บทที่ 14 คารวะอาจารย์
บทที่ 14 คารวะอาจารย์
จี้กุนซือที่บอกเล่าจนถึงตรงนี้ สีหน้าที่ซีดเซียวก็เริ่มผ่อนคลายและเผยยิ้มออกมา เขาหันมามองหลี่เหยียนพลางเอ่ยว่า “เจ้าอยากจะเป็นศิษย์อย่างเป็นทางการของข้าหรือไม่?”
หลี่เหยียนที่ตัดสินใจกับตัวเองได้เรียบร้อย ยามนี้จึงไม่มีความลังเลอีกต่อไปจึงตอบรับ “ขอรับ”
“ดี! อาจารย์เช่นข้าเป็นคนเรียบง่าย ไม่ชอบพิธีรีตองอันยุ่งยาก เจ้าเพียงแค่คุกเข่าคำนับข้าสามครั้งก็ถือว่าเข้าสำนักแล้ว” สิ้นคำ เขาจึงจัดท่านั่งให้เรียบร้อย ก่อนจะนั่งตัวตรงอยู่หลังโต๊ะเผยสีหน้าท่าทีจริงจัง บนโต๊ะมีกระถางธูปเล็ก ๆ พร้อมควันจากธูปทั้งสามดอกที่ลอยขึ้นเบื้องหน้า ท่าทีของจี้กุนซือยามนี้จึงสง่างามเปรียบดังจ้าวสำนัก
หลี่เหยียนลุกขึ้นยืน จัดเสื้อผ้าเนื้อหยาบของตนให้เรียบร้อย ก่อนจะคุกเข่าลงตรงหน้าโต๊ะเพื่อคำนับจี้เหวินเหอซึ่งอยู่หลังโต๊ะอย่างนอบน้อมสามครั้งต่อเนื่อง
จี้กุนซือลูบเครา ใบหน้าที่ซีดเซียวเริ่มมีเลือดฝาดให้พบเห็นขึ้นมาบ้าง กระทั่งเผยรอยยิ้มกว้างออกมา “ฮ่า ๆ ดียิ่งนัก ลุกขึ้นได้”
หลี่เหยียนลุกขึ้นยืน ใบหน้ายานี้ปรากฏรอยยิ้มยินดี ภายหลังคำนับเป็นศิษย์อาจารย์ เขาจึงคุกเข่ากลับมานั่งที่โต๊ะตามเดิม เพื่อตั้งใจฟังคำสั่งสอนของผู้เป็นอาจารย์
จี้กุนซือจึงกล่าวว่า “ยามนี้เจ้าเป็นศิษย์ของสำนักเงาพฤกษาแล้ว ถัดไปอาจารย์จะถ่ายทอดวิชาพื้นฐานของสำนักให้แก่เจ้า”
หลี่เหยียนที่ได้ยินกลับรู้สึกงุนงง จี้กุนซือที่พบเห็นท่าทางจึงต้องเอ่ยถาม “มีปัญหาอะไรงั้นรึ?”
หลี่เหยียนนิ่งไปชั่วครู่ก่อนจะตอบรับ “ไม่มีขอรับ เชิญท่านอาจารย์สั่งสอนต่อขอรับ”
จี้กุนซือที่ได้ยินคำตอบจึงไม่ซักถามอะไรอีก “ศิษย์สำนักเงาพฤกษาต่างก็ต้องฝึกฝนทั้งวิทยายุทธ์และวิชาสมุนไพร เพียงแต่วิทยายุทธ์คือสิ่งที่ช่วยให้พวกเราซึ่งเป็นคนในยุทธภพสามารถยืนหยัด ขณะที่สมุนไพรล้ำค่าจำนวนมากมักขึ้นในสถานที่ที่ผู้คนยากจะเข้าถึง กล่าวคือไม่ใช่ที่ที่คนธรรมดาจะเข้าไปได้
ดังนั้นศิษย์ใหม่ในช่วงปีแรกจึงต้องฝึกฝนวิทยายุทธ์ให้บรรลุผลสำเร็จในระดับหนึ่งเสียก่อน ถัดจากนั้นจึงฝึกฝนวิชาสมุนไพร ส่วนวิทยายุทธ์นั้นแบ่งออกเป็นวิชาฝึกพลังภายในและวิชาต่อสู้ การฝึกพลังภายในคือรากฐานของวิทยายุทธ์ การฝึกฝนวิชาต่อสู้จนชำนาญแต่ขาดซึ่งพลังภายในช่วยส่งเสริม ก็เป็นเรื่องยากที่จะแสดงพลังอำนาจที่แท้จริงออกมา มากที่สุดก็คงเป็นการต่อสู้ของคนธรรมดา
แต่หากว่ามีพลังภายในแข็งแกร่ง แม้แต่หมัดมวยธรรมดาก็สามารถผ่าภูเขาแยกโขดหิน เพียงใบไม้ก็สามารถทำร้ายผู้คน พลังอำนาจนั้นมากมายมหาศาล เป็นเหตุให้วิชาฝึกพลังภายในคือรากฐานของทุกสำนัก จนกระทั่งถูกมองว่าเป็นสมบัติล้ำค่า...”
จี้กุนซือค่อย ๆ อธิบายให้หลี่เหยียนฟังอย่างละเอียด กระทั่งอธิบายอยู่นานหลายชั่วยาม ตั้งแต่การแบ่งประเภทของพลังภายใน ไปจนถึงสำนักต่าง ๆ การแบ่งระดับวิทยายุทธ์ จุดชีพจร เส้นชีพจร และอื่น ๆ อีกหลากหลาย
พร้อมกันนั้นเขายังนำหุ่นไม้แกะสลักอย่างประณีตออกมา ตัวหุ่นเป็นรูปคนที่เปลือยเปล่า พร้อมปรากฏเส้นสีแดงและสีน้ำเงินพาดผ่านไปมา ประกอบด้วยจุดวงกลมขนาดเล็กจำนวนมาก ข้างจุดวงกลมและเส้นเหล่านั้นจะมีคำอธิบายตัวจิ๋ว หุ่นไม้นี้เป็นตัวแทนแสดงเส้นชีพจรและจุดชีพจรทั้งหลายภายในร่างกายมนุษย์ และเขายังอธิบายให้หลี่เหยียนฟังอย่างละเอียดทีละจุด
“สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนั้นคือพื้นฐานของการฝึกฝน จดจำเอาไว้ให้ขึ้นใจ ห้ามมีข้อผิดพลาดแม้แต่น้อย ส่วนตอนนี้มาพูดมาถึงวิชาฝึกพลังภายในของสำนักเรา ก่อนหน้านี้เคยบอกเจ้าไปแล้ว ว่าพลังภายในคือรากฐานของวิทยายุทธ์
ส่วนวิชาฝึกพลังภายในของสำนักเราแบ่งออกเป็นสิบระดับ นามว่าวิชาเงาพฤกษา พลังอำนาจมหาศาลนั้นได้รับจากการดูดซับพลังของพืชพรรณผ่านการหลอมด้วยวิชาลับในสำนัก เพื่อเสริมสร้างร่างกายและเปิดเส้นชีพจรทั่วร่าง
ทำให้ร่างกายมีพลังชีวิตและพลังภายในไหลเวียนอย่างรวดเร็วมั่นคง จนกระทั่งพลังภายในสั่งสมไว้ที่ตันเถียน ยามต่อสู้กับผู้อื่นจะสามารถแสดงพลังต่อสู้อันแข็งแกร่ง เรียกได้ว่าเหนือกว่าวิชาฝึกพลังภายในของสำนักทั่วไป แม้แต่อาจารย์เองก็ยังฝึกฝนได้ถึงแค่จุดสูงสุดของชั้นที่สามเท่านั้นเอง”
หลี่เหยียนยิ่งได้ฟังยิ่งประหลาดใจ สีหน้าท่าทีแสดงออกราวไม่อยากเชื่อสิ่งที่ได้ยิน เพราะด้วยวิทยายุทธ์ของอาจารย์ในปัจจุบัน ต่อให้สู้กับคนนับหมื่นยังไม่หวั่นด้วยซ้ำ แต่การฝึกฝนวิชาเงาพฤกษากลับบรรลุแค่ชั้นที่สาม หากว่าเป็นการฝึกฝนจนถึงชั้นที่สิบ ไม่ใช่ว่าจะมีพลังระดับเทพเซียนแล้วหรอกหรือ
จี้กุนซือสำรวจมองหลี่เหยียนและกล่าวต่ออย่างเชื่องช้า “แต่ก่อนจะฝึกฝนวิชานี้ มันจำเป็นต้องฝึกวิชาชี้นำลมปราณของสำนักเราเสียก่อน วิชานี้ใช้การชี้นำพลังจากฟ้าดิน เพื่อกระตุ้นพลังที่จุดตันเถียน ยามใดกระตุ้นจุดตันเถียนสำเร็จแล้วจึงสามารถฝึกฝนวิชาเงาพฤกษาได้อย่างเป็นทางการ”
กล่าวถึงตรงนี้จี้กุนซือจึงยิ้มออกเล็กน้อย ก่อนจะสะบัดแขนเสื้อคลุมสีดำทั้งสองข้างโดยพร้อมกัน เผยให้เห็นมือทั้งสองข้างที่ขาวสว่างเรียวสวยบนโต๊ะตรงหน้า มือซ้ายถือหนังสือเล่มหนึ่งที่คล้ายทองแต่ไม่ใช่ทอง และคล้ายหยกแต่ไม่ใช่หยก ถัดจากนั้นมือขวาจึงหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งที่ขนาดใหญ่กว่าหน้าหนังสือเล็กน้อยออกมาจากตัวหนังสือ บนกระดาษเต็มไปด้วยตัวอักษร เห็นได้ว่ากระดาษแผ่นนี้ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของหน้าหนังสือ และจากรอยหมึกแล้ว คาดว่าเพิ่งเขียนได้ไม่นาน
ตามการเคลื่อนไหวของจี้กุนซือ หลี่เหยียนสังเกตเห็นว่าหนังสือในมือซ้ายของผู้เป็นอาจารย์สร้างขึ้นจากวัสดุแปลกประหลาด แม้ตั้งแต่เด็กเขาได้อ่านหนังสือมาไม่น้อย แต่ก็ไม่เคยเห็นวัสดุเช่นนี้มาก่อน และหนังสือเล่มนี้ยังมีส่วนหนึ่งในสามที่สีสันแตกต่างจากส่วนที่เหลืออีกสองในสามอย่างเห็นได้ชัด คาดว่ามันอาจเป็นการนำหนังสือสองเล่มมาเย็บติดกัน
หลี่เหยียนจึงนึกขึ้นมาได้ ว่าตั้งแต่เมื่อวานที่ได้พบกับอาจารย์จนถึงตอนนี้ที่นำกระดาษออกมา อาจารย์ของเขาใช้เพียงแต่มือขวา ไม่ว่าจะเป็นการทดสอบด้วยเข็มเมื่อวานหรือทำสิ่งอื่นใดไม่เคยใช้มือซ้ายแม้สักครั้ง คาดว่าคงจะถือหนังสือเล่มนี้อยู่ในแขนเสื้อตลอดเวลา
สิ่งที่ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอยากรู้อยากเห็นเนื้อหาของหนังสือเล่มนี้ คือการที่มันเป็นหนังสืออะไรถึงทำให้คนผู้หนึ่งพกติดตัวอยู่ตลอดเวลา แต่เขาก็รู้ว่ามันไม่ใช่คำถามที่ควรถามออกมาในตอนนี้ เพราะเขาเพิ่งจะเข้าร่วมสำนัก บางทีในอนาคตหากสนิทกับผู้เป็นอาจารย์มากขึ้น เช่นนั้นเขาอาจได้ทราบในส่วนที่ตนเองสงสัย
จี้กุนซือทำราวกับว่าไม่เห็นความอยากรู้อยากเห็นในแววตาของหลี่เหยียน ยามนี้เขายื่นกระดาษที่เต็มไปด้วยตัวอักษรส่งให้หลี่เหยียนและกล่าวว่า “ส่วนนี้คือวิชาชี้นำลมปราณของสำนักเรา อาจารย์จะถ่ายทอดให้เจ้าก่อน ประเดี๋ยวเจ้าค่อยศึกษาด้วยตนเองอย่างละเอียดอีกครั้งหนึ่ง หากว่ามีข้อสงสัย อาจารย์จะคอยตอบคำถามให้
ส่วนกระบวนการชี้นำลมปราณนั้นแบ่งออกเป็นก่อนกำเนิดและหลังกำเนิด ช่วงก่อนกำเนิดก็เหมือนดังทารกในครรภ์มารดาที่ไม่ต้องใช้ปากหรือจมูกก็หายใจได้ แต่เมื่อใดคลอดออกมาแล้วจึงเปลี่ยนมาหายใจทางปากและจมูก ตอนนั้นจึงเป็นลมปราณหลังกำเนิด แต่ก็ต้องสูญเสียลมปราณก่อนกำเนิดไปเช่นกัน...”
การอธิบายครั้งนี้ใช้เวลาราวหนึ่งเค่อ และยามเมื่ออธิบายจบ จี้กุนซือจึงเงียบไปชั่วครู่และมองดูหลี่เหยียนที่กำลังครุ่นคิด บางครั้งเขาก็คว้าหุ่นไม้และวิชาชี้นำลมปราณขึ้นมาพิจารณาอย่างละเอียด ก่อนจะกุมมือทั้งสองข้างซ่อนไว้ในแขนเสื้อและวางบริเวณหน้าท้องเพื่อหลับตาฝึกสมาธิ
*เค่อ เป็นหน่วยเวลา มีค่าประมาณ 15 นาที*
หลี่เหยียนครุ่นคิดอยู่นาน จนในที่สุดก็มั่นใจว่าตนเองจดจำวิธีการฝึกฝนและเส้นทางการเดินลมปราณที่สำคัญได้แล้วจึงผ่อนคลาย เนื่องจากเดิมเขากลัวว่าเพราะตนเองไม่เคยสัมผัสกับวิชาฝึกพลังภายในมาก่อน หากมันลึกซึ้งจนเกินไปคงต้องเกิดคำถามมากมาย ถึงเวลานั้นคงชวนอับอายต่อหน้าอาจารย์ แต่ตอนนี้ค่อยรู้สึกว่าตนเองทำความเข้าใจได้จึงรู้สึกโล่งอกและคิดในใจว่า ‘บางทีอาจเพราะมันเป็นแค่วิชาพื้นฐาน’
ตอนนี้เองที่หลี่เหยียนเงยหน้าขึ้นมองผู้เป็นอาจารย์ ก่อนจะกล่าวด้วยท่าทีเคอะเขินเล็กน้อย “อาจารย์ ศิษย์รู้สึกว่า... พอจะเข้าใจวิชาเบื้องต้นแล้วขอรับ”
จี้กุนซือที่ได้ยินจึงลืมตาขึ้นและยิ้มให้หลี่เหยียน ถัดจากนั้นจึงเริ่มถามจุดสำคัญหลายจุด พบเห็นว่าหลี่เหยียนสามารถตอบได้อย่างคล่องแคล่ว ใบหน้านั้นจึงเผยความพึงพอใจออกมา “นับว่าดี ตั้งแต่วันนี้ไปให้เจ้าเริ่มฝึกฝนวิชานี้ อาจารย์คาดว่าคงใช้เวลาอย่างน้อยสามถึงห้าวัน มากสุดก็สิบวันหรือครึ่งเดือน ตอนนั้นเจ้าจะสามารถกระตุ้นพลังที่จุดตันเถียนได้สำเร็จ
ส่วนกระดาษวิธีการฝึกฝนนี้ หากจำได้แล้วก็คืนให้อาจารย์ทำลายเสีย ไม่ใช่ว่าอาจารย์ไม่ไว้ใจ แต่มันเป็นวิธีปฏิบัติของทุกสำนักในยุทธภพ นอกจากวิชาเล่มหลักแล้ว ส่วนอื่นล้วนถ่ายทอดด้วยปากต่อปาก นานครั้งถึงมีบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร หากทำขึ้นมาเมื่อไหร่ ใช้งานเสร็จแล้วต้องทำลายโดยทันที เพื่อป้องกันไม่ให้กระดาษวิชาสูญหายหรือถูกคนไม่หวังดีช่วงชิงเอาไป และแม้แต่วิชาเล่มหลัก โดยทั่วไปแล้วก็มีเพียงจ้าวสำนักที่สามารถครอบครองและทำหน้าที่เก็บรักษา”
หลี่เหยียนได้ฟังและคิดตาม พบว่าทุกสิ่งอย่างมีเหตุผล เพราะหากคิดในมุมมองของอีกฝ่าย เขาเข้าใจดีว่าสิ่งที่เป็นรากฐานของสำนักย่อมไม่อาจบันทึกไว้บนกระดาษแผ่นหนึ่ง หากไม่ทุกสำนักในยุทธภพคงไม่อาจรักษาความลับเอาไว้ได้
เขายื่นกระดาษวิชาชี้นำลมปราณส่งคืนให้อาจารย์ด้วยสองมืออย่างนอบน้อม จี้กุนซือยิ้มและรับมาเก็บไว้ในแขนเสื้อ ส่วนว่าหลังจากนี้จะจัดการมันอย่างไร หลี่เหยียนไม่คิดถาม ภายหลังจี้กุนซือจึงชี้ไปยังหุ่นไม้ที่วาดเส้นทางเดินลมปราณทั่วร่างและกล่าว “เจ้านำไปด้วย มันเป็นอะไรที่ต้องใช้เวลาทำความคุ้นเคยและจดจำเป็นเวลานาน”
หลี่เหยียนประสานมือตอบรับ ก่อนจะคว้าหุ่นไม้บนโต๊ะขึ้นมา และเขาคาดเดาว่าหุ่นไม้นี้ก็แค่ผลงานการแกะสลักอย่างประณีต เพราะทุกสำนักในยุทธภพสมควรมีสิ่งของเช่นนี้สำหรับศิษย์ใหม่ หากไม่แล้วเกิดพูดถึงเส้นชีพจรและจุดชีพจรด้วยปากเปล่าแต่ไม่มีตัวอย่างให้รับชมและพินิจ มันจะกลายเป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลาทำความเข้าใจอย่างมหาศาล ตอนนี้เขาจึงบอกลาจี้กุนซือก่อนจะเดินออกจากบ้านหินไป
จี้กุนซือมองหลี่เหยียนเดินกลับไปพลางหรี่สายตามองไปที่ประตู ครู่หนึ่งจึงถอนหายใจเสียงเบาและพึมพำกับตนเอง “คุณสมบัติของเขาด้อยกว่าคนก่อนหน้าไม่น้อย ไม่ทราบเลยว่าต้องใช้เวลานานเพียงใดกว่าจะฝึกฝนจนถึงจุดสูงสุดของชั้นที่หนึ่ง ขณะที่เวลาของเราก็เหลือน้อยลงทุกที พิษนี้ยิ่งผ่านไปยิ่งยากควบคุม เฮ้อ!” สิ้นคำ เขาจึงสะบัดแขนเสื้อขวาไปยังประตูที่อยู่ไกลห่างเพื่อปิดมันอย่างเงียบงัน
การกระทำเมื่อครู่ หากแม่ทัพหงพบเห็นคงตกใจจนวิญญาณแทบหลุดออกจากร่าง เพราะต่อให้เป็นยอดฝีมือผสานสรรพสิ่งในยุทธภพก็ไม่อาจทำเช่นนี้ในระยะไกลห่าง และหากว่าจะทำได้ อย่างน้อยก็ต้องเป็นยอดฝีมือผสานสรรพสิ่ง และระยะห่างยังต้องไกลกว่านี้มาก และการจะทำมันต้องรวบรวมพลังยังตันเถียนเสียก่อนเพื่อระเบิดพลังภายในออกมา หากว่าควบคุมไม่ดีประตูอาจแตกเป็นเสี่ยงเอาได้
ภายหลังจัดการปิดประตูเรียบร้อย จี้กุนซือจึงยื่นมือซ้ายออกมาจากแขนเสื้อ หนังสือที่ดูคล้ายทองแต่ไม่ใช่ทอง คล้ายหยกแต่ไม่ใช่หยก รวมถึงกระดาษวิชาชี้นำลมปราณจึงปรากฏบนโต๊ะ
เขาเปิดหนังสือส่วนที่มีเส้นแบ่งสีคล้ายหนังสือสองเล่มถูกเย็บติดกันอย่างชำนาญ ก่อนจะวางมันราบไปกับโต๊ะ มือทั้งสองวางลงบนหน้าหนังสือส่วนหลังที่เปิดออก และใช้พลังภายในกับหนังสือ เวลาผ่านไปชั่วครู่ หนังสือไม่มีปฏิกิริยาใดตอบรับ
ถัดจากนั้นเขาจึงเปลี่ยนทิศทางของหนังสืออยู่หลายครั้ง วางตามขวางที วางตามยาวที รวมถึงส่งพลังภายใน พยายามเคาะหนังสือ แต่มันก็ยังคงเหมือนเดิม สุดท้ายเขาจึงเริ่มแสดงท่าทีแปลกประหลาด โดยการหยิบหนังสือขึ้นมาและแนบส่วนหลังของหนังสือสองในสามส่วนแนบกับหน้าผาก ท่าทีเช่นนี้ราวกับบัณฑิตที่ประสบพบเจอปัญหาและหลับตาคิดพลางเอาหนังสือแนบหน้าผากโดยไม่รู้ตัว
เขาอยู่นิ่งเช่นนั้นเป็นเวลานาน จนกระทั่งในห้องปรากฏเสียงถอนหายใจดังขึ้น “ก็ยังไม่ได้ หลายปีมานี้ใช้วิธีสารพัดก็ยังเปิดไม่ได้ เช่นนั้นต้องฝึกฝนถึงระดับชั้นใดจึงมีโอกาส หากว่าในหนังสือเล่มนี้มีวิธีแก้พิษที่เผาผลาญภายในของร่างกายเรา แต่กระนั้น... เฮ้อ”
ภายหลังถอนหายใจ เขาจึงหยิบกระดาษวิชาชี้นำลมปราณขึ้นมาด้วยมือขวาและถือมันเอาไว้แน่นิ่ง แต่ชั่วพริบตากระดาษกับปรากฏไฟลุกไหม้และกลายเป็นเถ้าธุลีในพริบตา
“รวมพลังเป็นอัคคีเพลิง” มันเป็นอีกตำนานที่เล่าขานกันภายในยุทธภพ ที่แม้แต่ยอดฝีมือซึ่งเก่งกาจที่สุดแห่งยุทธภพในยุคปัจจุบัน การใช้พลังภายในยังทำได้แค่ส่งผลให้สิ่งของแตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยหรือผุยผง ขณะที่การจะทำให้เกิดไฟขึ้นมาจากความว่างเปล่านั้นไม่มีใครทำได้