บทที่ 61 การข่มขู่
บทที่ 61 การข่มขู่
เย่หวี่เจินเหมือนจะรู้สึกถึงบางอย่าง จึงหันกลับไปมอง และเมื่อเห็นหลินเซิน สีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย ราวกับไม่พอใจที่ได้พบเขาที่นี่
หลินเซินยิ้ม แล้วหันหลังกลับ เตรียมจะเดินออกไป
ทันใดนั้น เย่หวี่เจินก็รีบวิ่งเข้ามาขวางเขาไว้ เธอพยายามปรับสีหน้าและอารมณ์ ก่อนจะถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “นายกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่? ฉันได้ยินว่านายออกจากฐานหย๋าเฉินไปแล้วไม่ใช่เหรอ?”
“ไม่เช้าไม่สาย ก็ตอนที่เธอพูดว่า 'โยน' 'ขโมย' 'หัว' คำไหนอีกนะ ฉันจำไม่ค่อยได้…” หลินเซินยังพูดไม่จบ เย่หวี่เจินก็เอามือปิดปากเขา แล้วลากเขาไปยังที่ที่ไม่มีคน
“เธอจะลากฉันมาทำไมเนี่ย? รักษาภาพพจน์หน่อยสิ เธอเป็นกุนซือนะ กุนซือต้องใช้วาจา ไม่ใช่กำลัง จะลงมือเองได้ยังไง?” หลินเซินบ่น หลังจากที่เย่หวี่เจินปล่อยมือเขาแล้ว
“ฉันเตือนนายไว้ก่อนนะ ถ้าฉันได้ยินเรื่องนี้หลุดออกไปข้างนอกแม้แต่คำเดียว ฉันจะไม่ปล่อยนายไว้แน่” เย่หวี่เจินข่มขู่ด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด
“ฉันเป็นคนที่ใจแข็ง ใครขู่ฉันไม่ได้หรอก ดูเหมือนว่าฉันต้องไปพิมพ์ใบปลิวแจกแล้วล่ะ” หลินเซินพูดด้วยน้ำเสียงล้อเลียน พร้อมกับทำท่าจะเดินออกไป
เย่หวี่เจินรีบคว้ามือเขาไว้ พูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง พร้อมกับกัดริมฝีปากเบาๆ “นายต้องการอะไรกันแน่?”
“พาฉันกลับบ้าน” หลินเซินหยุดยิ้ม พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“หมายความว่ายังไง? พานายกลับบ้านไหน บ้านใคร?” เย่หวี่เจินมองหลินเซินด้วยสีหน้างุนงง ไม่เข้าใจความหมายของเขา
“ก็บ้านเธอไง” หลินเซินตอบ
“ทำไมฉันต้องพานายกลับบ้าน? นายบ้าไปแล้วรึไง?” เย่หวี่เจินเห็นหลินเซินทำสีหน้าไม่พอใจ กำลังจะเดินหนี เธอก็รีบคว้ามือเขาไว้ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “นายต้องบอกเหตุผลมาก่อนสิ ว่าทำไมต้องไปบ้านฉัน”
“ฉันนัดบอดกับเธอ ฉันค่อนข้างพอใจในตัวเธอ การไปพบครอบครัวของเธอ มันก็สมเหตุสมผลดี” หลินเซินอธิบาย
“สมเหตุสมผลบ้านป้านายน่ะสิ ฉันขอโทษนายไปแล้ว อย่ามาแกล้งฉันได้ไหม?” เย่หวี่เจินพูดอย่างหัวเสีย
“เธอก็แค่บอกมาว่าจะพาฉันไปหรือเปล่า” หลินเซินตั้งใจแน่วแน่แล้วว่าจะไปบ้านเย่หวี่เจินให้ได้ เพราะระบบป้องกันที่บ้านของเธอน่าจะแข็งแกร่งมาก น่าจะเป็นสถานที่ที่ปลอดภัย หากเกิดเหตุการณ์กองทัพสัตว์ร้ายบุกเข้ามาในฐาน
ในเมื่อเขาจับจุดอ่อนของเย่หวี่เจินได้แล้ว ถ้าไม่ใช้ประโยชน์ให้เต็มที่ ก็คงไม่คุ้ม
“เป็นไปไม่ได้ ถึงฉันจะตาย ฉันก็ไม่พานายไปบ้านฉันเด็ดขาด เลิกล้มความคิดซะ” เย่หวี่เจินพูดอย่างเดือดดาล
“เป็นไปไม่ได้งั้นเหรอ? งั้นใบปลิวที่ฉันจะแจกควรเขียนว่ายังไงดี? มีคน 'โยน' 'ขโมย' 'หัว' …” หลินเซินแสร้งทำเป็นครุ่นคิด ก่อนจะหันหลังกลับ และค่อยๆ เดินออกไป
“กลับก็ได้! อยากไปบ้านฉัน อยากไปสุสานตระกูลฉัน ฉันก็จะพาไป พอใจยัง?!” เย่หวี่เจินรีบคว้ามือหลินเซินไว้ พูดตัดพ้อ
“สุสานตระกูลเธอฉันไม่ไปหรอก ไว้รอไปฝังพร้อมกันค่อยว่ากัน” หลินเซินเว้นวรรค ก่อนจะพูดต่อ “ฉันจะไปพบบ้านพ่อแม่ของเรา เอาของฝากอะไรไปดีนะ?”
“ใครพ่อแม่นาย…” เย่หวี่เจินโกรธจนแทบจะขำ
“'โยน' 'ขโมย' 'หัว' …” หลินเซินเริ่มท่องซ้ำอีกครั้ง
“เออๆ ของนาย ของนายหมดเลย ทุกอย่างเป็นของนาย พอใจหรือยัง?” เย่หวี่เจินพูดอย่างหงุดหงิด “นี่ นายต้องการอะไรกันแน่? ถ้านายยังไม่หายโกรธ นายก็ตบฉันเลยก็ได้ อยากตบยังไงก็ตบ ตบจนตายฉันก็ยอม”
“ฉันจะตบเธอได้ยังไง หาแทบตายถึงจะเจอคนที่ถูกใจ ฉันยังรอแต่งงานกับเธออยู่ ถ้าหน้าเสียโฉมไปก็แย่สิ เลิกคิดมากได้แล้ว ไปกันเถอะ เราไปซื้อของขวัญไปฝากพ่อแม่เรากัน” หลินเซินโอบไหล่เย่หวี่เจิน แล้วพาเธอเดินเข้าไปในตลาด
เย่หวี่เจินพยายามดิ้นออก แต่ก็ไม่เป็นผล จึงปล่อยเลยตามเลย
เมื่อมาถึงร้านขายของขวัญ หลินเซินก็เลือกซื้อของออกมาหลายชิ้น
“โอ้โห ใจป้ำจังเลยนะ ของพวกนี้รวมกันก็ร้อยกว่าเหรียญ ใช้เงินฟุ่มเฟือยจริงๆ” เย่หวี่เจินเห็นของที่หลินเซินซื้อ ก็พูดประชดประชัน พลางเบ้ปาก
“เดินทางไกลพันลี้ เพื่อมอบขนหงส์ แม้ของขวัญจะเล็กน้อย แต่ใจจริงหนักแน่น(千里送鹅毛,礼轻情义重 )ไง น้ำใจสำคัญกว่าราคา” หลินเซินไม่มีเงินจริงๆ หลังจากที่ซื้อสัตว์เลี้ยง เงินกินข้าวยังไม่มี ไม่งั้นเขาคงไม่เสียดายเงินเล็กๆน้อยๆแบบนี้
ตอนนี้เขาต้องเกาะเย่หวี่เจินไว้ อย่างน้อยก็มีข้าวกิน มีที่อยู่
“นายจะเอาของพวกนี้ไปให้พ่อแม่ฉัน นายเชื่อไหมว่าพวกท่านจะหักขานาย แล้วโยนของพวกนี้ทิ้ง” เย่หวี่เจินพูดพลางแย่งของจากมือหลินเซิน แล้วโยนลงถังขยะ จากนั้นเธอก็เดินไปที่ร้านขายของขวัญหรูหราอีกร้านหนึ่ง
“เฮ้ย อย่าทิ้งสิ นี่มันเงินทั้งนั้นนะ เธอไม่ชอบก็เอาไปคืนได้” หลินเซินรีบหยิบของจากถังขยะ แล้วเดินไปที่ร้านเพื่อขอเงินคืน
ไม่นาน เย่หวี่เจินก็เดินออกมาพร้อมถุงของขวัญสวยๆ หลายใบ ยื่นให้หลินเซิน “เอานี่ไป”
หลินเซินรับมา แล้วยื่นให้เว่ยหวู่ฟู่ “ช่วยถือหน่อย”
“นี่ นายยังจะพาเขาไปพบพ่อแม่ฉันด้วยเหรอ?” เย่หวี่เจินมองหลินเซินเหมือนมองคนบ้า
“คนรวยใครๆ ก็มีบอดี้การ์ด นี่มันสัญลักษณ์บ่งบอกฐานะ ไปกันเถอะ รีบกลับบ้าน พ่อแม่คงรออยู่แล้ว” หลินเซินโอบเย่หวี่เจิน พร้อมกับดันเธอเดินไปข้างหน้า
“ไม่รู้ว่าชาติที่แล้วฉันทำกรรมอะไรไว้…” เย่หวี่เจินบ่นอุบ พร้อมกับเดินไปข้างหน้าอย่างไม่เต็มใจ
พอมาถึงหน้าบ้าน เย่หวี่เจินก็มองหลินเซินด้วยแววตาหวาดหวั่น “นายจะเข้าไปจริงๆ เหรอ?”
“แน่นอนสิ ไม่งั้นฉันจะมาทำไม?” หลินเซินมองบ้านของเย่หวี่เจินที่เหมือนปราสาท รู้สึกพอใจมาก
“ได้ นายแน่มาก แต่เข้าไปแล้วอย่าพูดมั่วซั่วล่ะ” เย่หวี่เจินพูดพลางเดินไปที่ประตู เธอกดกริ่ง ไม่นานก็มีคนมาเปิดประตู
ปราสาทสีขาว หลังคาสีฟ้า ที่นี่ราวกับปราสาทในเทพนิยาย มองจากภายนอกดูไม่ออกว่าสร้างจากวัสดุกลายพันธุ์ แต่แค่ประตูก็หนาถึงครึ่งเมตรแล้ว แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของระบบป้องกัน ตระกูลเย่ปลอดภัยกว่าที่หลินเซินคิด อาจจะไม่ด้อยไปกว่าตระกูลลู่และตระกูลสวีเลย
แน่นอนว่า ถ้าเทียบกันที่ขนาด ตระกูลลู่และตระกูลสวียังคงใหญ่กว่า แต่ถ้าเทียบที่อุปกรณ์ พวกเขาก็อาจจะสู้ตระกูลเย่ไม่ได้
“ดูเหมือนว่าพ่อแม่ของเย่หวี่เจินจะรวยกว่าที่ฉันคิด” ถึงแม้ว่าหลินเซินจะไม่ค่อยได้ออกไปไหน แต่พอเห็นสถาปัตยกรรมของปราสาทนี้ เขาก็รู้ว่าพ่อแม่ของเย่หวี่เจินไม่ธรรมดา
ก่อนที่หลินเซินและเย่หวี่เจินจะเข้าไปในปราสาท หญิงผู้หนึ่งที่ดูอายุราวๆ สามสิบปี แต่งกายด้วยชุดที่ดูดีมีรสนิยม ก็เห็นพวกเขาทั้งสองคนผ่านกล้องวงจรปิดอย่างชัดเจน
“นั่นคือน้องชายคนเล็กของหลินอิ่น?” ผู้หญิงคนนั้นมองภาพจากกล้องวงจรปิด ที่หลินเซินและเย่หวี่เจินดูเหมือนจะมีท่าทีเขินอายเล็กน้อย แต่ก็ดูสนิทสนมกัน แล้วถามชายชราที่ยืนอยู่ข้างๆ
“ใช่ครับนายหญิง เขาชื่อหลินเซิน เป็นน้องคนสุดท้องในบรรดาพี่น้องห้าคนของตระกูลหลิน ที่ฐานเสวียนเหนี่ยว ชื่อเสียงของเขาไม่ค่อยดีนัก แต่ครั้งนี้ กองคาราวานของตระกูลหลินถูกปล้น คุณชายสามและคุณชายสี่ไม่อยู่ที่ฐาน หลินเซินจึงต้องออกมาจัดการเอง จากข้อมูลที่สายลับของเราที่แฝงตัวอยู่ในตระกูลสวีรายงานมา คุณชายน้อยคนนี้ถึงแม้ว่าความสามารถส่วนตัวจะไม่ได้โดดเด่นอะไร แต่เขามีปืนที่สามารถฆ่าผู้วิวัฒนาการระดับคริสตัลได้ น่าจะเป็นเครื่องยิงสัตว์เลี้ยง แต่ระดับและที่มาของมันยังไม่ทราบ…” ชายชราเล่ารายละเอียดทั้งหมดอย่างละเอียด แม้แต่เรื่องที่หลินเซินคุยกับเย่หวี่เจิน ก็เล่าได้ไม่ตกหล่นแม้แต่คำเดียว
“นายคิดว่าเขากับหลินอิ่นในตอนนั้น ใครเก่งกว่ากัน?” หลังจากที่ผู้หญิงคนนั้นฟังจบ เธอก็ถามขึ้นเบาๆ
“แน่นอนว่าหลินอิ่นเก่งกว่ามาก ต่างกันราวฟ้ากับดิน” ชายชราตอบทันที โดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย
“ต่างกันราวฟ้ากับดิน? ไม่แน่หรอก ฉันว่าเขาก็น่าสนใจดี” ผู้หญิงคนนั้นพูดด้วยรอยยิ้ม และแววตาที่ดูมีเลศนัย