บทที่ 45 ข้าไม่ใช่ผู้อาวุโสของพวกเจ้า
บทที่ 45 ข้าไม่ใช่ผู้อาวุโสของพวกเจ้า
กู่เสวียนเฉินรู้ว่าถ้าไม่แสดงพลังออกมาบ้าง ฉีจื่อเยียนก็คงไม่สบายใจ จึงยิ้ม "งั้นก็ลองดูเถอะ"
"ได้... ได้... เจ้าเนี้ยนะ ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตาจริงๆ!"
ฉีเสี่ยวอวี่พูดด้วยโทสะ "ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ข้ายืนอยู่ตรงนี้ ถ้าเจ้าสามารถทำให้เท้าของข้าขยับได้แม้แต่นิดเดียว ก็ถือว่าข้าแพ้!"
"อ้อ ได้!" กู่เสวียนเฉินพูดจบ ก็ยื่นมือไปบีบคอนาง
ฉีเสี่ยวอวี่แค่นเสียงอย่างดูถูก "ตอนนี้ข้าจะให้เจ้าเห็นว่าวิทยายุทธ์ขั้นสูงเป็นยังไง!"
พูดจบ ฉีเสี่ยวอวี่ก็ยกมือขึ้น ก็มีเงากรงเล็บมากมายปรากฏขึ้น กรงเล็บเหล่านี้ คว้าจับไปที่แขนของกู่เสวียนเฉิน
ฉีจื่อเยียนรีบบอก "เสี่ยวอวี่... อย่าทำร้าย..."
ยังไม่ทันที่ฉีจื่อเยียนจะพูดจบ แขนของกู่เสวียนเฉินก็เร่งความเร็ว พุ่งผ่านเงากรงเล็บมากมาย บีบคอฉีเสี่ยวอวี่!
"เจ้า..." ฉีเสี่ยวอวี่เบิกตากว้าง นางไม่เชื่อว่าตนเองจะพ่ายแพ้ให้กับผู้ฝึกยุทธ์จากแคว้นเล็กๆ อย่างแคว้นจื่อหยาน แถมยังเป็นคนที่ขอบเขตบ่มเพาะต่ำกว่า
และยังแพ้อย่างรวดเร็ว!
กู่เสวียนเฉินขมวดคิ้ว "ตอนนี้ยังมีคนฝึกฝนเคล็ดวิชาเทียนกังอยู่อีกหรือ?"
ฉีจื่อเยียนมองกู่เสวียนเฉินด้วยความประหลาดใจ "เจ้ารู้จักเคล็ดวิชาเทียนกังได้อย่างไร?"
กู่เสวียนเฉินจ้องมองฉีจื่อเยียน "เจ้าก็ฝึกฝนด้วย?"
ฉีจื่อเยียนพยักหน้า "เคล็ดวิชาเทียนกังเป็นเคล็ดวิชาลับของตระกูลฉีข้า แน่นอนว่าข้าย่อมต้องฝึกฝน!"
"วิทยายุทธ์ประจำตระกูล?" กู่เสวียนเฉินพูด "คนของตระกูลฉีพวกเจ้า ไม่มีใครอายุเกินห้าร้อยปีใช่ไหม?"
ฉีเสี่ยวอวี่มองกู่เสวียนเฉินเหมือนมองคนโง่ "เจ้าบ้าหรือเปล่า? ถ้าไม่บรรลุระดับว่างเปล่า ใครจะอายุเกินห้าร้อยปี?"
ตอนนี้กู่เสวียนเฉินถึงได้รู้ว่า ถึงแคว้นว่านกู่จะเจริญรุ่งเรืองแค่ไหน ระดับว่างเปล่าก็เป็นขอบเขตสูงสุดแล้ว!
คิดอยู่ครู่หนึ่ง กู่เสวียนเฉินก็พูดต่อ "ทุกคืนเดือนเพ็ญตอนเที่ยงคืน จุดชีพจรเฟิงเถียน และชิงฉือของพวกเจ้าจะปวดมากใช่หรือไม่?"
เด็กสาวสองคนมองกู่เสวียนเฉินด้วยความตกใจ นี่เป็นความลับของตระกูลฉี คนนอกไม่มีทางรู้
"เจ้ารู้เรื่องโรคประจำตระกูลของพวกเราได้ยังไง?"
กู่เสวียนเฉินส่ายหน้า ชี้ไปที่ฉีเสี่ยวอวี่ "ถ้าเป็นแค่โรคประจำตระกูล ทำไมนางถึงได้ปวดด้วย?"
นี่...
ฉีจื่อเยียนขมวดคิ้ว ตระกูลฉีคิดมาตลอดว่านี่เป็นโรคประจำตระกูล ยิ่งอายุมาก ความเจ็บปวดก็จะยิ่งรุนแรง ไม่เคยคิดว่ามันเกี่ยวข้องกับเคล็ดวิชาเทียนกัง
ฉีเสี่ยวอวี่ก็ไม่เคยบอกเรื่องของนางให้ตนเองฟัง!
ฉีเสี่ยวอวี่พูด "เป็นไปไม่ได้ ถ้าเป็นเพราะเคล็ดวิชา คนของตระกูลฉีข้าล้วนเป็นปรมาจารย์โอสถ ทำไมจะไม่รู้?"
กู่เสวียนเฉินยิ้ม "จะพิสูจน์มัน ย่อมง่ายมาก! หญ้าจันทราขม ดอกเพลิงสวรรค์ กิ่งไร้กังวล..."
เด็กสาวสองคนมองกู่เสวียนเฉินด้วยความประหลาดใจ "เจ้าจะกลั่นโอสถ?"
กู่เสวียนเฉินยักไหล่ "บิดาติดหนี้ บุตรใช้หนี้ ข้าจะทำยังไงได้อีก?"
"ได้ พวกเราไปที่ห้องกลั่นโอสถ!"
สิ่งที่กู่เสวียนเฉินต้องการล้วนเป็นสมุนไพรระดับสี่ที่หาได้ทั่วไป ฉีจื่อเยียนย่อมมีอยู่แล้ว
ไม่นานทั้งสามคนก็มาถึงห้องปรุงโอสถ ฉีจื่อเยียนที่เริ่มสนใจกู่เสวียนเฉินพูด "เจ้าไม่รังเกียจที่พวกเราดูเจ้าปรุงโอสถใช่ไหม?"
กู่เสวียนเฉินพูด "ไม่เป็นไร นำสมุนไพรแต่ละอย่างมาให้ข้ายี่สิบส่วน"
"ยี่สิบส่วน?" ฉีจื่อเยียนมองกู่เสวียนเฉินด้วยความประหลาดใจ
กู่เสวียนเฉินยิ้ม "แน่นอน ถ้าเจ้าไม่รังเกียจที่คนในตระกูลเจ้าจะไม่มีโอสถกินในอนาคต ข้าก็ไม่มีปัญหา ข้าจะปรุงแค่ส่วนเดียว!"
เพื่อดูว่ากู่เสวียนเฉินกำลังทำอะไร ฉีจื่อเยียนก็ไม่ได้ตระหนี่ "ได้ ข้าให้เจ้ายี่สิบส่วน!"
รับสมุนไพรมา กู่เสวียนเฉินก็ร่ายเคล็ดกลั่นโอสถ บนเตาโอสถมีอักขระค่ายกลที่ผนึกไฟใต้ดินเริ่มส่องแสง มังกรเพลิงก็พุ่งขึ้นมาทันที!
ต้องบอกว่า ในฐานะตระกูลปรมาจารย์โอสถในแคว้นว่านกู่ ไฟใต้ดินของตระกูลฉีแข็งแกร่งกว่านิกายเซียวเหยามาก แต่สำหรับกู่เสวียนเฉินที่อยากจะประหยัดเวลา มันยังไม่พอ!
กู่เสวียนเฉินเปลี่ยนเคล็ดควบคุมไฟ ถึงขนาดของไฟใต้ดินจะไม่เปลี่ยนแปลง แต่มันก็เปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีเขียว จากสีเขียวเป็นสีม่วงอย่างรวดเร็ว
ในตอนนี้ ฝาเตาโอสถก็เปิดออก สมุนไพรยี่สิบส่วนบินเข้าไปในเตาโอสถพร้อมกัน!
ฉีเสี่ยวอวี่ที่เดิมทีหวังในตัวกู่เสวียนเฉินเล็กน้อย เห็นภาพนี้ก็ตกใจ "เจ้ากลั่นโอสถเป็นจริงๆ หรือ? การปรุงโอสถต้องปรุงทีละส่วนนะ!"
"ข้าไม่มีเวลามากขนาดนั้น"
พูดจบ กู่เสวียนเฉินก็เปลี่ยนเคล็ดปรุงโอสถ ทันใดนั้นอักขระค่ายกลบนเตาโอสถก็เริ่มส่องสว่างมากกว่าเดิม ไฟใต้ดินพุ่งเข้าไปในเตาโอสถ
ด้านในเตาแบ่งออกเป็นยี่สิบช่อง แต่ละช่องมีไฟใต้ดินอยู่พอดีสำหรับสมุนไพรหนึ่งส่วน!
"นี่..."
ฉีจื่อเยียนที่กำลังจะเตือนกู่เสวียนเฉินก็ตกตะลึง "นี่คือวิชากลั่นโอสถแยกเพลิง ที่เทพโอสถจิ่วเทียน(เก้าสวรรค์) สร้างขึ้น แล้วก็หายสาบสูญไปมิใช่หรือ?"
กู่เสวียนเฉินยิ้ม "ข้าไม่รู้ว่ามันหายสาบสูญไปแล้วหรือยัง แต่ข้ารู้ว่าวิชานี้ไม่ใช่เขาที่สร้างขึ้น"
ตอนนั้นเพื่อแก้ผนึกที่ตันเถียน ตนเองปรุงโอสถมากมาย ตนเองที่อยู่แค่ขอบเขตฝึกปราณ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ จึงได้สร้างวิชานี้ขึ้นมา
เสี่ยวจิ่วก็เป็นตนเองที่สอนเขา!
มองมือของกู่เสวียนเฉินที่เปลี่ยนเคล็ดปรุงโอสถที่พวกนางไม่เคยเห็นมาก่อน เด็กสาวสองคนก็ไม่กล้าส่งเสียง มองมือของกู่เสวียนเฉินอย่างตั้งใจ
ทั้งสองไม่กล้ากระพริบตา ราวกับว่ากลัวจะพลาดรายละเอียดบางอย่าง!
ทันใดนั้น ก็มีเงาร่างหนึ่งที่กำลังกลั่นโอสถปรากฏขึ้นในหัวของพวกนาง!
เคล็ดวิชาเหมือนกับกู่เสวียนเฉินทุกประการ แต่ในระหว่างการฝึกฝน ความลึกลับต่างๆ ของเคล็ดวิชาก็ปรากฏขึ้นในหัวของพวกนางอย่างชัดเจน!
คนทั้งสองเข้าใจแก่นแท้ของวิถีโอสถอย่างลืมตัว กู่เสวียนเฉินก็ตั้งใจปรุงโอสถปลุกชีพจร
ตูม...
มีเสียงดังขึ้น ฝาเตาโอสถเปิดออก กลิ่นหอมก็อบอวลไปทั่วห้องกลั่นโอสถ แสงมากมายพุ่งขึ้นไปบนฟ้า กู่เสวียนเฉินร่ายเคล็ดปรุงโอสถ โอสถปลุกชีพจรมากกว่าร้อยเม็ดก็ลอยอยู่รอบๆ ตัวเขา หมุนวนอย่างต่อเนื่อง!
กู่เสวียนเฉินหยุดกลั่นโอสถ เงาร่างในหัวของเด็กสาวสองคนก็หายไป พวกนางก็เริ่มรู้สึกตัว
"โอ... โอสถสี่... สี่ลาย?"
"แถมยังปรุงได้เยอะขนาดนี้ในครั้งเดียว?"
มองโอสถที่ลอยอยู่กลางอากาศ เด็กสาวสองคนก็ตกตะลึง
จากนั้นทั้งสองก็รีบคำนับ "ฉีจื่อเยียน ฉีเสี่ยวอวี่สายตาแคบสั่น ล่วงเกินผู้อาวุโสไป ขอโปรดท่านอภัยให้ด้วย!"
ล้อเล่นหรือไง!?
ตระกูลฉีเคยมีบรรพชนคนหนึ่งปรุงโอสถหนึ่งลายได้หนึ่งเม็ด ก็ถูกยกย่องว่าเป็นหนึ่งในปรมาจารย์โอสถระดับสูงของแคว้นว่านกู่ แต่กู่เสวียนเฉิน ปรุงโอสถสี่ลายได้มากกว่าร้อยเม็ดในครั้งเดียว แถมยังปรุงพร้อมกันอีก!
และเงาร่างในหัวของพวกนางเมื่อกี้ ก็ต้องเป็นกู่เสวียนเฉินที่จงใจชี้แนะ!
กู่เสวียนเฉินพยุงคนทั้งสองขึ้น แล้วคำนับ "ไม่ต้องเกรงใจ ข้าไม่ใช่ผู้อาวุโสของพวกเจ้า"
ในโลกนี้ เขาสามารถเป็นผู้อาวุโสของใครก็ได้ แต่สำหรับผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตบิดา เขาไม่กล้าทำตัวเป็นผู้อาวุโส
เด็กสาวสองคนมองหน้ากันด้วยความสับสน
ในสายตาพวกเขา กู่เสวียนเฉินอย่างน้อยก็เป็นปรมาจารย์โอสถระดับเจ็ดหรือแปด แต่ตอนนี้กลับทำความรู้จักกับพวกเขาด้วยวิธีนี้
"โอสถเหล่านี้พวกเจ้าเก็บไว้ ให้คนในตระกูลที่ฝึกฝนเคล็ดวิชาเทียนกังกินคนละหนึ่งเม็ด แล้วดูดซับพลัง"
พูดจบ กู่เสวียนเฉินที่ไม่อยากอธิบายมากก็เดินออกจากห้องปรุงโอสถ
"คุณชายกู่หมายความว่ายังไง?"
ฉีเสี่ยวอวี่เก็บโอสถใส่ขวด มองฉีจื่อเยียนด้วยความสงสัย