บทที่ 33 ค่ำคืนอันยาวนาน
“ท่านอยู่หรือไม่?”
ในอาคารหลังหนึ่ง เสียงของเออรีดังขึ้นจากหน้าประตู
ใบหน้าที่เคยเต็มไปด้วยความหวาดกลัวของเขา ตอนนี้กลับสงบนิ่งลงขณะเคาะประตูบานนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เขาเคาะอยู่นานแต่กลับไม่ได้รับการตอบรับใดๆ จากภายใน ทำให้เออรีชะงักไปครู่หนึ่ง
“หรือว่าเขาไม่อยู่ในนั้น?” ความคิดนี้ผุดขึ้นในใจของเขา
แม้จะไม่ได้ใช้เวลารู้จักกันนานนัก แต่จากการพบปะพูดคุยก่อนหน้านี้ อาเดียร์เป็นคนที่มีมารยาทดีมาก หากเขาอยู่ในห้องจริงๆ คงไม่มีเหตุผลที่จะไม่ตอบสนอง
เออรีเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่เริ่มมืดลงเรื่อยๆ เขาพยายามกดความหวาดกลัวในใจไว้ และยืนรออยู่หน้าประตูจนกระทั่งแสงอาทิตย์เลือนหายไป
ในที่สุด เขาก็จำใจต้องเดินกลับไป และวางแผนว่าจะลองมาใหม่อีกครั้งในภายหลัง
เสียงฝีเท้าดังขึ้นอย่างรวดเร็วในบริเวณนั้น
หลังจากเออรีเดินลับไปแล้ว อาเดียร์ก็ก้าวออกมาจากกระท่อมไม้ที่อยู่ห่างออกไป
เขามองตามแผ่นหลังของเออรีที่ค่อยๆ ลับสายตา ใบหน้าของเขาแสดงอาการนิ่งเฉยและเย็นชา
ยามค่ำคืนค่อยๆ คืบคลานเข้ามา
ท้องฟ้าคล้ำมืดลงเรื่อยๆ และความเงียบงันก็ปกคลุมทั่วบริเวณ
ในเวลานี้ ชาวบ้านส่วนใหญ่ต่างหลับใหลอยู่ในบ้านของพวกเขา
แต่ยังมีบางครอบครัวที่แม้ในยามค่ำคืนอันมืดมิด กลับยังคงตื่นอยู่พร้อมกับหัวใจที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวและกระวนกระวาย
ในกระท่อมไม้หลังหนึ่ง ผู้คนจำนวนหนึ่งเดินวนไปมาในห้องโถงด้วยความกระวนกระวาย
พวกเขาจ้องมองไปยังความมืดภายนอก สีหน้าเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นที่ยากจะปกปิด
ทันใดนั้น ประตูถูกเปิดออก
ร่างสูงของเออรีก้าวเข้ามาด้วยสีหน้ามืดครึ้ม
“เป็นอย่างไรบ้าง? ท่านพบอัศวินผู้นั้นหรือไม่?”
ทันทีที่เออรีก้าวเข้ามาในห้อง เสียงถามไถ่จากคนหลายคนดังขึ้นพร้อมกัน ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความกังวล
เออรีมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกระวนกระวายเหล่านั้นก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นพร้อมสีหน้ามืดครึ้ม
“ข้าไปตรวจดูที่ลานโล่งหน้าหมู่บ้านแล้ว แต่ไม่พบเขา”
“เวรเอ๊ย!” ชายวัยกลางคนคนหนึ่งกัดฟันพูดด้วยความโกรธเกรี้ยว
“เขาคงทิ้งพวกเราแล้วหนีไปกับลามานและพวกนั้นแน่ๆ!”
“เจ้าคนทรยศนั่น! พวกเราช่วยดูแลเขาตั้งหลายวัน สุดท้ายกลับทิ้งพวกเราไว้แบบนี้ สมแล้วที่เป็นพวกคนนอก! ไร้ประโยชน์สิ้นดี!”
ใบหน้าของชายคนนั้นเต็มไปด้วยความบิดเบี้ยว เขายืนพ่นคำด่าอย่างต่อเนื่องราวกับพยายามระบายความหวาดกลัวและความโกรธในใจให้หมดไป
เมื่อเขาพูดจบ บรรยากาศในห้องกลับเงียบลงอย่างน่ากดดัน
ความอึดอัดค่อยๆ แผ่ซ่านออกมาทั่วห้อง
เออรีถอนหายใจยาวเมื่อเห็นบรรยากาศนั้น
“อย่าคิดแบบนั้น บางทีเรื่องอาจจะไม่ได้แย่อย่างที่พวกเจ้าคิดก็ได้”
เขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงปลอบโยน
“อัศวินคนนั้นดูเป็นคนดี ถ้าเขาจะไป เขาคงไม่ลืมที่จะบอกพวกเราก่อน ไม่น่าจะหายไปโดยไม่พูดอะไรแบบนี้”
เออรีลุกขึ้นยืนและหันไปพูดกับคนในห้อง
“พวกเจ้าจัดการเก็บข้าวของในนี้ต่อไป ข้าจะลองออกไปดูข้างนอกอีกครั้ง บางทีเขาอาจจะกลับไปที่ที่พักแล้ว”
เมื่อพูดจบ เขาเปิดประตูและเดินออกไป ร่างของเขาค่อยๆ หายลับเข้าไปในความมืด
เออรีเดินไปตามเส้นทางที่คุ้นเคย ไม่นานก็กลับมาถึงบ้านพักของอาเดียร์
เขาเอื้อมมือขวาเคาะประตูอย่างต่อเนื่อง
เสียงเคาะประตูดังขึ้นก้องกังวาน ท่ามกลางความเงียบของค่ำคืน มันฟังดูแปลกแยกและน่าขนลุก
เขาเคาะประตูอยู่ครู่หนึ่ง แต่ภายในกลับไม่มีเสียงตอบรับใดๆ ทั้งสิ้น
เขาถอนหายใจออกมาเบาๆ ในหัวใจของเขาเต็มไปด้วยความผิดหวัง เขาหมุนตัวเตรียมจะกลับไปยังที่พักของตน
ทันใดนั้น ความเย็นเยียบแปลกประหลาดกลับแผ่ซ่านมาจากด้านหลัง ทำให้เขาสะดุ้งเฮือกรับรู้ได้ถึงความผิดปกติ
“มันเงียบเกินไป!” ความคิดนี้แล่นผ่านหัวเขาในทันที
แม้ในยามค่ำคืนที่เงียบสงบ แต่ปกติแล้วยังควรมีเสียงจิ้งหรีดหรือแมลงร้องเบาๆ อยู่บ้าง
ทว่าตอนนี้กลับไม่มีเสียงใดๆ เลย พวกมันหายไปหมด นอกจากเสียงลมหายใจและเสียงหัวใจเต้นของตัวเขาเอง
“ไม่... มันไม่ถูกต้อง ต้องมีบางอย่างผิดปกติแน่!” เขาเริ่มตื่นตระหนก และในความเงียบงันนั้น เขาเริ่มได้ยินเสียงลมหายใจเบาๆ หลายเสียงดังมาจากข้างหลัง
ทันใดนั้น ความหวาดผวาเข้าจู่โจมอย่างรุนแรง
เขาหันกลับไปมองข้างหลัง และสิ่งที่เห็นทำให้เขาแทบเป็นลมจากความหวาดกลัว
ในความมืดมิดของยามค่ำคืน ศพหลายร่างสีซีดขาวยืนอยู่ด้านหลังเขาอย่างเงียบงัน
แววตาของพวกมันเปล่งประกายด้วยความกระหายเลือดและความบ้าคลั่ง
“อ๊ากกกกก!!!”
เสียงกรีดร้องดังสนั่น แต่ก็เงียบหายไปอย่างรวดเร็ว จนราวกับเป็นเพียงแค่ภาพหลอนในความคิด
“ข้ามาช้าไป...”
ที่มุมหนึ่งของบริเวณใกล้เคียง อาเดียร์ยืนฟังเสียงกรีดร้องที่ดังขึ้นและจางหายไป
เขาถอนหายใจยาว ก่อนจะเดินตรงไปยังที่เกิดเหตุ
ด้วยสายตาที่เฉียบคมของเขา แม้จะอยู่ห่างไปสิบกว่าเมตร เขาก็ยังมองเห็นภาพฉากตรงหน้าได้อย่างชัดเจน
หน้าบ้านพักที่เขาเคยอาศัยอยู่ ร่างไร้วิญญาณของเออรีนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น
ใบหน้าของเขาแสดงอาการแข็งค้าง บิดเบี้ยว และเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
รอบๆ ศพของเออรี มีร่างสีซีดขาวของสิ่งมีชีวิตรูปร่างคล้ายมนุษย์
พวกมันมีใบหน้าเปื้อนเลือด ก้มลงกัดกินเนื้อของศพอย่างตะกละตะกลาม
ถึงขั้นดึงลำไส้ออกมาเคี้ยวอย่างน่าสยดสยอง
ดูเหมือนว่าพวกมันจะสัมผัสได้ถึงการมาของอาเดียร์ เหล่าสิ่งมีชีวิตประหลาดที่มีรูปร่างเหมือนมนุษย์พวกนั้นชะงักการเคลื่อนไหว ก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นยืนและหันศีรษะกลับมามอง
สิ่งที่ปรากฏแก่สายตาคือร่างของศพเปลือยเปล่าจำนวนสี่ร่าง
เสื้อผ้าของพวกมันถูกเผาไหม้จนเหลือแต่ซากไหม้เกรียม เผยให้เห็นผิวหนังซีดขาวที่น่าขนลุก
แววตาของพวกมันเต็มไปด้วยความกระหายเลือดขณะที่จ้องมองอาเดียร์ที่ค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้
“สี่ตัวสินะ”
เมื่อเห็นใบหน้าที่คุ้นตาของพวกมัน อาเดียร์ขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะชักดาบที่เอวออกมาพร้อมสะบัดฟาดไปอย่างรวดเร็ว
ในเสี้ยววินาทีนั้น ร่างสีขาวหนึ่งตัวพุ่งตรงมาที่เขา ทว่าถูกดาบของอาเดียร์ฟาดกระเด็นออกไปอย่างแรง
เสียงคำรามต่ำดังขึ้นจากด้านข้าง อาเดียร์ไม่ลังเล เตะเข้าเป้าหมายที่อยู่ซ้ายมืออย่างจัง
แรงกระแทกมหาศาลส่งร่างสีขาวอีกตัวล้มลงไปกับพื้น
“ความคล่องตัวใกล้ถึง 4 คงจะพอๆ กับตัวที่ข้าเคยเจอครั้งก่อน”
อาเดียร์คิดในใจขณะประเมินความเร็วของศพเหล่านี้ ก่อนจะใช้ดาบในมือพุ่งโจมตีเข้าไปที่มุมหนึ่ง ต่อสู้กับอีกสองศพ
เสียงดาบแหวกอากาศดังขึ้น
อาเดียร์ฟันเข้าใส่หนึ่งในศพเหล่านั้นอย่างแรงจนแขนข้างหนึ่งของมันขาดกระเด็น
แต่ในชั่วพริบตาต่อมา ตรงรอยแผลของมันกลับเริ่มมีเนื้อใหม่งอกขึ้นมา
มันคำรามลั่น หยิบแขนที่ขาดกลับมาต่อเข้ากับตัวอีกครั้ง
ไม่นาน แผลของมันก็หายดี ราวกับไม่เคยถูกโจมตีมาก่อน
ภาพที่เห็นทำให้อาเดียร์ถึงกับคิ้วกระตุกเล็กน้อย
เมื่อเทียบกับสัตว์ประหลาดทรงพลังต่างๆ ในป่าแล้ว ศพเหล่านี้อาจจะไม่ได้จัดว่าแข็งแกร่งมากนัก
แต่ในฐานะที่พวกมันเป็นสิ่งแปลกประหลาด สิ่งที่ทำให้พวกมันน่ากลัวยิ่งกว่าสิ่งใดก็คือพลังอันไร้ขีดจำกัดและความสามารถในการฟื้นฟูตัวเองจนแทบจะเรียกได้ว่า "ไม่มีวันตาย"
นี่แหละคือสิ่งที่ทำให้พวกมันยากจะรับมือ
หากไม่มีวิธีจัดการที่ถูกต้อง ต่อให้แข็งแกร่งกว่าพวกมันหลายเท่า สุดท้ายก็อาจจะถูกพวกมันเล่นงานจนหมดแรงและเอาชนะไม่ได้
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ อาเดียร์จึงเริ่มรวบรวมพลังชีวิตภายในตัวเขา
เขาค่อยๆ ถ่ายทอดพลังชีวิตนั้นเข้าสู่ดาบยาวในมือ
ภายใต้การห่อหุ้มของพลังชีวิต ดาบยาวสีดำค่อยๆ เปล่งแสงสีเขียวเรืองรองออกมา
ออร่าแห่งความคมกริบแผ่กระจายรอบตัวดาบ ทำให้ดาบเล่มนั้นดูทรงพลังและน่าเกรงขามยิ่งขึ้น
อาเดียร์พลันพุ่งตัวไปข้างหน้า
แรงลมกระโชกพัดตามการเคลื่อนไหวอันรวดเร็วของเขา
ในพริบตาเดียว เขาก็ทะยานเข้าไปใกล้ร่างศพเหล่านั้น
ก่อนที่พวกมันจะทันได้ตั้งตัว ดาบในมือของอาเดียร์ก็ฟาดฟันลงมาอย่างรุนแรง
"ฟาดฟันหนักหน่วง!!"
แรงสั่นสะเทือนจากพลังชีวิตที่ถูกกระตุ้นโดยเมล็ดพันธุ์แห่งชีวิต ส่งพลังทั้งหมดระเบิดออกมาผ่านดาบเล่มนั้น
พลังของเทคนิคลับแห่งอัศวินถูกปลดปล่อยออกมาอย่างเต็มที่