ตอนที่แล้วบทที่ 14 คารวะอาจารย์
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 16 พฤกษาชำระเส้นเอ็น (1)

บทที่ 15 ฝึกฝน


บทที่ 15 ฝึกฝน

ช่วงเวลาไล่เลี่ย ณ จวนแม่ทัพแห่งด่านขุนเขามรกต ภายในห้องโถงกว้างใหญ่ แม่ทัพหงนั่งอยู่ที่เก้าอี้ไม้ขนาดใหญ่เพียงลำพัง เขากำลังเอนหลังพิงพนักเก้าอี้พลางเงยหน้ามองเพดาน ดวงตาอันคมกล้าคู่นั้นกำลังกวาดมองไปมาไม่หยุด ขณะเดียวกันมือก็ลูบคางพลางครุ่นคิดอย่างหนักหน่วง

“ทหารองครักษ์ทางด้านนั้นรายงานมาขอรับ เช้านี้หลี่เหยียนถูกจี้เหวินเหอเรียกเข้าไปในห้อง คาดว่าคงทำพิธีคารวะเป็นศิษย์อาจารย์กันอย่างเป็นทางการแล้ว ถัดไปคงเริ่มการฝึกฝนวิทยายุทธ์ขอรับ”

เสียงหนึ่งดังมาจากมุมห้องโถง ที่ตรงนั้นเป็นหนึ่งในสี่เสาหลักค้ำห้องโถงแห่งนี้ หากมองดูให้ดี จะพบเห็นชายร่างกำยำล่ำสันผิดปกติยืนอยู่ ร่างกายของเขาไม่สูงนัก ทว่ากลืนไปกับเงาเสา สวมชุดคลุมตัวยาวสีดำสนิท จนราวกับเป็นฐานเสาหลักที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงนั้นตั้งแต่แรก

“เมื่อคืนเขายังไม่ได้ให้เด็กนั่นคารวะเป็นศิษย์อาจารย์ในทันที นับว่าน่าแปลกใจ เพราะด้วยสภาพร่างกายที่ทรุดโทรมลงทุกวันเช่นนั้น เหตุใดทำอะไรด้วยท่าทีไม่รีบไม่ร้อนเช่นนี้กัน” แม่ทัพหงไม่ได้มองไปทางต้นเสียง สายตาของเขายังคงมองเพดานพลางตอบกลับ

“ศิษย์พี่พอจะดูออกหรือไม่ขอรับ ว่าแท้จริงแล้วเป็นเขาควบคุมพิษในร่างกายไม่ได้แล้ว หรือแกล้งทำให้ดูเป็นเช่นนั้น?” ชายร่างกำยำในชุดดำเอ่ยถาม

“แปดหรือเก้าส่วนสมควรเป็นเรื่องจริง ไม่ว่าจะจากรายงานของทหารองครักษ์ หรือจากการที่เขาเสาะหาศิษย์ไม่หยุดหย่อนตลอดหลายปีที่ผ่านมา มันไม่น่าจะใช่เรื่องโกหก เพียงแต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น หากเราใช้กำลังเข้าบีบบังคับคงมีโอกาสชนะน้อยนิด วิทยายุทธ์ของอีกฝ่าย ต่อให้ข้าและเจ้าร่วมมือกัน ด้วยสภาพปัจจุบันของเขา เกรงว่าจะยังไม่อาจรับมือได้ไหว” แม่ทัพหงกล่าวต่อ

“ศิษย์พี่อาจกล่าวเกินจริงไปขอรับ ถึงแม้วิทยายุทธ์ของเขาจะบรรลุเป็นยอดฝีมือผสานสรรพสิ่งแล้ว แต่ทางหนึ่งเขาต้องใช้พลังภายในส่วนหนึ่งเพื่อควบคุมพิษในร่างกาย ส่วนอีกทางหนึ่ง ข้ากับศิษย์พี่ต่างก็เป็นยอดฝีมือสูงสุดกันมานานกว่าสิบปีแล้ว จะกล่าวว่าห่างจากขั้นผสานสรรพสิ่งแค่หนึ่งย่างก้าวก็ไม่ผิด หากร่วมมือกันสองคนมีหรือจะไม่อาจจับตัวเขาได้” ชายร่างกำยำในชุดดำตอบด้วยเสียงทุ้มต่ำ

“ศิษย์น้อง การกระทำเช่นนั้นให้เป็นทางเลือกสุดท้าย ตอนนี้ข้ากำลังพิจารณาว่าจะทำอย่างไรกับเด็กนั่น ศิษย์คนก่อนของเขา ภายหลังเข้าจวนกุนซือไปแล้วก็ไม่เคยกลับออกมาอีกเลย เรียกได้ว่าหมดโอกาสได้พบ แต่ผ่านไปเดือนกว่ากลับด่วนตายจาก

ตอนนี้ศิษย์พี่จึงคิด ว่ามันใช่เขาฝึกฝนวิชาผิดพลาดจริงหรือ? หรือมันเป็นเพราะวิทยายุทธ์นั้นเป็นอย่างที่จี้เหวินเหอพูดจริง ที่ต้องอาศัยคนที่มีลักษณะพิเศษเท่านั้นจึงฝึกฝนได้ หากว่าเป็นอย่างหลัง การที่พวกเราเหนื่อยยากลำบากกันเพียงนี้ มันจะกลายเป็นการลงแรงเสียเปล่าเอาได้” แม่ทัพหงยังคงมองเพดานพลางขมวดคิ้วแน่น

“ศิษย์พี่ ในยุทธภพไม่มีวิทยายุทธ์ที่ไม่อาจฝึกฝน แม้แต่วิชาพิษหรือวิชาชั่วร้าย หากใครครอบครองก็สามารถฝึกฝน เหลือแค่ว่ามันเหมาะสมหรือไม่เหมาะสมกับตัวคน ไม่ใช่ฝึกได้หรือไม่ได้ เพราะข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน ว่าวิชาฝึกพลังภายในจะมีข้อกำหนดเรื่องลักษณะทางกายภาพ ยกตัวอย่างเคล็ดวิชาฝึกพลังขั้นพื้นฐานและขั้นสูงของสำนักเรา หากให้ศิษย์ในสำนักฝึก ใครบ้างฝึกไม่ได้? ต่างกันก็แค่ประสิทธิภาพต่อผลลัพธ์ที่ออกมาก็เท่านั้นเอง” ชายร่างกำยำในชุดดำเองก็ขมวดคิ้ว

“ก็เป็นดังที่เจ้าพูดจริง มันคือเหตุผลที่ข้าไม่อยากล้มเลิก แม้จะเป็นวิทยายุทธ์ของพรรคมารในยุทธภพ หากพวกเราอยากฝึกฝนก็ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้ เหลือก็เพียงแค่เรื่องของความคุ้มค่า ที่เขาปฏิเสธเช่นนั้น คงเป็นเพราะไม่อยากถ่ายทอดวิชาให้มากกว่า เพียงแต่หลี่เหยียนและศิษย์คนก่อนของเขามันมีอะไรที่พิเศษกันแน่?

เมื่อวานนี้ข้าใช้พลังภายในตรวจสอบเส้นชีพจรของเด็กนั่นที่ลานฝึกทหารไปแล้ว พบว่าธรรมดามาก เรียกได้ว่าเด็กหนุ่มในกองทัพหลายคนยังดีกว่าด้วยซ้ำ แต่จี้เหวินเหอกลับคัดเลือกมายาวนานหลายปีจากคนหลักแสน มันคืออะไรที่ข้าคิดไม่ตก” ภายในห้องโถงกลับมาเงียบสงัดอีกครั้งหนึ่ง

จนกระทั่งครู่หนึ่ง เขาหันไปพูดกับชายร่างกำยำในชุดดำ “ศิษย์น้อง ตอนนี้ไม่ว่าเขาจะรับศิษย์ด้วยเหตุผลอะไร หรือรับไปทำอะไรนั้น อย่างไรเขาก็ต้องถ่ายทอดเคล็ดวิชาให้ศิษย์คนนี้อย่างแน่นอน สิ่งที่เราต้องทำมีแค่พยายามติดต่อกับหลี่เหยียน หาทางเอาเคล็ดวิชามาให้จงได้ ด้วยสายตาของข้ากับเจ้า ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องมองเคล็ดวิชาออก ถึงตอนนั้นค่อยว่ากล่าวกันอีกทีหนึ่ง”

ภายหลังชายร่างกำยำในชุดดำจากไป ในห้องโถงใหญ่จึงกลับมาเงียบสงัดอีกครั้ง เสียงฝีเท้าที่ดังเริ่มไกลห่างและจางหาย ขณะที่แม่ทัพหงยังคงนั่งนิ่งบนเก้าอี้ตัวเดิม บรรยากาศในห้องโถงจึงเงียบสงัด จนราวกับหากมีเข็มหล่นลงพื้นก็คงได้ยินเสียง

ยามเย็น ณ ขุนเขามรกต หมู่บ้านหลี่ หลี่เหว่ยและผู้เป็นบิดากำลังเดินทางกลับจากไร่นาเช่นที่เคยทำ แม้ว่าภายหลังภัยพิบัติตั๊กแตน ผลผลิตในไร่นาจะถูกทำลายไปมาก แต่ก็ยังพอหลงเหลืออยู่บ้าง ชาวไร่ชาวนาที่มีความผูกพันกับพืชผลเสมือนมารดาผู้ให้กำเนิดบุตร ทุกต้นและทุกเม็ดล้วนมีความหมาย ไม่ใช่อะไรที่ผู้สูงศักดิ์ทั้งหลายจะเข้าใจได้ ทุกบ้านในหมู่บ้านจึงยังคงไปดูแลผลผลิตที่ยังเหลือน้อยนิดในพื้นที่ไร่นาของตนเองกันทุกวัน

หลี่ชางมักกลับมาก่อนเวลาพลบค่ำเสมอ และในช่วงเวลาที่ท้องฟ้ายังสว่าง เมื่อกลับมาถึงบ้านจะได้พบภรรยาและบุตรสาวคนเล็กกำลังเตรียมอาหารเย็นเรียบง่ายไว้รอ พวกเขาจะกินมื้อเย็นกันก่อนฟ้ามืด เพื่อเป็นการประหยัดจะได้ไม่ต้องจุดตะเกียงน้ำมันเป็นเวลานาน เพราะช่วงปีที่ผ่านมาชีวิตแทบไม่ราบรื่น แม้แต่ค่าน้ำมันตะเกียงก็ยังต้องประหยัดอดออมเอาไว้

นับตั้งแต่หลี่เหยียนออกเดินทางไปเมื่อวาน บรรยากาศในบ้านก็ค่อนข้างกดดัน “พ่อ วันนี้ผู้ใหญ่บ้านจะกลับมาแล้วใช่ไหม” แม่ของหลี่เหยียนมองไปยังคนอื่นที่กำลังทานมันเทศในชามอย่างอดไม่ได้ ขณะที่ตัวนางแทบไม่ได้แตะต้องตะเกียบ สุดท้ายจึงเอ่ยถามผู้เป็นสามีด้วยใบหน้าอมทุกข์

“ข้าบอกไปแล้วไม่ใช่หรือไร เจ้าจะถามอะไรบ่อยเช่นนี้ ตั้งแต่เมื่อวานเที่ยงก็เอาแต่ถาม ข้าบอกเจ้าไปกี่ครั้งแล้วว่าไปกลับอย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาสองวัน ช่วงนี้ยังถือเป็นระยะเวลาที่สมควรราบรื่นดี กินข้าวเสีย” หลี่ชางเงยหน้าขึ้น ใบหน้านั้นเผยให้เห็นถึงความใจร้อนและหงุดหงิด กระทั่งใช้ตะเกียบเคาะขอบชามส่งเสียงดังขึ้นมา

“เจ้าออกไปไร่ตั้งแต่เช้า กลับมาก็พูดแค่นี้ ใครกันแน่ที่เอาแต่พูดนั่นนี่” แม่ของหลี่เหยียนบ่นพึมพำเสียงเบา

หลี่เหว่ยหันไปมองทางหลี่เสี่ยวจู ทางด้านหลี่เสี่ยวจูก็หันมองเขาเช่นกัน ตอนแรกทั้งคู่คิดอยากถามอะไรบ้าง แต่พอได้เห็นสถานการณ์ไม่สู้ดีจึงไม่กล้าพูดอะไรอื่น และทั้งคู่เองก็รู้ดี ว่าถึงแม้จะถามออกไป พ่อก็คงไม่รู้เหมือนกัน ทำได้แค่มองว่าสุดท้ายจะเป็นแค่การช่วยกันเลียแผลโดยไม่ได้คำตอบ แต่อย่างน้อยก็น่าจะได้ความสบายใจกลับมาบ้าง

ตอนนี้เองที่มีเสียงฝีเท้าดังมาจากนอกประตูพร้อมกับเสียงดังกังวาน “ลุงชาง ข้ากลับมาแล้ว กลับมาแล้ว ฮ่า ๆ” ยามได้ยินเสียง ทุกคนในบ้านพลันรู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นมาในทันใด เพราะเสียงนี้เป็นหลี่กั๋วซิน ตอนนี้เองที่โต๊ะ เก้าอี้ ชาม ตะเกียบจึงถูกวาง กลุ่มคนต่างวิ่งออกมาจากบ้าน

เมื่อพบเห็นสถานที่ที่ดูยุ่งเหยิง ตะเกียบวางไม่เป็นระเบียบ เก้าอี้ยังล้มคว่ำ มันเทศที่กินไปเพียงไม่กี่คำยังเหลืออยู่ในชาม มารดาของหลี่เหยียนมองไปยังร่างทั้งสามที่วิ่งออกไปราวกับคนเสียสติพลางพ่นลมออกจมูกและบ่นออกมาว่า “เจ้าพวกนี้ เมื่อครู่ยังทำท่าทีไม่รีบไม่ร้อน ตอนนี้วิ่งเร็วเสียยิ่งกว่าเสือไล่” ถัดจากนั้นนางจึงลุกขึ้นและเดินตามออกไปนอกบ้านอย่างเร่งรีบ

หลี่กั๋วซินกำลังเดินมาทางบ้านของหลี่เหยียน ด้านหลังมีกลุ่มเด็กในหมู่บ้านและชาวบ้านอีกสองสามคนเดินตามมา และยังไม่ทันถึงหน้าประตู เขากลับได้เห็นคนสามคนวิ่งออกมาจากประตูบ้านอย่างรวดเร็ว แค่มองก็ทราบว่าเป็นลุงชางและลูก ๆ ทั้งสอง ตามหลังมาด้วยมารดาของหลี่เหยียนที่ดูร้อนรนไม่ต่างกัน และเมื่อลุงชางเห็นหลี่กั๋วซิน เขารีบหยุดเท้า หลี่เหว่ยและหลี่เสี่ยวจูรีบเข้ามาใกล้ ไม่ช้าลุงชางจึงสูดลมหายใจเข้าลึกและเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “กั๋วซินกลับมาแล้วนี่เอง เข้าไปดื่มน้ำดื่มท่าในบ้านก่อนเป็นไร ค่อยพูดค่อยจาบอกเล่ากัน”

หลี่กั๋วซินมองยังใบหน้าของลุงชางที่แสร้งทำเป็นสงบ ทว่าแววตากลับเผยให้เห็นแต่ความร้อนใจ เขาจึงอดไม่ได้จนต้องหัวเราะเสียงดังออกมา “ฮ่า ๆ ลุงชาง ข้าไม่เข้าไปจะดีกว่า นี่ก็เพิ่งกลับมาถึงหมู่บ้าน รถม้ายังจอดอยู่ด้านหน้านี้ ยังมีบ้านหลี่อวี้กับหลี่ซานที่ข้าต้องแวะไปอีก แต่มาถึงแล้วก็มาบ้านเจ้าก่อน บอกกล่าวเสร็จแล้วจะได้ไปแจ้งข่าวให้บ้านอื่นทราบ”

เมื่อลุงชางได้ยินจึงพยักหน้ารับ “เข้าใจ ๆ” ออกมา ถัดจากนั้นเขา หลี่เหว่ย และหลี่เสี่ยวจูจึงมองหลี่กั๋วซินด้วยสายตาคาดหวัง

ทางด้านหลี่กั๋วซินกำลังตีเด็กในหมู่บ้านที่วิ่งเล่นรอบตัวอย่างเบามือ “ไป ๆ กลับบ้านไปบอกผู้ใหญ่ในบ้านพวกเจ้าให้มารับของที่บ้านข้าเสีย” กลุ่มเด็กที่ได้ยินจึงตอบรับ “โอ้ โอ้” ก่อนจะรีบวิ่งจากกันไปอย่างร่าเริง บางคนวิ่งกลับบ้าน บางคนวิ่งไปหาชาวบ้านที่มาด้วยกัน เป็นชาวบ้านสองสามคนที่พบเจอบริเวณทางเข้าหมู่บ้าน พวกเขายืนกอดอกบ้างก็ลูบหัวลูกของตนด้วยความสนใจ เพื่อรอฟังข่าวที่ผู้ใหญ่บ้านนำมาจากในเมือง

หลี่กั๋วซินรอคอยจนเด็ก ๆ วิ่งออกไปพ้นแล้วจึงหันมองครอบครัวของหลี่เหยียนที่กำลังฝืนยิ้มอย่างไม่กล้าเร่งรัด หลี่กั๋วซินเริ่มแสดงสีหน้าท่าทีจริงจังแล้วพูดออกมาว่า “ลุงชาง ข้ายังไม่ได้ไปบ้านอื่น แต่มาหาบ้านเจ้าก่อน หมายความถึงมีข่าวดีมาบอก”

“อ้อ ลุงกั๋วซินมีข่าวดีว่าอะไรหรือขอรับ” หลี่เหว่ยเอ่ยถาม คนอื่นเองก็จ้องมองหลี่กั๋วซินด้วยใจเต้นรอคอยและคาดหวัง ชาวบ้านรอบด้านก็บอกให้ลูกเลิกเล่นซนและเริ่มก้าวเท้าเข้ามาใกล้

พบเห็นดังนี้ หลี่กั๋วซินไม่คิดปิดบังอีกต่อไป “ลุงชาง ดูเหมือนฮวงซุ้ยของตระกูลท่านจะดีเยี่ยม บรรพชนถึงขั้นส่งเสริมให้หลี่เหยียนที่เข้าเมืองครั้งนี้ไปสมัครเป็นทหารองครักษ์ ผู้ใดกันคาดคิด...” หลี่กั๋วซินเริ่มเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองอย่างละเอียด รวมกับเสริมเรื่องราวภูมิหลังของจี้กุนซือ เพื่อให้กลุ่มคนได้ทราบว่าหลี่เหยียนได้เป็นศิษย์ของใคร

ขณะที่บอกเล่า ชาวบ้านคนอื่นก็เริ่มเดินทางมาถึงกันมากขึ้น ยามได้ยินเรื่องราว ตอนแรกทุกคนต่างงุนงง จากนั้นจึงฮือฮา เสียงพูดคุยเริ่มดังระงม ครอบครัวของลุงชางถึงกับยืนนิ่งตัวแข็งทื่อ ราวกับไม่เชื่อสิ่งที่ได้ยิน หลี่เหยียนถึงขั้นได้เป็นศิษย์ของผู้ยิ่งใหญ่ที่มีชื่อเสียงโด่งดังยิ่งกว่าแม่ทัพหง

ความเก่งกาจของใต้เท้าจี้กุนซือ ยามนี้ได้เป็นที่รับรู้ของคนในหมู่บ้าน ยิ่งรวมกับหลี่กั๋วซินที่ยืนยันอย่างหนักแน่น พวกเขาจึงยิ่งเชื่อ เพราะชาวบ้านในหุบเขามักมีความรู้น้อย ผู้ใหญ่บ้านถือเป็นชนชั้นขุนนางที่ติดต่อกับโลกภายนอก บางครั้งหากมีขุนนางระดับล่างจากในเมืองมาเยือน ยังให้ความเคารพประหนึ่งพบเจอฮ่องเต้ ในขณะเดียวกัน ชาวบ้านเหล่านี้ก็สัตย์ซื่อและเชื่อคำกล่าวของผู้ใหญ่บ้านเสมอ

“สวรรค์โปรด สวรรค์เมตตา...” มารดาของหลี่เหยียนยืนพึมพำกับตัวเอง ท่ามกลางฝูงชน นางรู้สึกราวกำลังฝันไป ขณะที่ลุงชาง ภายหลังยืนนิ่งก็เผยน้ำตาไหลอาบแก้ม

ณ จวนกุนซือ ตั้งแต่มื้อเที่ยง ประตูห้องของหลี่เหยียนก็ปิดสนิท และที่มือจับประตูมีป้ายไม้สีดำขนาดเล็กแขวนเอาไว้

ภายหลังทานมื้อเที่ยงเสร็จเรียบร้อย หลี่เหยียนไม่ได้เลือกห้องด้านข้างที่ว่างเปล่ามาใช้เป็นสถานที่ฝึก เพราะเขาคิดว่าห้องของตนเองนั้นดีมากพอแล้ว จึงแขวนป้ายไม้สีดำเอาไว้และปิดประตู ภายหลังเลื่อนเก้าอี้เล็กน้อย เขานั่งลงกับโต๊ะและนำหุ่นไม้ออกมา เพื่อทบทวนเส้นทางการโคจรลมปราณตามเคล็ดวิชาชี้นำลมปราณอย่างละเอียด ระหว่างนั้นยังเทียบเปรียบกับหุ่นไม้อย่างถี่ถ้วน พลางท่องบทท่องจำอยู่ภายใน เนื่องจากเขาไม่อยากมีจุดจบเหมือนดังศิษย์พี่ผู้ล่วงลับ

เวลาผ่านไปราวหนึ่งเค่อ เขาวางหุ่นไม้ลงและไปนั่งขัดสมาธิบนเตียงไม้ เพื่อเริ่มการฝึกฝนตามบทท่องจำ แต่ในใจก็ครุ่นคิดและสาบานกับตนเอง ว่าหากรู้สึกถึงสิ่งผิดปกติจะต้องรีบหยุดฝึกในทันที

เรื่องที่เขาไม่ทราบ คือการฝึกฝนที่เริ่มขึ้นในวันนี้ มันจะเป็นจุดเปลี่ยนเส้นทางชีวิตของเขา ให้ก้าวเข้าสู่เส้นทางการแสวงหาอันไกลแสนไกล

5 1 โหวต
Article Rating
1 Comment
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด