ตอนที่แล้วบทที่ 234 ครึ่งทางสู่หมื่นหยวน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 236 คนดีมักจะได้รับสิ่งตอบแทนที่ดีเสมอ

บทที่ 235 ให้ตายยังไงก็ไม่เรียกว่าลุง


หลี่เจี้ยนกั๋วและหลี่หลงนั่งยองๆอยู่บนก้อนหินข้างร่องน้ำที่หน้าประตูบ้าน พูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องนี้

ถึงแม้ว่าหลี่หลงจะรู้สึกแล้วว่าเขาและอู๋ซูเฟินเป็นเหมือนเส้นขนานที่ไม่มีวันมาบรรจบกันได้ แต่พอได้ยินว่าเธอกำลังจะแต่งงาน มันก็ยังทำให้เขารู้สึกแปลกใจอยู่ดี

“เร็วเหมือนกันนะ” หลี่หลงพูดขึ้น

“ถึงตอนนั้นก็ให้พี่สะใภ้นายไปก็แล้วกัน” หลี่เจี้ยนกั๋วพูด “พวกเรายังไม่ได้แบ่งบ้านกัน ของขวัญก็ออกจากบ้านเดียวกันนั่นแหละ แน่นอน ถ้าเขาไม่เชิญเราก็ยิ่งดีไปใหญ่”

“นั่นเป็นไปไม่ได้” หลี่หลงส่ายหัว

แม้ว่าหลี่เจี้ยนกั๋วจะเป็นคนที่อายุน้อยที่สุดในกลุ่มผู้ก่อตั้งหมู่บ้าน แต่เขาก็มีบทบาทสำคัญ ด้วยความแข็งแกร่งและความสามารถของเขา เรียกได้ว่าในหมู่คนในหมู่บ้าน หลี่เจี้ยนกั๋วคือตัวอย่างของคนที่มีทั้งอำนาจและศักยภาพสูงสุด

โดยปกติแล้ว เมื่อมีใครในหมู่บ้านจัดงานแต่งงานหากความสัมพันธ์ค่อนข้างดีก็มักจะเชิญหลี่เจี้ยนกั๋วเป็นผู้จัดการงานใหญ่ เพราะเขาเคยเป็นหัวหน้าเสบียงมาก่อนสามารถจัดการทุกอย่างให้เป็นระเบียบได้ดี

อีกทั้งหลี่เจี้ยนกั๋วยังเป็นคนที่มีอิทธิพลในหมู่บ้าน หากไม่เป็นเช่นนั้น ตอนที่เขาใช้ไม้ทุบไปที่บ้านของกู้เอ้อเหมาครั้งก่อนคงต้องมีคนออกมาขัดขวางหรือแสดงความไม่พอใจบ้าง

ที่สำคัญครอบครัวตระกูลกู้ก็ถือเป็นครอบครัวที่มาอยู่ในหมู่บ้านตั้งแต่แรกๆเช่นกัน

หลี่เจี้ยนกั๋วพูดขึ้นว่า “ฉันไม่ไปหรอก พ่อแม่ยังอยู่บ้าน อีกอย่าง ลานเก็บข้าวมีงาน ฉันต้องเตรียมตัวให้เรียบร้อย…ว่าแต่ ปีนี้ทีมเราลงแรงเกี่ยวข้าว นายจะไปด้วยไหม?”

หลี่หลงโบกมือปฏิเสธ “ไม่ไปหรอก ผมไม่อยากทำให้ขายหน้า สองสามปีที่ผ่านมา มีแต่พี่กับพี่สะใภ้ที่ไปทำงาน ฉันขี้เกียจเลยไม่ได้ไปซักครั้ง ถ้าตอนนี้ฉันไป คงเป็นคนที่ช้าที่สุด ผู้หญิงยังเกี่ยวข้าวได้เร็วกว่าผมอีก ผมไม่ไปดีกว่าจะได้ไม่อายคนอื่น”

“นั่นสินะ” หลี่เจี้ยนกั๋วฟังแล้วก็อดหัวเราะไม่ได้ เขาหยิบซองบุหรี่โม่เหอออกมาจากนั้นฉีกกระดาษหนังสือพิมพ์เป็นแถบเล็กๆ เทยาสูบออกมาเล็กน้อยแล้วเริ่มมวนบุหรี่พลางพูดว่า “ไม่รู้เลยว่าทำไมนายถึงได้ขี้เกียจขนาดนั้นในสองสามปีแรก…”

หลี่หลงก้มหน้าด้วยความกระดากใจไม่รู้จะพูดอะไรเพราะเรื่องนั้นเป็นความผิดของเขาเองจะไปแก้ตัวก็ไม่ใช่เรื่อง

“ดีที่ตอนนี้ดีขึ้นแล้ว โตเป็นผู้ใหญ่ขึ้น” หลี่เจี้ยนกั๋วพูดด้วยความพอใจ ขณะที่เขากำลังคาบบุหรี่โม่เหอไว้ในปากหลี่หลงก็หยิบไฟแช็กออกมาจุดให้

หลี่เจี้ยนกั๋วสูดควันเข้าปอด มองหน้าหลี่หลงแล้วยิ้มก่อนพูดว่า

“เป็นผู้ใหญ่ขึ้นแล้วจริงๆ แล้วนี่คิดจะบอกเรื่องนายกับเสี่ยวเซี่ยกับพ่อแม่หรือยัง? ตอนนี้พ่อแม่ก็อยู่ที่นี่แล้วนะ จริงๆแล้วฉันตั้งใจจะให้พ่อแม่อยู่ที่เป่ยเจียงต่อไปอีกสองปี จากนั้นค่อยย้ายทะเบียนบ้านมาที่นี่เลย อยู่ที่นี่ถาวรไปเลย”

“พ่อไม่ยอมเหรอ?”

“ใช่แล้ว แม่น่ะไม่มีปัญหาอะไร คิดว่าที่นี่ก็ดีมาก แต่พ่อบอกว่าเรายังมีหลุมศพบรรพบุรุษที่บ้านเกิด แถมสมุดลำดับญาติยังอยู่ที่นั่นอีก อีกสองปีต่อจากนี้เขาคงไม่ว่าอะไร แต่คนแก่ในหมู่บ้านเริ่มพูดถึงการบันทึกข้อมูลใหม่ลำดับญาติแล้ว พ่อเลยต้องกลับไป เพราะไม่อย่างนั้นสายของเราน่ะ…สายของเราเป็นสายตรงที่สำคัญที่สุด พ่อยังเป็นคนที่อาวุโสมากที่สุดในหมู่บ้านด้วย…”

ถึงแม้หลี่หลงจะมีชีวิตถึงสองชาติ เขาเองก็เหมือนกับคนบนอินเทอร์เน็ตหลายคนที่ไม่ได้มีความรู้สึกยึดติดกับสมุดลำดับญาติหรือการเข้าไปในหลุมศพบรรพบุรุษมากนัก

ท้ายที่สุดแล้ว เมื่อใช้ชีวิตอยู่ที่เป่ยเจียงซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีผู้คนจากทั่วประเทศอาศัยอยู่ร่วมกัน ทำให้บางประเพณีดั้งเดิมค่อยๆเลือนหายไป ขณะเดียวกันก็เกิดการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมและนำเอาประเพณีที่มีประโยชน์หรือที่ได้รับความนิยมในพื้นที่มาใช้แทน ก่อให้เกิดรูปแบบการใช้ชีวิตที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว

แน่นอนว่าเป่ยเจียงเป็นพื้นที่กว้างใหญ่ หลี่หลงจึงพูดถึงเพียงหมู่บ้านที่เขาอาศัยอยู่เท่านั้น ส่วนพื้นที่อื่นเขาเองก็ไม่ได้รู้ลึกนัก

“งั้นพรุ่งนี้ผมจะไปคุยกับเสี่ยวเซี่ยดู ถ้าตกลงกันได้เราก็หมั้นหมายกันก่อนดีไหม?” หลี่หลงถาม

“ก็ดีนะ” หลี่เจี้ยนกั๋วยิ้ม “เรื่องนี้ควรตัดสินใจกันไปก่อนแบบนี้ พ่อแม่จะได้สบายใจ แล้วไอ้เจ้ากู้เอ้อเหมานั่นก็ไม่ต้องคิดมากอีก ถึงจะดูเป็นการช่วยมันไปหน่อยแต่มันก็ยังอายุมากกว่าฉันอีก...”

“งั้นพี่ใหญ่ พี่จะเรียกเขาว่า ลุงกู้ ไหมในอนาคต?” หลี่หลงแซว

“เรียกบ้าบออะไร แยกกันคนละเรื่องเถอะ” หลี่เจี้ยนกั๋วสูดควันจากบุหรี่โม่เหออีกครั้งแล้วพูดว่า “ทั้งชีวิตนี้อย่าหวังว่าฉันจะเรียกเขาว่าลุงเลย”

หลี่หลงหัวเราะออกมา

เช้าวันถัดมาหลังทานอาหารเช้า หลี่เจี้ยนกั๋วจูงม้าพร้อมลากลูกกลิ้งไปยังลานเก็บข้าว ส่วนหลี่หลงปั่นจักรยานพาหลี่เจวียนออกนอกหมู่บ้าน

เขาพาหลี่เจวียนไปส่งที่หน้าโรงเรียนประถมแล้วตัวเขาเองก็มุ่งหน้าไปยังโรงเรียนมัธยม

ระหว่างทางเขาเจอเมิ่งจื้อเฉียงที่แบกกระสอบเร่งรีบเดินทาง หลี่หลงชื่นชมชายคนนี้ไม่น้อยเพราะเขาสามารถยืนหยัดขายปลาอย่างต่อเนื่องและดูเหมือนจะทำเงินได้ไม่น้อยเลยทีเดียว

ในชาติที่แล้วหลี่หลงไม่ได้รู้จักเมิ่งจื้อเฉียงมากนักอีกทั้งในทีมเขาก็ไม่ได้มีชื่อเสียงอะไรเป็นพิเศษ สภาพครอบครัวก็ดูเหมือนจะอยู่ในระดับกลางๆไม่ดีไม่แย่

หรือว่าชาตินี้จะเปลี่ยนแปลงไป?

หลังจากทักทายกันแล้ว หลี่หลงก็ปั่นจักรยานตรงไปยังโรงเรียนมัธยมทันที

เมื่อมาถึงโรงเรียน ยังไม่ถึงเวลาเข้าเรียนหลี่หลงจึงปั่นไปยังหน้าหอพักครู ห้องพักของกู้เสี่ยวเซี่ยถูกล็อกไว้ ดูเหมือนเธอจะไปที่ห้องพักครูแล้ว

หลี่หลงเปิดประตูห้องพักและตั้งใจรออยู่ในนั้น

ระหว่างนั้นครูหวัง ซึ่งพักอยู่ห้องข้างๆสังเกตเห็นจักรยานที่จอดอยู่หน้าประตูทันที เธอจึงเดาได้ว่าหลี่หลงคงมาแล้ว เธอเดินมาที่หน้าห้องและถามว่า

“หลี่หลง มาหาครูกู้ มีธุระอะไรเหรอ?”

“ใช่ครับ”

“ครูกู้มีสอนในคาบแรก ถ้าคุณไม่ได้รีบร้อนมาก ฉันจะบอกเธอให้หลังคาบเรียนเสร็จ เธอจะได้มาหาคุณ”

“ขอบคุณครับ งั้นผมจะรออยู่ที่นี่” หลี่หลงยืนที่หน้าประตูห้องและกล่าวขอบคุณครูหวัง

ครูหวังยิ้มเล็กน้อยพยักหน้าก่อนหยิบหนังสือ ล็อกประตูห้อง และเดินไปที่ห้องพักครู

“หลี่หลง มาที่นี่เหรอ?” กู้เสี่ยวเซี่ยซึ่งกำลังถือหนังสือเตรียมตัวไปสอน ได้ยินครูหวังพูดถึงก็แปลกใจไม่น้อย “เขาอยู่ที่ห้องพักเหรอ?”

“ใช่ ฉันบอกเขาแล้วว่าคุณมีสอนคาบแรก เขาบอกว่าจะรอคุณที่ห้องพัก”

กู้เสี่ยวเซี่ยรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่ไม่ได้พูดอะไรต่อ รีบเดินไปที่ห้องเรียนเพื่อเริ่มสอนในคาบแรก

“งั้นฉันจะไปหาเขาหลังจากสอนเสร็จ” กู้เสี่ยวเซี่ยตอบ แม้ว่าเธอจะเดาไม่ได้ว่าหลี่หลงมาหาเธอเรื่องอะไร แต่ถ้าเขายอมรอจนเธอสอนคาบแรกเสร็จ ก็คงไม่ใช่เรื่องด่วนอะไร

ในเวลานั้น นักเรียนส่วนใหญ่ยังค่อนข้างเชื่อฟัง กู้เสี่ยวเซี่ยแม้เธอจะเป็นครูใหม่ แต่ด้วยการเตรียมบทเรียนอย่างตั้งใจและท่าทีที่เป็นมิตร ทำให้เธอได้รับความนิยมในห้องเรียน

อย่างไรก็ตามวันนี้ดูเหมือนครูกู้จะมีท่าทางรีบร้อนอยู่บ้าง แม้จะไม่ได้สอนผิดพลาดอะไรแต่เธอมักมองออกไปนอกห้องเป็นระยะๆจนนักเรียนเริ่มสงสัย

ในที่สุดเสียงระฆังหมดคาบก็ดังขึ้น กู้เสี่ยวเซี่ยกล่าวลานักเรียนอย่างเร่งรีบก่อนจะออกจากห้องเรียนและมุ่งหน้าไปยังห้องพักครู

หลี่หลงยืนรออยู่ที่หน้าห้องพัก มองไปทางเธอด้วยรอยยิ้ม เมื่อเห็นกู้เสี่ยวเซี่ยเดินเข้ามาหาอย่างรีบเร่ง

“ที่ทีม...หรือที่หมู่บ้านเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า?” กู้เสี่ยวเซี่ยถามขึ้นเมื่อเธอห่างจากหลี่หลงเพียงแค่สามถึงสี่เมตร

“ไม่มีอะไร ตอนนี้ยังไม่ได้เริ่มเกี่ยวข้าว ยังไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น”

“แล้วนายมาครั้งนี้...”

“ฉันมีเรื่องอยากคุยด้วย” หลี่หลงตอบ ก่อนเดินนำเข้าไปในห้องพัก จากนั้นหันกลับมาที่ประตูและพูดว่า “เข้ามาคุยข้างในดีกว่า”

กู้เสี่ยวเซี่ยอุ้มหนังสือเรียนเดินเข้ามาในห้องพัก เธอมองหลี่หลงด้วยความสงสัย

“นั่งก่อน แล้วฉันจะบอก” หลี่หลงกล่าว

กู้เสี่ยวเซี่ยนั่งลงที่ขอบเตียง ส่วนหลี่หลงลากเก้าอี้มานั่งตรงหน้าเธอและพูดว่า “เรื่องมันเป็นแบบนี้ ก่อนหน้านี้ฉันคิดอะไรซับซ้อนไปหน่อย คิดว่าถ้าเราสองคนกำหนดความสัมพันธ์ตอนนี้ มันอาจจะกระทบต่อการพัฒนางานของเธอ เพราะเธอเพิ่งเริ่มทำงานและอีกอย่างฉันก็คิดว่าถ้าเราตัดสินใจเร็วเกินไป เรื่องแต่งงานก็ดูจะรีบเกินไปหน่อย ก็เลยพูดแบบนั้นกับเธอ...”

กู้เสี่ยวเซี่ย ฟังแล้วรู้สึกงงเล็กน้อย เธอยังไม่เข้าใจว่าทำไมหลี่หลงถึงพูดเรื่องนี้ขึ้นมา

“แต่ตอนนี้ ฉันรู้แล้วว่าฉันคิดน้อยไป เราสองคนก็อายุไม่น้อยแล้ว ดังนั้น...”

กู้เสี่ยวเซี่ย ถามขึ้นทันทีด้วยความสงสัย “นายจะบอกว่าอยากแต่งงานตอนนี้เลยเหรอ?”

“ไม่ๆ ไม่ใช่แบบนั้น” หลี่หลง โบกมือรีบอธิบาย “แต่ความคิดของฉันคือ ถ้าเธอไม่มีปัญหาอะไร เราหมั้นกันก่อนไหม?”

หลี่หลงกลัวว่าถ้าพูดช้าไป กู้เสี่ยวเซี่ยอาจเข้าใจผิด เขาจึงรีบพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมา

“ตอนนี้พ่อแม่ฉันก็อยู่ที่นี่ พ่อของเธอก็อยู่ด้วย ฉันคิดว่าตอนนี้เป็นช่วงที่งานไม่ยุ่ง ถ้าเราตัดสินใจเรื่องของเราได้ มันก็เป็นการดี ส่วนเรื่องจะแต่งงานเมื่อไหร่ เราค่อยพูดคุยตกลงกันอีกที แต่เรื่องการหมั้นหมาย ฉันว่าเราสามารถจัดการได้เลย...”

“ฉันบอกกับพี่ชายฉันแล้ว เมื่อวานฉันก็ไปบ้านเธอมาแล้วด้วย ฉันได้เจอ ลุงกู้ พ่อของเธอ ฉันคิดว่าพ่อของเธอไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ดังนั้น ฉันอยากคุยกับเธอก่อน ถ้าเธอไม่มีปัญหาอะไร พี่ชายของฉันหรืออาจจะเป็นพ่อแม่ฉัน จะเชิญผู้ใหญ่ไปพูดคุยกับครอบครัวของเธอ...”

“เอ่อ…” กู้เสี่ยวเซี่ยไม่คิดว่าเรื่องนี้จะมาถึงอย่างกะทันหันขนาดนี้ แต่พอเธอคิดดูแล้วก็รู้สึกว่าไม่มีอะไรที่ต้องลังเล จึงตอบว่า “งั้น…ก็คงได้มั้ง ฉันคิดว่าเริ่มต้นจากการหมั้นไว้ก่อนก็ดี…แต่ฉันขอถามนายอย่างจริงจังได้ไหม?”

“ว่ามาสิ”

“ในใจนาย…มีฉันอยู่ไหม?”

หลี่หลงเงยหน้าขึ้นมามองดวงตาของกู้เสี่ยวเซี่ย

หญิงสาวที่สวยงามตรงหน้าเขา ดูเหมือนสายตาของเธอจะเต็มไปด้วยความไม่มั่นใจและมีความกังวลบางอย่างซ่อนอยู่

หลี่หลงจ้องลึกลงไปในดวงตาของเธออย่างจริงจังและตอบว่า

“มี ในใจฉันมีเธอ ฉันชอบเธอ”

คำพูดนั้นทำให้ กู้เสี่ยวเซี่ยก้มหน้าลงทันที แก้มของเธอขึ้นสีแดงอย่างเห็นได้ชัดเพราะในยุคสมัยนั้นผู้หญิงยังไม่คุ้นเคยกับการสารภาพรักอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้

ผ่านไปพักใหญ่ กู้เสี่ยวเซี่ยจึงพูดขึ้นว่า “งั้น…ให้พวกคุณไปคุยกับที่บ้านฉันเถอะ…ฉันไม่มีปัญหาอะไร”

เดิมทีหลี่หลงตั้งใจว่า หลังพูดเรื่องนี้จบจะปั่นจักรยานพากู้เสี่ยวเซี่ยไปเที่ยวเล่นในตัวอำเภอ แต่จากสถานการณ์ตอนนี้ ดูเหมือนว่าเธอยังไม่พร้อมที่จะออกไป

หลี่หลงจึงถามว่า “งั้น…เธอมีอะไรอยากพูดอีกไหม?”

“ไม่มีแล้วล่ะ ฉันได้ยินมาว่าอู๋ซูเฟินจะแต่งงาน—เธอฝากคนเอาบัตรเชิญมาให้ฉันด้วย นายจะไปไหม?”

“ไม่ไปหรอก ฉันว่าคงไม่มีทางที่เธอจะเชิญฉันด้วยซ้ำ อีกสองสามวันนี้ฉันต้องเข้าภูเขา” หลี่หลงพูด “หลังจากจัดการเรื่องหมั้นหมายของเราเสร็จแล้ว ฉันจะไปทำงานหารายได้เสริมในภูเขา ฉันต้องหาเงินมาเตรียมเป็นรากฐานให้เราสองคนสำหรับชีวิตหลังแต่งงาน”

คำพูดที่เรียบง่ายและเป็นธรรมชาติของหลี่หลงทำให้กู้เสี่ยวเซี่ยที่เดิมทีไม่ค่อยมั่นใจในใจตัวเองรู้สึกสงบลง

ชายหนุ่มตรงหน้าคนนี้ กำลังตั้งใจพยายามอย่างเต็มที่เพื่อสร้างอนาคตสำหรับบ้านเล็กๆที่กำลังจะเกิดขึ้นของทั้งคู่ เธอจึงคิดว่าคงไม่จำเป็นต้องกังวลหรือคิดมากเกินไปอีกแล้ว

“งั้นฉันกลับก่อนนะ” หลี่หลงพูดขณะลุกขึ้น “ถ้าเธอไม่มีปัญหาอะไร สุดสัปดาห์นี้ฉันอาจจะไปบ้านเธอ แล้วเธอจะกลับบ้านด้วยไหม?”

“กลับสิ”

“งั้นฉันมารับเธอไหม?”

“ไม่ต้อง ไม่ต้อง บ้านอยู่ไม่ไกล ฉันเดินกลับเองก็ได้”

หลี่หลงคิดว่ากู้เสี่ยวเซี่ยคงเขินอาย เขาจึงไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านี้

เมื่อเขาออกไปและกำลังเปิดจักรยานเตรียมกลับบ้าน ทันใดนั้นเขาหยุดแล้วหันไปมอง กู้เสี่ยวเซี่ยซึ่งมายืนส่งเขาที่หน้าประตู

“เสี่ยวเซี่ยอีกสองสามวัน ถ้ามีเวลาว่างฉันจะสอนเธอขี่จักรยานนะ”

“ได้สิ” กู้เสี่ยวเซี่ยพยักหน้าและตอบตกลงโดยไม่ได้คิดอะไรมาก

เมื่อหลี่หลงกลับถึงบ้าน ทุกคนในครอบครัวอยู่พร้อมหน้า หลี่เจี้ยนกั๋วก็เพิ่งกลับมาจากลานตากข้าว หลี่หลงจึงเล่าเรื่องที่พูดคุยกับกู้เสี่ยวเซี่ยให้ฟัง

เมื่อหลี่เจี้ยนกั๋วได้ฟังก็รีบพูดขึ้นทันทีว่า “งั้นฉันจะไปบ้านลุงกู้ก่อน บอกเขาเรื่องนี้…ถ้าตกลงกันได้ ต่อไปเราก็ทำตามขั้นตอน”

เหลียงเยวี่ยเหมยยิ้มพลางมองพวกเขา เรื่องมงคลที่กำลังจะเกิดขึ้นในบ้านถือเป็นข่าวดี

เมื่อหลี่เจี้ยนกั๋วไปถึงบ้านกู้ปั๋วหยวน ก็พบว่าเขากำลังจัดการกับหญ้าจี้จี้ที่เหลืออยู่ในลานบ้านรวมถึงลวดเหล็ก

สวี่เฉิงจวินซึ่งดูแลการแจกจ่ายเงินค่าทำไม้กวาดจี้จี้ให้แต่ละบ้าน ได้แจกเงินเรียบร้อยแล้ว แต่ลวดเหล็กที่เหลืออีกสองสามกิโลกรัมนั้น กู้ปั๋วหยวนบอกว่าจะเก็บไว้ที่บ้านก่อน เพราะเขาตั้งใจจะส่งต่อไปให้ที่อื่นในภายหลัง แต่ตอนนี้ยังไม่มีความจำเป็นจึงเก็บไว้รอใช้งานเมื่อถึงเวลา

เมื่อหลี่เจี้ยนกั๋วเดินเข้ามาในลานบ้าน กู้ปั๋วหยวนดูแปลกใจเล็กน้อยแต่ก็ยังคงทำงานที่อยู่ในมือพลางถามว่า

“คุณเป็นคนที่ยุ่งตลอดเวลา นี่มีเวลามาหาผมด้วยเหรอ?”

“มาคุยเรื่องของเสี่ยวหลงกับเสี่ยวเซี่ย”

“เมื่อวานนี้ เสี่ยวหลงกลับไปบอกคุณแล้วเหรอ?”

“บอกแล้ว” หลี่เจี้ยนกั๋วพยักหน้า ก่อนหยิบไม้ท่อนหนึ่งจากข้างๆ มานั่งลง “เขากลับมาก็เล่าให้ฟังเลย บอกว่าที่ผ่านมาเขาคิดไม่รอบคอบ ตอนนี้พ่อแม่ของเราก็อยู่ที่นี่แล้ว ก็ควรจะจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อย”

“ไม่เลว เด็กคนนี้ไม่ได้โง่นัก” กู้ปั๋วหยวนแม้ในสายตาจะมีความเข้มงวดอยู่บ้าง แต่ตอนนี้ก็รู้สึกพอใจกับการตัดสินใจของหลี่หลง

หลี่เจี้ยนกั๋วเล่าต่อว่า “วันนี้เสี่ยวหลงไปหาเสี่ยวเซี่ยที่โรงเรียน เธอก็ตกลงที่จะหมั้นหมายกันก่อน ดังนั้นผมคิดว่า เราน่าจะรีบจัดการเรื่องของพวกเขาสองคนให้เรียบร้อย อายุทั้งคู่ก็ไม่น้อยแล้ว...”

“ได้สิ” กู้ปั๋วหยวนพยักหน้าและถอนหายใจเบาๆ “ไม่ทันไร เด็กสองคนนี้ก็โตขนาดนี้แล้ว...”

“ข้อดีของอยู่ในทีมนี้คือ พวกเราไม่ต้องไปหาฤกษ์ยามอะไร คุณดูว่า วันอาทิตย์นี้ดีไหม? พอดีเสี่ยวเซี่ยก็หยุดพักอยู่บ้านพอดี ทางเราจะไปที่บ้านคุณ”

“ตกลง” กู้ปั๋วหยวนกล่าว “ถ้าเด็กสองคนรักใคร่กันก็ไม่จำเป็นต้องลากเรื่องนี้นานเกินไป วันอาทิตย์ก็ได้ พอดีเสี่ยวเซี่ยกลับบ้านอยู่แล้ว ทางคุณก็ดูแลจัดการคนมาได้เลย”

“งั้นทางผมจะเตรียมของแล้ว... แน่นอน ของขวัญหมั้นหกสิ่งเราคงต้องเตรียมไว้...”

“ไม่ต้องยุ่งยากขนาดนั้น พวกเราไม่ใช่คนนอก” กู้ปั๋วหยวนโบกมือ “ผมเชื่อว่าแต่งงานกันไปแล้ว เสี่ยวหลงจะดูแลเสี่ยวเซี่ยได้ดีแน่ แต่ถ้าดูแลไม่ดีล่ะก็ ไม้พลองของผมยังใช้ตีคนได้อยู่นะ...”

“วางใจได้เลย ถ้าเสี่ยวหลงไม่ดีกับเสี่ยวเซี่ย ไม่ต้องรอให้คุณลงมือหรอก ไม้พลองของผมอยู่ในมือตลอด” หลี่เจี้ยนกั๋วกล่าวรับรอง ด้วยความที่กู้เสี่ยวเซี่ยไม่มีแม่มาตั้งแต่เด็ก และเมื่ออยู่ที่บ้านกู้ปั๋วหยวนก็ไม่เคยให้เธอได้รับความลำบาก หากหลี่หลงไม่ดีกับกู้เสี่ยวเซี่ย แน่นอนว่าหลี่เจี้ยนกั๋วกับภรรยาก็จะไม่เข้าข้างหลี่หลงเช่นกัน

คำรับรองนี้ทำให้ กู้ปั๋วหยวนพอใจอย่างมาก เขาถอนหายใจอีกครั้งและพูดว่า

“ครึ่งปีที่ผ่านมา เสี่ยวหลงของบ้านคุณเปลี่ยนไปเยอะมาก ถ้าไม่ใช่เพราะเขาเปลี่ยนไปแบบนี้ ผมก็คงไม่กล้ายกเสี่ยวเซี่ยให้เขา”

“เมื่อวานผมยังพูดกับเขาอยู่เลย เขาเองก็บอกว่า ไม่รู้เหมือนกันว่าก่อนหน้านั้นเขาใช้ชีวิตเหลวไหลไปได้ยังไง…แต่โชคดีที่ตอนนี้เขาโตขึ้นแล้ว มีความรับผิดชอบมากขึ้น ผมจะบอกอะไรให้ ผมเป็นพี่ชายคนโตนี่แบกความกดดันไม่ใช่น้อยเลยนะ มีน้องชายที่ประสบความสำเร็จแบบนี้ ผมเองก็ทำตัวไม่เหลวไหลไม่ได้ เพราะเดี๋ยวคนจะเอาไปพูดกัน”

“ก็จริง ผมเข้าใจนะ…แต่เจี้ยนกั๋ว คุณว่า…เสี่ยวหลงเรียกคุณว่าพี่ แต่เรียกผมว่าลุง คุณดูสิ…เรื่องลำดับญาตินี่…”

“ไปให้พ้น!” หลี่เจี้ยนกั๋วได้ยินแล้วก็เปลี่ยนสีหน้าอย่างฉับพลัน “ผมบอกคุณไว้เลยนะ แยกกันคนละเรื่อง! อย่าหวังว่าผมจะยอมลดลำดับญาติต่ำกว่าคุณเลย…คุณนี่มัน แค่คิดก็ผิดแล้ว!”

“ฮ่าฮ่าฮ่า” กู้ปั๋วหยวนเห็นหลี่เจี้ยนกั๋วโกรธก็กลับหัวเราะออกมา “ผมก็คิดแบบนั้นแหละ แยกกันคนละเรื่องดีแล้ว ก็เราเคยอยู่บ้านใต้ดินหลังเดียวกัน ผมจะให้คุณเรียกผมว่าลุงได้ยังไง? ฮ่าฮ่าฮ่า…”

(จบบท)

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด