บทที่ 113 สองกระบองรักษาโรคให้หายขาด
เมื่อหลี่ซูฉวินขี่จักรยานกลับมาถึงบ้านด้วยสีหน้าหม่นหมอง ขมวดคิ้วด้วยความไม่สบายใจ ก็พบว่าในลานบ้าน มีเด็กชายและเด็กหญิงสองคนกำลังวิ่งเล่นรอบชายคนหนึ่งที่สวมเครื่องแบบเจ้าหน้าที่ตำรวจ
ตำรวจ?
ในตอนนั้นหลี่เว่ยตงกำลังยืนหันหลังให้หลี่ซูฉวิน เขาจึงไม่ทันได้สังเกตว่านั่นคือบุตรชายที่เขาคิดถึงมาตลอด
เขาคิดว่าอาจเป็นเจ้าหน้าที่จากสถานีตำรวจที่มีข่าวดี จะปล่อยหลี่เว่ยหมินกลับบ้านเสียที
เพราะตามที่เขาสืบมา หลี่เว่ยหมินไม่ได้ทำอะไรผิด แค่มีคนแกล้งให้โดนกักตัวไว้หลายวันเท่านั้นเอง
ด้วยนิสัยของเขา เมื่อรู้ความจริงก็ไม่คิดจะไปขอร้องเหลียงเหวินหลงที่สถานีตำรวจแน่นอน อีกทั้งเหลียงเหวินหลงเองก็ไม่ได้ให้ความเกรงใจเขาอยู่แล้ว
“คุณตำรวจครับ ลูกชายผม หลี่เว่ยหมิน จะได้กลับบ้านแล้วใช่ไหม?”
หลี่ซูฉวินรีบจอดจักรยานไว้ที่ลานบ้าน ก่อนจะตรงเข้าไปถามอย่างร้อนรน
“พี่รอง พ่อเรียกพี่ว่าคุณตำรวจแหนะ”
“ฮ่า ๆ พ่อจำคนผิดแล้ว”
เสียงเจื้อยแจ้วของเด็กน้อยทั้งสองดังขึ้น ก่อนที่หลี่ซูฉวินจะเห็นชายในเครื่องแบบเจ้าหน้าที่หันหน้ากลับมา
“เคร้ง!” จักรยานในมือหลี่ซูฉวินหลุดมือลงพื้นทันที
เขาไม่พูดอะไร แต่หันไปหาท่อนไม้ในลานบ้าน สีหน้าของเขาถมึงทึงราวกับจะฟาดใครสักคน
“ย่า แม่ พ่อจะตีพี่รองแล้ว!”
หลี่เสวี่ยหรู ลูกสาวจอมแสบ ตะโกนเสียงดังราวกับอยากให้เกิดเรื่องใหญ่โตขึ้น
คำพูดของเธอเหมือนจุดชนวนรังแตนให้แตกกระเจิง หญิงชราและจางซิ่วเจินรีบวิ่งออกจากบ้านมา พร้อมกับต่อว่าหลี่ซูฉวินทันที “เป็นบ้าอะไร? เว่ยตงเพิ่งกลับมา แกจะตีเขาทำไม?”
“โตจนป่านนี้แล้ว ทำไมยังไม่รู้จักแยกแยะ? เว่ยตงเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ แกกล้าตีตำรวจเหรอ?”
“ถ้ากล้าก็ลองดูสิ!”
หลี่ซูฉวินชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตั้งสติได้ นี่ทั้งบ้านรุมเขาคนเดียวหรือไง?
อย่างไรก็ตาม เขายังดึงดันพูดว่า “ดูพวกเธอสิ ตามใจเขาแบบนี้จนได้เรื่อง เสื้อผ้าตำรวจเขาให้ใครใส่มั่วซั่วได้ที่ไหน? นี่จะให้เขามีปืนด้วยเลยไหม?”
“พ่อ พี่รองมีปืนจริง ๆ นะ หนูได้ยินหลิวกวางเทียนเล่าว่า พี่รองเอาปืนเล็งใส่เจี่ยจางซื่อแล้วไล่เธอกลับไปอยู่ชนบทเลย!”
หลี่เสวี่ยหรูพูดต่อทันที
ทันใดนั้นเอง หญิงชรากับจางซิ่วเจินก็หันมามองหลี่เว่ยตงด้วยสายตาสงสัย เพราะพวกเธอไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน
“พูดมากอีกคำเดียว เดี๋ยวจะไม่ได้กินน้ำตาลมอลต์!”
หลี่เว่ยตงหันไปดีดหน้าผากน้องสาวตัวน้อย
เรื่องแบบนี้จะพูดเล่นได้ที่ไหน? เด็กคนนี้ปากไม่มีหูรูด ยังกล้าพูดเรื่องปืนอีก!
“ปืน? นี่แก…เดี๋ยวนี้...ไปอธิบายที่สถานีตำรวจเดี๋ยวนี้เลย!”
หลี่ซูฉวินโกรธจัด
ไม่ได้เจอกันไม่กี่วัน ลูกชายคนนี้กลับกล้าทำเรื่องบ้าบิ่นถึงขนาดนี้!
“พอได้แล้ว! วัน ๆ รู้แต่โมโหจนไม่ดูอะไรให้ดี เว่ยตงเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจชั่วคราวของสถานี ปืนก็ต้องเป็นของที่ได้รับมอบหมายจากสถานีอยู่แล้ว”
จางซิ่วเจินแม้จะตกใจ แต่ก็มั่นใจว่าปืนนั้นได้มาอย่างถูกต้อง
“ใช่ค่ะ อีกอย่างพี่รองเป็นคนไปรับพี่ใหญ่กลับมาด้วย”
ในบ้านนี้ ใครที่ไม่กลัวหลี่ซูฉวินที่สุด ก็คงเป็นหลี่เสวี่ยหรูนี่แหละ
หลี่เว่ยปินยืนเงียบอยู่หลังหลี่เว่ยตงตั้งแต่พ่อกลับมา ไม่พูดอะไรสักคำ เอาแต่ฟังน้องสาวตัวน้อยพูดจ้อไม่หยุดเหมือนนกกระจอก
“เว่ยหมินกลับมาแล้ว?”
หลี่ซูฉวินรีบมองไปยังห้องด้านข้าง ซึ่งเห็นแสงไฟส่องออกมา
เมื่อเห็นว่าลูกชายคนโตกลับมาได้ เขาก็รู้สึกโล่งใจขึ้นบ้าง
แต่เรื่องนี้ยังไงก็ไม่จบง่าย ๆ เขาเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมตำรวจถึงจับหลี่เว่ยหมินไป คงเป็นฝีมือหลี่เว่ยตงนี่เอง
“นี่ตำแหน่งตำรวจของแกมาได้ยังไง? เป็นหวังเจิ้นอี้ช่วยจัดการให้หรือเปล่า?”
เขายังไม่ลืมว่าหลี่เว่ยตงไม่มีเส้นสายที่จะได้ตำแหน่งแบบนี้เอง
“ใช่ครับ มีความช่วยเหลือจากลุงหวังบ้าง แต่ที่สำคัญคืออาสองของผมเขียนจดหมายถึงลุงเหลียง ให้ช่วยดูแลผม พอเห็นว่าผมยังไม่มีงานเป็นหลักเป็นแหล่ง เลยให้ผมมาเป็นตำรวจก่อนชั่วคราว”
หลี่เว่ยตงตอบอย่างไม่รีบร้อน
หลี่ซูฉวินได้ฟังคำอธิบายนี้ ก็ทำให้นึกขึ้นได้ว่าเขาเองรู้จักเหลียงเหวินหลงก็เพราะอาสองเป็นคนแนะนำให้รู้จัก
แต่หลังจากนั้นหลายปี อาสองย้ายไปอยู่ชนบท ส่วนหลี่ซูฉวินกับเหลียงเหวินหลงก็ค่อย ๆ สนิทกันมากขึ้น จนลืมต้นเรื่องไป
“อาสองทำอะไรไม่ปรึกษาฉันก่อนเลย เรื่องใหญ่ขนาดนี้!” หลี่ซูฉวินพูดด้วยความไม่พอใจ
“อาสองช่วยหลานจัดหางานที่ดีให้มันจะผิดอะไร? ถ้าแกมีความสามารถ แกก็หางานดี ๆ ให้ลูกแกสิ!”
คำพูดของแม่ทำให้หลี่ซูฉวินนิ่งอึ้ง
ความก้าวหน้าของหลานชายคือสิ่งที่เธอเฝ้าฝันอยากเห็น และสำหรับเธอ การที่ลูกชายคนที่สองลงแรงช่วยเหลือหลานนั้นถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา
“แม่ ใครบอกว่าจะไม่ดูแลลูกตัวเอง? แต่ลูกของฉัน ฉันก็มีสิทธิ์จัดการไม่ใช่หรือไง?”
“แน่นอนสิ ใครห้ามแกดูแลลูก? แต่การดูแลของแกคือการตีลูกด้วยไม้กระบองหรือ? ตอนที่พ่อแกยังอยู่ เขาตีลูก ๆ อย่างแกกับเจ้าสองบ่อยแค่ไหน? แกเองไม่มีความสามารถ ยังจะเอาแต่โมโหใส่ลูกอีก!”
พูดจบ หญิงชราก็เดินกลับเข้าบ้านไป โดยไม่สนใจเขาอีก
“พวกเธอสองคนอย่ากวนพี่รองเลย เขาเพิ่งกลับจากทำงาน รีบไปล้างมือเตรียมกินข้าวได้แล้ว”
จางซิ่วเจินพูดจบก็หันไปทำงานในครัวต่อ
หลี่ซูฉวินยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น มือยังถือท่อนไม้ไว้ ทิ้งก็ไม่ใช่ จะถือไว้ต่อก็ไม่ได้
“พ่อ ไปดูพี่ใหญ่หน่อยสิ เขาดูเหมือนจะไม่ปกติ”
คำเตือนของหลี่เสวี่ยหรูทำให้หลี่ซูฉวินได้สติ รีบวิ่งไปยังห้องของหลี่เว่ยหมินโดยไม่สนใจจะลงไม้ลงมือกับหลี่เว่ยตงอีก
หลี่เว่ยตงส่ายหัว ก่อนจะจูงน้องสองคนกลับบ้าน
ก่อนจะถึงประตู เขาก็ได้ยินเสียงหลี่เว่ยหมินร้องลั่นจากอีกฟาก
“พ่อ อย่าตีแล้ว! ผมผิดไปแล้ว! ผมไม่กล้าอีกแล้ว!”
“นี่…หายป่วยแล้วหรือ?”
หลี่เว่ยตงมองเหตุการณ์แล้วส่ายหน้า “แบบนี้สินะ โรครักษาด้วยไม้ได้จริง ๆ”
แม้ว่าหยางฟางฟางจะไม่ได้มีความรักลึกซึ้งต่อหลี่เว่ยหมิน แต่สุดท้ายเขาก็เป็นสามีของเธอ หลักการ "แต่งไก่ตามไก่ แต่งหมาตามหมา" ยังคงอยู่ในใจเธอเสมอ
การที่สามีหายดี ใครเล่าจะอยากอยู่กับคนที่สติไม่สมประกอบไปทั้งชีวิต? ส่วนเรื่องที่สามีโดนตีในภายหลัง เธอกลับรู้สึกสะใจและไม่ได้เข้าไปห้ามอะไรเลย
ชัดเจนว่าคำพูดของหญิงชราก่อนหน้านั้นไม่ค่อยถูกต้อง เพราะสำหรับบางคน ถ้าไม่ถูกตีบ้าง ก็อาจไม่ได้ผล
แม้ว่าหลี่เว่ยตงจะมั่นใจว่าไม่มีใครรู้ว่าเขาเก็บซ่อนทองคำไว้ แต่เพื่อความปลอดภัย เขาตัดสินใจใช้วิธีที่ปลอดภัยที่สุดโดยให้จางอวิ๋นซ่างช่วยเปลี่ยนทองคำเป็นเงิน
อย่างน้อยถ้ามีปัญหาในอนาคต เขายังมีพยานสำคัญอย่างหวังเจิ้นอี้และเจ้าหน้าที่เรือนจำที่เห็นด้วยตาว่าอู๋เหล่าหลิ่วมอบทองคำให้เขา
เช้าวันรุ่งขึ้น หลี่เว่ยตงไม่ได้อยู่บ้านเฉย ๆ แต่ไปที่ห้างสรรพสินค้าเพื่อพบจางอวิ๋นซ่าง และทั้งสองก็กลับมาที่ลานบ้าน ของจางอวิ๋นซ่างด้วยกัน
ระหว่างทาง จางอวิ๋นซ่างไม่ได้พูดอะไร ทำให้บรรยากาศดูตึงเครียดเล็กน้อย
จนกระทั่งกลับถึงบ้าน เขาถึงกับชงชาให้หลี่เว่ยตง ซึ่งเป็นเรื่องไม่ค่อยเกิดขึ้นนัก
จางอวิ๋นซ่างจ้องมองหลี่เว่ยตงที่สวมชุดตำรวจโดยไม่ซักถามอะไร เพียงแค่สายตาของเขาบ่งบอกถึงความคิดที่ซับซ้อนบางอย่าง ซึ่งก็เป็นสิ่งที่หลี่เว่ยตงตั้งใจให้เกิดขึ้น
ในที่สุด หลี่เว่ยตงก็บอกจางอวิ๋นซ่างถึงธุระที่แท้จริงของเขาโดยนำ "ปลาทองตัวเล็ก" สี่ตัวออกมาเป็นการตอบแทน
เขาเล่าความเป็นมาของปลาทองเหล่านี้ และขอให้จางอวิ๋นซ่างช่วยเปลี่ยนเป็นเงินสด เป้าหมายของการแลกเงินครั้งนี้คือการช่วยจัดการงานศพของอู๋เหล่าหลิ่ว และอีกส่วนก็เพื่อปรับปรุงข้าวของในบ้าน พร้อมทั้งเก็บเงินคืนให้อาสองในโอกาสหน้าที่กลับชนบท
ทองคำจำนวน 31 แท่งที่เก็บไว้ในโกดังของฟาร์ม ถูกนำมาใช้เพียง 4 แท่ง เหลือ 27 แท่ง ซึ่งเพียงพอสำหรับการใช้ในระยะยาว
หากมีความจำเป็นในอนาคต เขาก็สามารถสะสมเงินและมาแลกทองคืนกับจางอวิ๋นซ่างได้
“ตกลง”
จางอวิ๋นซ่างตอบรับทันที ก่อนนำทองคำ 4 แท่งเก็บเข้าไปในห้องด้านใน
สักพัก เขากลับมาพร้อมเงินจำนวน 880 หยวนวางตรงหน้าหลี่เว่ยตง
“ฉันไม่เอาเปรียบหรอก ลองนับดู”
หลี่เว่ยตงไม่ลังเลที่จะนับเงิน ทุกใบเป็นแบงค์สิบ ทั้งใหม่และเก่า รวม 88 ใบพอดี
“ขอบคุณ”
นี่เป็นครั้งแรกที่หลี่เว่ยตงถือเงินมากขนาดนี้หลังจากย้อนเวลากลับมา แม้ว่าทองคำจะมีค่าเช่นกัน แต่ถือเงินสดในมือทำให้รู้สึกมั่นคงกว่า
“ไม่เป็นไร การค้าขายกันอย่างยุติธรรม แค่จำไว้ว่าต้องส่งแป้งขาวให้เดือนหน้า”
จางอวิ๋นซ่างกล่าวเตือน
“ไม่ลืมหรอก”
ถึงแม้หลี่เว่ยตงจะอยากผลิตแป้งขาวเพิ่มในทันที แต่เขาตัดสินใจหยุดเพื่อพิจารณาใหม่หลังจากเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับกุ้ยเส่าเหนิงและฉางชิ่งปั่ว เขาตระหนักว่าโลกนี้มีคนฉลาดอยู่มากมายและเขาจำเป็นต้องระวังให้มากขึ้น
แม้กระทั่งความร่วมมือกับจางอวิ๋นซ่าง เขาก็เริ่มวางแผนที่จะหยุดลงในอนาคต
ทางที่ดีที่สุดคือหาวิธีผลิตแป้งขาวเอง หรือไม่ก็ปลูกข้าวแทน ข้าวไม่จำเป็นต้องแปรรูป สามารถนำมาหุงกินได้ทันที
แม้เขาจะชอบกินหมั่นโถว น้ำแกง และบะหมี่มากกว่า แต่ข้าวก็เป็นอาหารที่ดีและถือเป็นธัญพืชชั้นดี
หลังจากแยกกับจางอวิ๋นซ่าง หลี่เว่ยตงไปที่ห้างสรรพสินค้าเพื่อซื้อเฟอร์นิเจอร์ เขาได้โต๊ะเขียนหนังสือและตู้เสื้อผ้ามาเพิ่ม พร้อมจ้างรถเข็นนำของกลับบ้าน
เตียงไม้จันทน์ที่เขาได้มาจากโกดังฟาร์มยังรอเวลาเหมาะสมที่จะขนมาใช้งาน
วันหยุดสามวันของเขาจบลงอย่างรวดเร็ว หลี่เว่ยตงเก็บเครื่องแบบตำรวจไว้และกลับไปทำงานที่ฟาร์ม
เมื่อมาถึงฟาร์ม เขาได้พบกับหวังเจิ้นอี้ซึ่งดูเหมือนกำลังมีข่าวดีรอเขาอยู่
(จบบท) ###