอกหน่อยสิ”
“ดูสิดู เห็นไหมว่ากำลังปั่นอยู่เหมือนกัน”
“เมื่อวานพวกนายได้ดูการแข่งขันในภูมิภาคเหลียนโปหรือเปล่า?”
"แน่นอน ฉันจ้องอยู่หน้าทีวีตั้งแต่ทุ่มนึง มังกรเกล็ดโลหิตของหลินจินหยางโคตรเท่เลย!”
"โคตรจริง! แล้วเห็นเจ้ามดกินเหล็กนั่นป่ะ? เกล็ดมันสีทอง! เกิดมาพึ่งเคยเห็นนี่แหละมดสีนี้! มันช่างจ้าซะเหลือเกิน!”
“ได้ยินมาว่าไท่ซูซูจากห้อง 9 ได้รับคำแนะนำให้เข้าโรงเรียนมัธยมเซินซุ่ย”
“อ้าว? ข่าวก่อนหน้านี้ลือกันว่าเธอจะเข้าหลี่ตันไม่ใช่เหรอ?”
“ลือกันว่าเธอไม่ผ่านน่ะ เลยต้องไปเรียนที่เซินซุ่ยแทน”
“หึ เข้าหลี่ตันที่เป็นอันดับหนึ่งในมณฑลเจ้อไห่ไม่ได้เลยมาเข้าโรงเรียนอันดับสองที่เข้าได้ง่ายๆแทนสินะ น่าขำจริงๆ”
“จ้าๆแม่คุณ ถ้าง่ายขนาดนั้นหล่อนก็สอบเข้าให้ดูหน่อยละกัน”
ตอนนั้นเองจู่ๆร่างเพรียวปรากฏขึ้นที่ประตูห้องเรียน
ขณะที่ร่างนั้นเดินเข้ามา เสียงซุบซิบทั้งหลายก็จางหายไปในทันที
เฉียวซางนั่งอยู่ลงบนที่นั่งของเธอ สังเกตเห็นสายตาหลายคู่เหลือบมองมาทางเธอ
เมื่อสัมผัสได้ถึงบรรยากาศแปลกๆ ในห้องเรียน เฉียวซางก็ลูบจมูกและกระซิบกับฟางซือซือ “นี่เธอได้บอกคนในชั้นรึเปล่าว่าฉันปลุกพลังขึ้นเองน่ะ?”
ฟางซือซือที่กำลังขะมักเขม้นลอกการบ้าน พึ่งสังเกตุเห็นการมาถึงของเฉียวซาง
“นายหญิงในที่สุดนายหญิงก็เสร็จมาเรียนสักทีนะเพคะ” ดวงตาของฟานซือซือฉายแววลิงโลด
“ฉันไม่ได้พูดอะไรเลย ฉันไม่ใช่พวกปากสว่างที่จะเอาเรื่องของคนอื่นไปโพนทะนาสักหน่อย” วิธีการพูดของเธอกลับมาเป็นปกติ
“อย่ามาแหลซะให้ยากเลยหล่อนน่ะ”
“แล้วทำไมทุกคนถึงจ้องฉันล่ะ?”
“ก็แม่เธอล่อมาโรงเรียนตั้งสองวันติดๆกัน คนอื่นก็เลยสงสัยน่ะว่ามีอะไรเกิดขึ้นรึเปล่า” ฟางซือซืออธิบาย
เฉียวซางหยุดชั่วคราว “มาสองวันติดกัน?”
"ใช่ๆ"
ถึงจะเดาได้อยู่แล้ว ว่าแม่เธอลืมขอหยุดกับอาจารย์ไว้ แต่เธอก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกห่อเหี่ยว
เดี๋ยวอาจารย์ต้องเรียกเธอไปที่ห้องพักอาจารย์เพื่อเทศนาอีกแน่...
ในขณะนั้นฟางซือซือกล่าวเสริมว่า “แถมทุกคนยังรู้ไปทั่วอีกแล้วด้วย ว่าคนที่ได้ 0 คะแนนล่าสุดคือใคร”
ถึงอาจารย์ประจำชั้นจะไม่ได้เอ่ยชื่อเฉียวซางออกมาเพื่อปกป้องศักดิ์ศรีของเธอเอาไว้ แต่การที่มีผู้ปกครองมาที่โรงเรียน ทุกคนก็เดาได้ทันทีว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
อันที่จริงหากไม่มีสิ่งต่างๆเกิดขึ้น พวกเขาคงลืมเลือนเรื่องนี้ไปโดยปริยาย เพราะทุกคนรู้ดีว่าผลการเรียนของเฉียวซางนั้นห่วยแตก การถูกเรียกเข้าห้องพักอาจารย์นับเป็นกิจวัตรประจำวันของเธอ
แต่เมื่อมีการเรียกผู้ปกครองเข้าพบเรื่องราวมันเลยต่างออกไปโดยสิ้นเชิง
โดยปกติแล้ว อาจารย์ประจำชั้นจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับผู้ปกครอง เว้นแต่จะมีปัญหาสำคัญ เช่น การทะเลาะวิวาทหรือการประพฤติมิชอบขั้นร้ายแรง
เมื่อเฉียวซางหยุดเรียนหนึ่งวันแถมโดดหายไปอีกวัน ข่าวลือซุบซิบก็แพร่กระจายอย่างรวดเร็ว และในไม่ช้าทุกคนก็รู้ว่าเรื่องกันหมด
เฉียวซางอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ แม้ว่าเธอจะไม่รู้สึกอายแม้แต่้น้อย
ในโรงเรียนข่าวลือแพร่สะพัดเร็วพอๆกับไฟป่า การได้ 0 คะแนน จนถูกเรียกผู้ปกครองไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไรขนาดนั้น
จริงอยู่ที่ในวัยนี้ เด็กบางคนอาจรู้สึกละอายใจ แต่เฉียวซางไม่แม้แต่จะกระอักกระอ่วน
“ว่าแต่เธอทำการบ้าวิชาวิเคราะห์พืชมารึยัง? เอามาลอกหน่อย” ฟางซือซือสะกิดเฉียวซางด้วยข้อศอกของเธอ
“ฉันไม่ได้มาโรงเรียนด้วยซ้ำ ฉันจะรู้เรื่องการบ้านได้ยังไง? แถมคนที่ได้อันดับสี่จากล่างสุดจะมาลอกการบ้านจากอันดับสามจากล่างสุดเนี่ยนะไม่แปลกไปหน่อยรึไง?” เฉียวซางตอบด้วยความโกรธ
“นายหญิงอย่าพูดถึงตัวเองแบบนั้นสิเพคะ” ฟางซือซือบ่นอุบพร้อมหน้ามุ่ย
“ฉันแค่คิดว่าแม่เธออาจจะเอาการบ้านไปให้ตอนที่แม่เธอมาในวันศุกร์ อิจฉาคนที่ไม่ต้องทำการบ้านชะมัด”
เฉียวซาง: "..."
โดยไม่สนใจท่าทีชวนขบขันของฟางซือซือ เฉียวซางจมอยู่ในห้วงความคิดอันลึกซึ้ง
อันที่จริงเธอยังไม่รู้เหตุผลด้วยซ้ำว่าแม่เธอมาโรงเรียนอีกวันทำไม