บทที่ 11: โรงเรียนมัธยมเซินซุ่ย
เฉียวซางเต็มไปด้วยความหงุดหงิดและหดหู่่
“เพราะแบบนี้เองเหรอ แกเลยโจมตีทีวี?”
เธอจ้องตาเจ้าหมา เตรียมพร้อมคำบ่นเพื่อฝึกฝนให้มันเป็นหมาที่ดีขึ้น
ตอนนั้นเสียง คลิก ก็ดังขึ้น ประตูเริ่มแง้มเปิดช้าๆ
เฉียวซางค่อยๆ หันศีรษะของเธอและยิ้มแข็งเป็นการต้อนรับ
"กลับมาแล้วเหรอค่ะแม่"
“คุ๊กคู!”
พิราบอ้วนของครอบครัวบินไปหาแม่ของเฉียวซางทันที และนวยเธอด้วยความรักใคร่
สายตาของผู้เป็นแม่กวาดมองความยุ่งเหยิงที่เกิดขึ้นในห้องนั่งเล่น ก่อนจะจ้องมาที่เฉียวซางด้วยใบหน้าอ่อนโยน
“อยากอธิบายมั้ย?”
เฉียวซางยกสุนัขเขี้ยวเพลิงมาบังเบื้องหน้าไว้ดั่งเกราะป้องกัน
“ทั้งหมดเป็นความผิดของเจ้านี่ค่ะ!”
สุนัขเขี้ยวเพลิง กระพริบตากลมโตด้วยทีท่าไร้เดียงสา
แม่ของเธอสบตากับเจ้าสุนัขเขี้ยวเพลิงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นพูดว่า "แม่จะหักออกจากค่าขนมลูก"
เฉียวซางจ้องมองแม่ของเธอด้วยความคับข้องใจ
“มีอะไรจะพูดไหม?” แม่ของเธอถาม
“ไม่มีค่ะ” เฉียวซางตอบ ขัดกับความคิดในหัวตัวเองลิบลับ
ข้อโต้แย้งน่ะมีแน่นอน เงินค่าขนมเธอแค่เดือนละ 1,000 เหรียญ ส่วนทีวีอย่างต่ำๆก็ปาไป 4,000 เหรียญแล้ว
ค่าขนมสี่เดือนของเธอกำลังบินห่างออกไป ส่วนเธอได้แต่คุกเข่าร้องไห้ทรมาณ
แม่เธอเดินไปนั่งบนโซฟา โดยมีพิราบอ้วนเดินตามติดๆ
“มีอะไรเรื่องอะไรเกิดขึ้นรีเปล่าคะแม่?” เฉียวซางถาม
ฟางซือซือได้พิมพ์บอกเธอว่ามีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นที่โรงเรียน
แม่เธอไม่ได้ตอบคำถามนั้นโดยตรง แต่ถามกลับว่า "ลูกมีโรงเรียนที่สนใจแล้วรึยัง?"
เฉียวซางเงียบไปชั่วคราว จากนั้นคิดครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า "โรงเรียนฝึกอสูรฮันกังที่ 6 ค่ะ"
โรงเรียนฝึกอสูรฮันกังที่ 6 ไม่ได้อยู่ในอันดับที่ 6 จากในบรรดาโรงเรียนมัธยมในฮันกังทั้งหมด แค่มันถูกตั้งชื่อเอาไว้แบบนั้น
ในแง่ของผลประเมินโดยรวมมันอยู่แค่ลำดับกลางๆจากโรงเรียนมัธยมปลายทั้งหมดเท่านั้น
ที่เธอเลือกโรงเรียนนี้ เพราะว่ามันใกล้บ้านล้วนๆ
อันที่จริงด้วยผลการเรียนที่ผ่านมา เธอคงไม่มีทางเข้าโรงเรียนระดับนี้ได้ แต่ตอนนี้เธอปลุกพลังขึ้นเอง เธอสามารถเข้ารับการสอบพิเศษได้
แม่เธอเมื่อได้ยินแบบนั้นก็ดึงโบรชัวร์ออกมาจากกระเป๋าเธอและวางไว้หน้าเฉียวซาง
“แม่ว่าลูกน่าจะลองสอบเข้าโรงเรียนนี้ดู”
เฉียวซางหยิบมันขึ้นมาและอ่าน ดวงตาของเธอกระตุกถี่ “โรงเรียนมัธยมเซินซุ่ย?”
แม่ของเธอยังรักษาอาการนิ่งสงบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้้นเอาไว้
"ใช่"
“แม่คะ แม่ไม่ประเมินหนูสูงไปหน่อยเหรอ?” เฉียวซางอดพูดออกมาไม่ได้ พร้อมวางโบรชัวร์กลับลงบนโต๊ะกาแฟ
โรงเรียนมัธยมเซินซุ่ย เป็นโรงเรียนมัธยมฝึกอสูรอันดับหนึ่งในเมืองฮันกัง และเป็นอันดับสองในมณฑลเจ้อไห่ อัตราการสมัครเข้าสอบสูงถึง 98.73% นับเป็นโรงเรียนชั้นนำในหมู่โรงเรียนชั้นนำอีกที
โดยปกติแล้วมีแค่พวกหัวกะทิในฮันกังเท่านั้นถึงจะเก่งพอจะสอบเข้าที่นี่ได้
หากมีเวลาก่อนสอบประมาณ 6 เดือน เฉียนซางจะอดตาหลับขับตานอนอ่านหนังสือเพื่อสอบเข้าให้ได้ แต่ตอนนี้เหลือเวลา 19 วัน นี่มันมิชชั่นอิมพอสซิเบิ้ลสุดๆ
จะเสียเวลาไปลองรับการสอบเข้าแบบพิเศษในที่แบบนี้ไปทำไม?
เฉียวซางไม่เข้าใจ แม้เธอจะปลุกพลังให้ตื่นขึ้นเอง แต่ไม่ใช่ว่าความคาดหวังที่แม่มีต่อเธอมันทะลุฟ้าเกินไปหน่อยเหรอ?
เย่เซียงถิงมองเฉียวซางอย่างสงบและพูดว่า "ไม่ต้องสอบติดก็ได้ แต่ลองพยายามให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ หากลูกเต็มที่กับมันแล้วแม่จะไม่หักค่าขนมลูก"
เฉียวซางหยิบโบรชัวร์ขึ้นมาอีกครั้งแล้วพูดว่า "หนูไม่ได้สนใจเรื่องค่าขนมหรอก แค่จู่ๆก็อยากลองสอบที่นี่ดูเท่านั้น"
ริมฝีปากของเย่เซียงถิงกระตุกถี่
“งั้นก็ลงทะเบียนสมัครทางออนไลน์เลย”
“ค่า” เฉียวซางพูดพร้อมกับอุ้มสุนัขเขี้ยวเพลิงกลับไปที่ห้อง
ขณะที่เธอมองดูร่างที่ลูกสาวของเธอค่อยๆไกลออกไป ดวงตาของเย่เซียงถิงก็เปล่งประกายด้วยความขบขัน แต่เมื่อเธอนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นที่โรงเรียนในบ่ายวันนี้ สีหน้าของเธอก็มืดครึ้มลงทันที
เฉียวซางไปที่ห้องของเธอเปิดคอมพิวเตอร์ และลงทะเบียนสำหรับทั้ง โรงเรียนฝึกอสูรฮันกังที่ 6และโรงเรียนมัธยมเซินซุ่ย
ทั้งสองโรงเรียนมีลำดับแตกต่างกันมาก และกฎเกณฑ์ในการเข้าเรียบต่อที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว
เฉียวซางคิดแล้วว่าจะเน้นคะแนนไปในส่วนการปลุกพลัง
เงื่อนไขสำหรับโรงเรียนฝึกอสูรฮันกังที่ 6 นั้นค่อนข้างง่าย
เมื่อเธอส่งหลักฐานการปลุกพลังด้วยตัวเองทางออนไลน์และผ่านการตรวจสอบแล้ว เกณฑ์ของคะแนนสอบที่เธอต้องทำจะขึ้นอยู่กับค่าคะแนนโดเมนสมองของเธอ
ด้วยการพัฒนาโดเมนสมอง 5% เธอสามารถหัก 100 คะแนนจากคะแนนสอบผ่านขั้นต่ำสำหรับการสอบเข้าได้ และด้วยการพัฒนา 6% สามารถหักคะแนนได้ถึง 200 คะแนน
ปีที่แล้ว เกณฑ์คะแนนขั้นต่ำในการเรียนต่อของฮันกังคือ 332 ถ้าเฉียวซางสามารถพัฒนาโดเมนสมองของเธอเป็น 6% เธอต้องการอีกเพียงแค่ 132 คะแนนเพียงเท่านั้น และจะสามารถผ่านเข้าเรียนแบบการสอบพิเศษได้
เมื่อพิจารณาจากความรู้ของตัวเองในปัจจุบัน เฉียวซางคิดว่านี่ไม่ใช่ปัญหา
สำหรับโรงเรียนมัธยมเซินซุ่ยนั้นซับซ้อนกว่ามาก การรับเข้าเรียนพิเศษสำหรับผู้ปลุกพลังด้วยตัวเองรับเพียง 5 คนเท่านั้น
หลังจากผ่านการตรวจสอบการลงทะเบียนแล้ว พวกเขาจะต้องเข้าร่วมการต่อสู้สัตว์อสูรตามเวลาและสถานที่ที่กำหนด
นักเรียนที่ได้อันดับที่สองถึงห้าจะต้องได้คะแนนสูงกว่าเกณฑ์คะแนนผ่านขั้นต่ำ 50 คะแนนจึงจะรับเข้าเรียนได้
ผู้ชนะอันดับหนึ่งจะง่ายขึ้นนิดหน่อย—พวกเขาแค่ต้องผ่านเกณฑ์คะแนนขั้นต่ำของฮันกังเท่านั้น
แม้ว่าผู้ปลุกพลังด้วยตนเองจะหายากมาก แต่หากนับตามจำนวนประชากรอันมหาศาลของมณฑลเจ้อไห่ ในแต่ละปีจะมีคนที่ปลุกพลังเองได้ราวๆ 40 ถึง 50 คน
แม้จะหักพวกได้รับคำแนะนำ หรือพวกที่มีโรงเรียนในใจอยู่แล้ว ในแต่จะปีจะมีคนรับการสอบเข้าที่โรงเรียนมัธยมเซินซุ่ยราวๆ โหลหนึ่งตลอด
เพราะท้ายที่สุดแล้ว มันเป็นถึงโรงเรียนอันดับหนึ่งในฮันกัง
เฉียวซาง ตั้งข้อสังเกตว่าการสอบคัดเลือกพิเศษของโรงเรียนเซินซุ่ย กำหนดไว้ในวันที่ 10 มิถุนายน หนึ่งสัปดาห์ก่อนการสอบจงเกา ซึ่งเหลือเวลาเตรียมตัวอีกเพียง 12 วันเท่านั้น
การต่อสู้ของสัตว์อสูรงั้นเหรอ?
เฉียวซางคิดอยู่ครู่หนึ่ง ผู้ที่เข้าร่วมในปีนี้ล้วนเป็นผู้ปลุกพลังมือใหม่เหมือนเธอ สัตว์อสูรของพวกเขาก็น่าจะอยู่ในระดับเริ่มต้นเฉกเช่นเธอ
อสูรที่เธอทำสัญญาด้วยเป็นอสูรประเภทไฟ ซึ่งค่อนข้างได้เปรียบ
เมื่อคิดถึงสุนัขเขี้ยวเพลิง เฉียวซางก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเปิดตำราอ่านข้อมูลของมันอีกครั้ง
ชื่อ: สุนัขเขี้ยวเพลิง*
คุณสมบัติ: ไฟ
ระดับ: ระดับเริ่มต้น (115/1000) +
ทักษะ: กัด (ขั้นต้น 73/100) +, พุ่งเข้าชน (ขั้นกลาง 135/500) +, เขี้ยวเพลิง (ขั้นต้น 2/100) +, เพลิงปะทุ (ขั้นต้น 3/100)
คะแนน: 0
เฉียวซางออกจากตำราและมองไปที่สุนัขเขี้ยวเพลิงด้วยสีหน้าแปลก ๆ
“อย่าบอกนะว่าทีวีทำให้มันกลัว จนมันเผลอปลุกทักษะใหม่ขึ้นมาได้?”
เหรียญพันธมิตร 4,000 เหรียญเพื่อแลกกับทักษะ—มันคุ้มไหม?
จริงๆ มันก็คุ้มนะ...
ศักยภาพของสัตว์อสูรนั้นมีจำกัด รูปลักษณ์ภายนอกไม่ได้เป็นตัวบ่งชี้ถึงศักยภาพของพวกมัน
สัตว์อสูรที่มีพรสวรรค์จะสามารถเรียนรู้ทักษะและฝึกฝนได้เร็วกว่าอสูรทั่วไปมาก
หากใครโชคไม่ดีและทำสัญญากับสัตว์อสูรที่พรสวรรค์อยู่ในระดับกลางๆ บางครั้งอาจต้องใช้เวลาเป็นปีในการเรียนทักษะใหม่
เฉียวซางมองไปที่สุนัขเขี้ยวเพลิงพร้อมจมไปกับความคิด
สุนัขเขี้ยวเพลิงของเธอดูเหมือนจะมีพรสวรรค์ไม่เลว คราวหน้าพามันไปดูหนังสยองขวัญดีไหมนะ?
ตอนนั้นเองขนของสุนัขเขี้ยวเพลิงก็ลุกพรึบอย่างไร้สาเหตุ ทำไมจู่ๆถึงรู้สึกหนาวกันนะ?
22:12 น.
ค่ำคืนอันแสนเงียบสงบ
เฉียวซางนอนอยู่บนเตียง มือหนุนไว้ใต้หัว ดวงตาเป็นประกายส่อถึงความคาดหวัง
หลังจากพลิกตัวไปสักพัก ในที่สุดเธอก็ลุกขึ้นนั่งและมองไปที่สุนัขเขี้ยวเพลิงที่ยังคงตื่นอยู่ข้างๆเธอ
สุนัขเขี้ยวเพลิงที่จ้องมาที่เธอด้วยทีท่างุนงง
“ย่าห์?”
เฉียวซางแอบกระซิบเบาๆ “ฉันจะไม่โกรธแกเรื่องทีวีเมื่อตอนบ่าย ว่าไงแกยังอยากดูทีวีอยู่ไหม?”
สุนัขเขี้ยวเพลิงลำเลิกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ ในที่สุดตอนนี้มันก็รู้แล้วว่าสิ่งที่อยู่ภายในหน้าจอทีวีจะไม่มีทางหลุดออกมา
"ย่าห์~" มันพยักหน้าแรงคล้ายจะบอกว่าอยากดู
เฉียวซางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจากข้างเตียงและค้นหาภาพยนตร์สยองขวัญยอดนิยมเรื่องล่าสุด และวางไว้เบื้องหน้าสุนัขเขี้ยวเพลิง
แววตาของสุนัขเขี้ยวเพลิงจ้องดูอย่างตั้งใจ
ในป่าทึบอันเต็มไปด้วยหมอกขาวโพลน เด็กสาวในชุดขาวกำลังเดินลึกเข้าไป จากมุมมองของเด็กสาวเธอมองเห็นบางสิ่งคล้ายเงาสีดำลอยอยู่กลางอากาศ...
เฉียวซางไม่ได้ดูไปพร้อมกับมัน แต่เธอกลับวางมือขวาบนโทรศัพท์แน่น คอยเฝ้าสังเกตปฏิกิริยาของสุนัขเขี้ยวเพลิง และพร้อมที่จะเข้าไปแทรกแซงในทุกเมื่อ