ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 2: ไม่ตบไม่ตีไม่ดีขึ้นเลย

บทที่ 1: ไม่ใช่ความผิดของเธอสักหน่อย


เมืองฮันกัง มณฑลเจ้อไห่

โรงเรียนมัธยมต้นเหวินเฉิง ห้อง 3-7

“ในครั้งนี้ผลการสอบจำลองของทุกคนนั้นดีขึ้นมาก โดยเฉพาะฉินโชวที่ทำคะแนนได้เป็นอันดับสองของระดับชั้น ห่างจากคะแนนเต็มไปแค่ 2 คะแนน ทุกคนควรเรียนรู้จากเขา”

“แต่แม้นักเรียนส่วนใหญ่จะทำได้ดี แต่ก็มีบางคนที่ไม่ได้พยายามพัฒนาตัวเองเลยสักนิดและทำคะแนนได้ 0 ซึ่งคอยรั้งค่าเฉลี่ยภายในชั้นเรียนให้ตกต่ำลง”

“อาจารย์จะไม่เอ่ยชื่อ แต่หวังน่านักเรียนคนนี้จะตระหนักได้ถึงความผิดของตัวเอง เหลืออีก 21 วัน ก่อนการสอบเข้าโรงเรียนมัธยมปลาย คะแนนแบบนั้นไม่มีทางทำให้เธอเข้าโรงเรียนมัธยมฝึกอสูรได้ แม้แต่โรงเรียนอาชีวธรรมดาก็ไม่มีหวัง”

อาจารย์ยู อาจารย์ชาวเมดิเตอร์เรเนียนเหลือบมองไปยังที่นั่งริมหน้า แถว 3 จากด้านหลัง ซึ่งมีเด็กสาวผมหางม้านั่งตัวตรง ทีท่าตั้งใจ เสมือนนักเรียนตัวอย่าง

มุมปากของอาจารย์วัยกลางคนกระตุกยิก หยุดเสแสร้ง! ฉันกำลังพูดถึงเธอนั่นแหละ!

เฉียวซางรู้ดีว่าคนที่อาจารย์ยูพูดถึงก็คือเธอ แต่มันช่วยไม่ได้จริงๆ เพราะเธอไม่ใช่เฉียวซางของโลกนี้

เธอพึ่งมาที่นี่เมื่อสองสามวันก่อน จากนั้นก็โดนผลักตกเหวลึกที่เรียกว่าการสอบจำลองโดยไม่ทันได้ตั้งตัว

แต่เธอก็ไม่ได้หวั่นเกรงแต่อย่างใด เพราะท้ายที่สุดมันก็เป็นแค่การสอบจำลองของเด็กมัธยมต้น ในชีวิตที่แล้วเธอเป็นถึงเด็กหัวห้องของมหาวิทยาลัยชั้นนำ

ทว่าทันทีที่เธอได้รับข้อสอบ เธอก็แข็งทื่อไปในทันที

[จะเกิดอะไรขึ้นหากบริเวณสมองสามารถปลุกพลังขึ้นมาได้?]

[รูปแบบวิวัฒนาการขั้นสุดท้ายของปลาค้อสาบคืออะไร?]

[ดาวเคราะห์ดวงไหนที่มนุษย์ได้ไปตั้งอาณานิคมแล้ว?]

ว๊อทททท....คำถามพวกนี้มันอะไรกัน?!

ผลสุดท้าย เธอก็ได้แต่ใช้เวิร์บทูเดา เลือกตอบคำตอบที่สั้นที่สุดในคำถามแบบปรนัย ส่วนเติมคำในช่องว่างเลือกคำตอบที่ยาวที่สุด

ในช่วงสองวันที่ผ่านมา เฉียวซางได้ปรับตัวเข้ากับร่างใหม่ของเธอ ด้วยความทรงจำที่คงเหลือทำให้เธอเข้าใจสิ่งต่างๆเกี่ยวกับโลกใบนี้

โลกใบนี้มีรากฐานมาจากการฝึกอสูร นับแต่มนุษย์ค้นพบความสามารถในการฝึกอสูรเป็นครั้งแรกจวบจนปัจจุบัน ระบบสังคมการฝึกอสูรได้เติบโตขึ้นอย่างเต็มที่

แต่แม้ว่าจะถูกเรียกว่ายุคฝึกอสูร แต่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถฝึกอสูรได้

เมื่อายุ 15 ปี บริเวณสมองของมนุษย์จะสามารถปลุก ตำราอสูรขึ้นมาด้วยการกระตุ้นของคลื่นแม่เหล็ก

ตำราเป็นทั้งสัญญาและพื้นที่ซึ่งเชื่อมโยงระหว่างมนุษย์และสิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติ

หากบริเวณสมองเกิดไม่ตื่นขึ้นในช่วงอายุ 15 ปี พวกเขาจะไม่มีทางเป็นนักฝึกอสูรได้ตลอดชีวิต

แม้ยุคฝึกอสูรจะพัฒนามาหลายสิบล้านปีแล้ว แต่มนุษย์ก็ยังไม่สามารถรับประกันการตื่นขึ้นของตำราอสูรได้อย่างสมบูรณ์

สถิติของนักเรียนที่สามารถปลุกตำราในปีที่แล้วได้คือ 73% ส่วนที่เหลือล้วนล้มเหลวทั้งหมด

แม้ว่าบางคนจะเป็นอัจฉริยะด้านวิชาการ แต่พวกเขาถูกกำหนดให้ไม่สามารถเข้าเรียนโรงเรียนฝึกอสูรได้

ผู้ที่ไม่สามารถฝึกอสูรได้จะถูกผลักไสให้กลายเป็นคนธรรมดาสามัญและยังคงอยู่ในสังคมระดับล่างไปตลอดชีวิต

นี่เป็นความจริงอันโหดร้าย—ถ้าไม่สามารถฝึกอสูรได้ คุณไม่สามารถทำงานใช้แรงงานได้ด้วยซ้ำ

ใครจะไปใช้แรงงานมนุษย์ในการเคลื่อนย้ายวัสดุก่อสร้าง ในเมื่อมีสิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติที่สามารถขนย้ายสิ่งของหลายร้อยหรือหลายพันกิโลกรัมได้อย่างง่ายดาย?

เช่นเดียวกับงานเสิร์ฟอาหาร

แม้ว่าค่าจ้างจะสูงกว่าเงินเดือนมนุษย์หลายเท่า แต่ร้านอาหารกลับเลือกที่จะจ้างสิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติมาแทนเพราะจะดึงดูดลูกค้าได้มากขึ้น

ในโลกที่แตกต่างจากบรรทัดฐานทางสังคมแบบเก่า เฉียวซางนักเรียนมัธยมต้นที่กำลังจะสอบเข้า รู้สึกกดดันอย่างหนัก!

โลกเก่าความรู้ได้เปลี่ยนโชคชะตา โลกใหม่ฝึกสัตว์อสูรเปลี่ยนชีวิต

แม้ว่าเธอจะมีความทรงจำของเจ้าของเดิม แต่เจ้าของเดิมก็เป็นเพียงนักเรียนท้ายห้อง!

ผลการเรียนของเธอคงที่อยู่ที่อันดับสามล่างสุดของชั้นเรียนเสมอ การสอบจำลองของเดือนที่แล้วแสดงให้เห็นการปรับปรุงเล็กน้อย โดยเธอเลื่อนลำดับมาเป็นอันดับสี่จากล่างสุด

เนื่องจากนักเรียนคนที่สี่จากล่างคนก่อนป่วยในวันสอบและพลาดสอบไปสองวิชา

และตอนนี้เหลือเวลาอีก 21 วันก่อนจะสอบเข้ามัธยมปลาย ไม่ต้องโรงเรียนชั้นนำก็ได้ ตราบใดที่เธอได้เข้าเรียนต่อเธอก็พร้อมที่จะกราบไหว้ฟ้าดิน!

เฉียวซางฟังการบรรยายของอาจารย์อย่างตั้งใจ จดบันทึก ทบทวนบทเรียนของเธอต่อไปแม้หลังเลิกเรียน แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นแบบเดียวกับที่เธอมีระหว่างการสอบเข้ามหาวิทยาลัยในชีวิตที่แล้วของเธอ

“เฉียวซาง เฉียวซาง คนที่ได้ 0 คะแนนที่จารย์พูดถึงก่อนหน้านี้คือเธอใช่ป่ะ?” ฟางซือซือเพื่อนที่นั่งโต๊ะใกล้ๆกันกระซิบถาม

อันที่จริงมันไม่ใช่คำถาม มันแค่เป็นการยืนยันคำตอบ เพราะแม้ว่าอาจารย์ยูจะไม่ได้เอ่ยถึงใครเป็นพิเศษ ทว่าสายตาที่ลอบมองมาทางเธอมันหลอกกันไม่ได้

เฉียวซางพยักหน้า

ในความทรงจำของเฉียวซางเพื่อนร่วมโต๊ะของเธอมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเธอ พวกเธอมักจะออกไปกินข้าวและเล่นด้วยกันเสมอ

เหตุผลสำคัญที่พวกเธอสนิทกัน นอกจากนั่งใกล้กันแล้วนั่นคือพวกเธอเป็นกลุ่มบ๊วยเหมือนกันอีกด้วย

ในการสอบครั้งนี้ฟางซือซือได้เข้ามาแทนที่เฉียวซาง ในตำแหน่งนักเรียนอันดับสี่จากล่างสุดในชั้นเรียนของพวกเธอ

“ว้าว ฉันแอบเห็นว่าเธอทำข้อสอบปรนัยครบทุกข้อ แต่ก็ยังได้ 0 คะแนน นั่นมันเจ๋งพอๆกับการได้คะแนนเต็มเลยนะ” ฟางซือซือกล่าว พร้อมยกนิ้วโป้งด้วยความชื่นชม

เฉียวซางไม่รู้จะตอบกลับยังไงดี ทั้งหมดนั่นมันไม่ใช่ความผิดของเธอ ถ้าจะโทษก็ต้องโทษคำตอบพวกนั้น ใครมันออกแบบคำตอบข้อสอบเป็น 3 ข้อยาว 1 ข้อสั้นสุดๆกัน

“แล้วเธอได้คะแนนเท่าไหร่?” เฉียวซางถาม

“263 เพิ่มขึ้นจากครั้งที่แล้วตั้ง 98 คะแนน” ฟางซือซือกล่าวด้วยความภาคภูมิใจ

ไม่แปลกเลยที่เธอเป็นหนึ่งในบ๊วยของห้อง ขนาดสอบจำลองมาตั้งหลายรอบคะแนนยังเพิ่มขึ้นมาแค่ 98 เอง

แต่เฉียวซางเก็บความคิดของเธอไว้กับตัวเอง ท้ายที่สุดแล้ว พวกเธอทั้งคู่เป็นนักเรียนท้ายห้องเหมือนกัน ไม่จำเป็นต้องสร้างบาดแผลให้กันและกันเพิ่ม

“ไม่เลว” เฉียวซางกล่าวอย่างตรงไปตรงมา แม้ว่าคะแนนของเพื่อนร่วมโต๊ะจะค่อนข้างน้อยไปหน่อยสำหรับเธอ แต่ก็นับว่ามีพัฒนาการที่ดีขึ้นจริงๆ

“ไม่แปลกหรอกก็แม่ฉันเล่นยืนจ้องตลอดเวลาเลยแหละ...”

ก่อนที่ฟางซือซือจะพูดจบ นักเรียนที่นั่งอยู่หน้าเธอก็หันกลับมาและถามอย่างสงสัยว่า “พวกเธอได้ยินข่าวลือเรื่องไท่ชูชูจากห้อง 9 บ้างป่ะ? จริงไหมที่ว่าเธอได้รับเลือกเข้าเรียนที่โรงเรียนฝึกอสูรหลี่ตัน?”

ฟางซือซือถอนหายใจ “ถ้ามีข่าวลือแบบนี้ก็คงมีมูลแหละ”

เฉียวซางยังคงพลิกหนังสือเรียนของเธอต่อไป

ไท่ซูซูเป็นนักเรียนอันดับต้นๆในการสอบจำลองตลอด สำหรับเฉียวซางไม่ใช่เรื่องแปลกที่นักเรียนตัวท็อปจะเข้าโรงเรียนมัธยมปลายระดับท็อปได้ สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับการเม้าท์มอยในครั้งนี้คือเธอได้รู้เรื่องสำคัญเรื่องหนึ่ง

“ฉันได้ยินมาว่าเธอเข้าโรงเรียนนั่นได้เพราะเธอปลุกตำราอสูรของเธอขึ้นมา” นักเรียนอีกคนกล่าวเสริมในการสนทนา

เฉียวซางเงยหน้าขึ้นมองผู้พูดทันที

โรงเรียนมัธยมฝึกอสูรรับสมัครนักฝึกอสูรมาทำงานในอนาคต ดังนั้นความสามารถในการปลุกตำราอสูรจึงเป็นสิ่งสำคัญ

ผู้ที่ประสบความสำเร็จในการปลุกพลังด้วยตนเองมักจะมีความสำเร็จในอนาคตที่สูงกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับผู้ที่ปลุกพลังด้วยการกระตุ้นด้วยคลื่นแม่เหล็ก

นักฝึกอสูรกลุ่มแรกเมื่อราวๆสามสิบล้านปีที่แล้วล้วนปลุกพลังขึ้นมาเองทั้งหมดและสัดส่วนคิดเป็น 0.001% จากประชากรทั้งหมด

จนกระทั่งเมื่อ 2,563 ปีที่แล้ว เฉินเล่อเซินค้นพบว่าบริเวณสมองของมนุษย์สามารถปลุกขึ้นได้ด้วยการกระตุ้นคลื่นแม่เหล็ก ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นที่แท้จริงของยุคฝึกอสูร

แต่ผู้ที่ประสบความสำเร็จในการปลุกพลังด้วยตัวเองก็ยังคงมีความโดดเด่นเหนือกว่า

“ปลุกพลังขึ้นเองงั้นเหรอ?” ฟางซือซือครุ่นคิด “พวกเธอคิดว่าตอนนี้สายไปไหมที่จะไปเกาะขาทองคำคู่นั้น?”

นักเรียนข้างหน้าส่ายหัว “อย่าแม้แต่จะคิด ถ้ามีโรงเรียนมัธยมปลายรองรับแล้วใครจะมาโรงเรียนต่อกัน เป็นเธอ เธอจะมาไหมล่ะ?”

ฟางซือซือพยักหน้าเห็นด้วย

“นี่ถ้าเกิดฉันปลุกพลังขึ้นมาได้ ฉันสามารถเข้าเรียนต่อได้ไหมหากคะแนนฉันต่ำ?” เฉียวซางถามอย่างจริงจัง

คำถามนี้ทำให้ทั้งสามหันมาสนใจเธอ

“อย่าโง่ไปหน่อยเลยน่า ถ้าปลุกพลังได้ต่อให้คะแนนเป็น 0 ก็มีโรงเรียนที่ต้องการตัวอยู่แล้ว” นักเรียนที่อยู่ข้างหน้ากล่าวด้วยน้ำเสียงเชิงขบขัน

“อย่าเสียเวลาคิดเรื่องนั้นเลย พวกที่ปลุกพลังได้มักจะเป็นนักเรียนระดับท็อปเสมอ ไม่มีที่ให้กับพวกบ๊วยแบบเราหรอก”

ฟางซือซือตบไหล่เฉียวซาง “เมื่อไม่กี่วันก่อนฉันก็ฝันแบบนี้นี่แหละ”

เฉียวซางก้มหน้าและไม่พูดอะไร

ทั้งสามคนคิดว่าเธอกำลังท้อแท้และเลิกพูดประเด็นนี้กันทันที

หารู้ไม่ว่าเฉียวซางนั้นกำลังอดกลั้นอย่างหนักไม่ให้ตัวเองระเบิดเสียงหัวเราะออกมา

ปลุกพลัง!

เธอปลุกพลังได้สำเร็จทันทีที่มาถึง!

เธอไม่รู้ว่ามันคืออะไรในตอนแรก และคิดว่าแค่โชคดี จนกระทั่งความทรงจำของเธอผสานเข้าด้วยกัน เธอจึงตระหนักว่ามันคือ ตำราอสูรซึ่งตื่นขึ้นมาเมื่ออายุ 15 ปี

เนื่องจากคนส่วนใหญ่ปลุกพลังได้ตอนอายุ 15 เธอจึงไม่คิดอะไรมาก เธอไม่คิดว่าช่องว่างระหว่างการปลุกพลังด้วยตัวเองและการกระตุ้นด้วยแม่เหล็กจะมีความสำคัญขนาดนี้!

ไม่น่าแปลกใจเลยที่ เฉียวซาง ดั้งเดิมจะเป็นนักเรียนระดับบ๊วย เธอไม่เข้าใจด้วยซ้ำถึงความแตกต่างระหว่างการปลุกพลังด้วยตนเองและการปลุกพลังผ่านการกระตุ้น

เมื่อปราศจากแรงกดดันจากการสอบเข้าโรงเรียนมัธยมปลายที่กำลังจะมาถึง เฉียวซางก็รู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นขณะอ่านหนังสือ

เธอไม่ได้มองว่าจุดความรู้บางจุดเป็นเพียงการท่องจำอีกต่อไป

[เต่ามอสจัดอยู่ในประเภทดิน มักพบเห็นได้ในทะเลทรายและเขตร้อน รูม่านตาของมันเป็นสีดำ และมันว่ายน้ำไม่เก่ง]

เต่ามอสมันเป็นเต่าไม่ใช่เหรอ? เป็นเต่าแล้วทำไมว่ายน้ำไม่เก่ง? ถ้าว่ายน้ำไม่เป็น จะเกิดมาเป็นเต่าเพื่อ?

แล้วทำไมเต่าถึงเป็นประเภทดินแทนที่จะเป็นประเภทน้ำ?

[หนูแม่เหล็กควรหลีกเลี่ยงฝนเพราะตัวของมันขึ้นสนิมได้ง่าย มันชอบแสงแดด]

ทำไมสิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติถึงเกิดสนิมได้?

หากคุณลักษณะของมันคือเหล็กก็เหมือนกับเหล็กจริง จะเกิดสนิมเมื่อโดนฝน แล้วทำไมมันถึงชอบแสงแดดล่ะ?

มันไม่กลัวการเกิดออกซิเดชันและเป็นสนิมเหรอ?

การได้เห็นความรู้ทั่วไปมากมายทำให้เธออยากจะตะโกนบ่นออกมาดังๆ

แต่เพราะแบบนี้เฉียวซางเลยรู้สึกว่าน่าสนใจ มันไม่ได้รู้สึกเหมือนกำลังอ่านหนังสือเรียนเลยสักนิด

ไม่นานนักโรงเรียนก็เลิก

ขณะที่เฉียวซางกำลังจัดข้าวของของเธอและไม่ทันได้ลุกจากที่นั่ง ก็มีหญิงสาวสวมแว่นตาขอบดำเข้ามาใกล้ “เฉียวซางอาจารย์อยากให้เธอไปหาที่ห้องพักอาจารย์”

เฉียวซางผงะไปชั่วขณะ "โอเค"

เด็กผู้หญิงที่ใส่แว่นคือหม่าเซียว ผู้ดูแลชั้นเรียน เธอไม่ได้แปลกใจนักว่าทำไมเฉียวซางถึงถูกเรียกไปหา

การเป็นนักเรียนอันดับสามจากล่างตลอดกาลเป็นเรื่องปกติสำหรับเฉียวซาง

ทว่าแม้เฉียวซางคนเดิมจะชินกับมัน แต่เฉียวซางคนปัจจุบันนั้นไม่

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อน้ำลายของอาจารย์แทบจะปลิวใส่หน้าเธอ

“เธอเป็นบ้าอะไร! การสอบใกล้เข้ามาทุกทีทำไมถึงปล่อยปละละเลยตัวเองแบบนี้! แล้วแบบนี้จะอธิบายพฤติกรรมของตัวเองให้พ่อแม่ฟังได้ยังไงกัน!!”

เฉียวซางแอบถอยออกจากรัศมีการยิงน้ำลายเล็กน้อย “อาจารย์ใจเย็นลงหน่อยเถอะค่ะ”

“ใจเย็น? จะให้ฉันใจเย็นได้ยังไง? ฉันก็สอนนักเรียนมามากแล้วแต่ไม่เคยมีใครแย่ขนาดนี้มาก่อน!” การต่อว่าของอาจารย์ยังคงต่อเนื่องไปเรื่อยๆ

ในฐานะนักเรียนชั้นนำในชีวิตก่อนหน้านี้ นี่เป็นประสบการณ์ครั้งแรกของเฉียวซางที่ได้รับการปฎิบัติแบบนี้

เธอถอยหลังไปอีกก้าวอย่างเงียบๆ “อันที่จริงมีสาเหตุที่ฉันทำตัวแบบนี้อยู่ค่ะ”

อาจารย์จ้องมองเธออย่างเย็นชา “สาเหตุ? สาเหตุอะไร?”

“จริงๆฉันปลุกพลังสำเร็จแล้วค่ะ เผอิญตอนนี้สมองฉันยังปรับตัวไม่ค่อยได้เท่าไหร่ค่ะ”

ในขณะนี้ เฉียวซางรู้สึกค่อนข้างประทับใจกับความฉลาดในการคิดข้อแก้ตัวของเธอ

“ฮึ่ม” อาจารย์หลุดแสยะยิ้มเบาๆ “ดูเหมือนฉันจะใจดีกับเธอมากไปหน่อยสินะ”

เฉียวซางรู้สึกงุนงงขึ้นมา การที่อาจารย์ใจดีกับฉันมันเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้กัน?

อาจารย์หยิบสมุดติดต่อออกมาจากลิ้นชัก เปิดแล้วเริ่มกดหมายเลข

ไม่นานนักอีกฝ่ายก็รับสาย

“สวัสดีครับ นั่นใช่ผู้ปกครองของเฉียวซางรึเปล่าครับ? ผมเป็นอาจารย์ประจำชั้นของเฉียวซาง สะดวกมาโรงเรียนได้ไหมครับ?”

เฉียวซาง: “…”

5 2 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด