บทที่ 1176: ข้อมูลล้นหลาม โปรเซสเซอร์โอเวอร์โหลด
【แปลโดยฝีมือ...ยักษาแปร...มาติดตามได้ที่แฟนเพจหรือเพื่อติดตามเอาข่าวสารได้นะ】
【แค่ คอมเมนต์ ก็เหมือนการให้กำลังใจแล้วนะครับ รบกวน comment กันหน่อยน๊า ;-;】
【Thai-novelจะทำการลงไวกว่าที่อื่นทุกที่ เป็นจำนวน 5 ตอน แต่เรื่องราคาแพงกว่าที่อื่นนิดหน่อย】
บทที่ 1176: ข้อมูลล้นหลาม โปรเซสเซอร์โอเวอร์โหลด
ตาเหยี่ยวไม่เข้าใจ แม้เวลาจะผ่านไปสองปีแล้ว เขาก็ยังคงไม่เข้าใจ ทำไมการเดินทางไปยังจุดหมายปลายทางด้วยการเดินตามบันทึกโพเนกลีฟแบบเส้นตรง ถึงไม่สามารถเดินตรง ๆ ได้
เขาเองก็จำไม่ได้แล้วว่านี่เป็นครั้งที่เท่าไหร่ที่เขาต้องเหวี่ยงดาบ โซโลก็เหมือนกับเด็กหัวดื้อที่มีความคิดเป็นของตัวเอง ไม่ว่าเขาจะวางแผนเส้นทางอย่างไร สุดท้ายก็จะออกนอกลู่นอกทางอยู่ดี
เกาะคุไรกานะนั้นอยู่ห่างไกลเกินไป หลังจากที่อาณาจักรล่มสลาย ก็ไม่มีเส้นทางเดินเรือที่แน่นอน ในวันปกติก็ไม่มีเรือสินค้าเข้ามาเทียบท่า ไม่เช่นนั้นตาเหยี่ยวคงไม่ใช้วิธีแบบนี้แน่นอน
【บริษัทของเราไม่ให้บริการจัดส่งคนเป็น ๆ 】
ป้ายในมือของไคริว กลายเป็นสัญลักษณ์ของบริการจัดส่งไปแล้ว ไคริวมีสติปัญญาสูงมาก สามารถทำงานเป็นโปรแกรมเมอร์ได้ การเรียนรู้ภาษาจึงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับพวกมัน ดังนั้นเมื่อออกไปทำภารกิจ ไคริว จะพกกระดานวาดภาพติดตัวไปด้วยเสมอ
นึกถึงป้ายที่ไคริวเคยแสดงให้เขาดู เขาก็รู้สึกว่าบริการของบริษัทนี้ยังไม่ครอบคลุมเท่าที่ควร ถ้าหากบริษัทจัดส่งร้อยอสูรสามารถจัดส่งคนเป็น ๆ ได้ล่ะก็ เขาคงจะแพ็คโซโลส่งไปแล้ว
แต่เขาก็ไม่อยากเสียหน้าไปส่งด้วยตัวเอง จึงได้แต่ใช้วิธีนี้ในการส่งโซโลไป
ด้วยความพยายามอย่างไม่ลดละของตาเหยี่ยว ในที่สุดเขาก็สามารถส่งเจ้าคนหลงทางคนนี้ไปยังหมู่เกาะชาบอนดี้ได้ แต่เมื่อพวกเขาเข้าใกล้หมู่เกาะชาบอนดี้มากขึ้นเรื่อย ๆ เรือในบริเวณนั้นก็ยิ่งมีมากขึ้น และบางสิ่งบางอย่างก็ถูกค้นพบในที่สุด
เรือโจรสลัดลำหนึ่งปรากฏตัวขึ้นใกล้ ๆ ตาเหยี่ยวในเวลาที่ไม่เหมาะสม และสุดท้ายก็กลายเป็น "เหยื่อของ 7 เทพโจรสลัด"
ถ้าเป็นเรือสินค้า ตาเหยี่ยวอาจจะยังคิดอยู่บ้าง แต่ถ้าเป็นเรือโจรสลัด...
สำหรับโจรสลัดที่ถูกกฎหมาย การโจมตีโจรสลัดไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลใด ๆ ทั้งสิ้น เพียงแค่ฆ่าปิดปากทุกคนที่รู้เห็น ก็จะไม่มีใครรู้สาเหตุที่แท้จริงที่คนเหล่านี้ถูกตาเหยี่ยวโจมตี
หลังจากผ่านอุปสรรคต่าง ๆ มาได้ โซโลก็มาถึงหมู่เกาะชาบอนดี้เป็นคนสุดท้ายในสภาพเปียกโชก
แต่เขาก็ยังไม่สามารถไปถึงจุดนัดพบได้สำเร็จ เขาเดินวนไปวนมาอยู่บนเกาะ ปะทะกับโจรสลัดคนอื่น ๆ ก่อให้เกิดความวุ่นวายไม่น้อย จนกระทั่งดึงดูดความสนใจของลูฟี่และคนอื่น ๆ และพาคนสุดท้ายกลับมาได้
"ไอ้หัวมอส แกไปทำบ้าอะไรมา รู้ไหมว่าแกทำให้เสียเวลาไปเท่าไหร่?"
"หืม? เกี่ยวอะไรกับฉัน ถ้าไม่ใช่เพราะระหว่างทางเจอคลื่นยักษ์แบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ฉันคงมาถึงนานแล้ว
ส่วนแกน่ะ หน้าซีดขนาดนี้ ยังจะออกเดินทางไหวอีกเหรอ ระวังอย่าตายกลางทางล่ะ"
คู่ปรับที่ไม่ได้เจอกันนานถึงสองปี สิ่งแรกที่ทำเมื่อเจอกันคือการเยาะเย้ยถากถางกัน
"หา? ต่อให้แกตาย ฉันก็ไม่ตายหรอก สองปีมานี้แกไปอยู่ที่ไหนมา แล้วตาข้างนั้นเป็นอะไร?"
พวกเขาเป็นคู่ปรับกัน โซโลสามารถมีชีวิตรอดมาปรากฏตัวที่นี่ได้ แม้ว่าสองปีที่ผ่านมาจะลำบากแค่ไหน ก็หมายความว่าเขารอดมาได้ ซันจิในตอนนี้สนใจมากกว่าว่าโซโลใช้ชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบไหนในช่วงสองปีที่ผ่านมา
อาณาจักรกระเทยนั้น สำหรับซันจิแล้วก็ไม่ต่างอะไรจากนรก ไม่ว่าสูตรอาหารที่นั่นจะเหมาะกับการฝึกฝนของเขามากแค่ไหน ประเทศที่ไม่มีผู้หญิงปกติก็เป็นอะไรที่น่ากลัวเกินไปสำหรับเขา
ถ้าสภาพแวดล้อมของโซโลดีกว่าเขา ก็คงเป็นการซ้ำเติมกันชัด ๆ
"อยู่กับไอ้ตาเหยี่ยวบนเกาะที่มีแต่ลิงบาบูน ฝึกฝนอยู่สองปี บาดแผลเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างนั้นเท่านั้นเอง แล้วแกล่ะ?"
ตามหลักการแล้ว เกาะที่มีแต่ลิงบาบูนไม่ใช่สถานที่ที่ดี แต่ไม่รู้ทำไม ซันจิกลับรู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรม เขายอมเผชิญหน้ากับลิงบาบูนป่าฝูงใหญ่ ดีกว่าต้องเผชิญหน้ากับเหล่ากระเทยพวกนั้น
"ซันจิคุงกับพวกเราใช้ชีวิตอยู่ในสวรรค์ถึงสองปีเลยนะ ที่นั่นช่างวิเศษสุด ๆ ไปเลยล่ะ เป็นดินแดนในฝันของเหล่ากระเทยเลยทีเดียว"
"อย่าเอาฉันไปรวมด้วย! ที่นั่นมันนรกชัด ๆ !"
"ซันจิคุง พูดแบบนี้เดี๋ยวหนูน้อยดิบานี่ได้ยินเข้าจะเสียใจแย่เลยนะ เขายังอุตส่าห์เดินทางมาไกลเพื่อมาส่งพวกเราเลย"
เมื่อได้ยินคำถามของโซโล บอน เครย์ก็รีบพูดขึ้นมาทันที แต่พอได้ยินชื่อดิบานี่ ซันจิก็รู้สึกเหมือนหัวใจหยุดเต้น ภาพของนักฆ่าร่างยักษ์ผมยาวสีทองที่ไว้หนวดเครารุงรังก็ปรากฏขึ้นในหัวของเขา
"พอแล้ว อย่าพูดถึงเรื่องนี้อีก ฉันไม่อยากนึกถึงเรื่องพวกนั้น"
ซันจิกุมหน้าอกตัวเองทรุดลงไปนั่งกับพื้น หายใจหอบถี่
"เอาล่ะ เรื่องรำลึกความหลังค่อยคุยกันทีหลังก็ได้ การเคลือบเรือของซันนี่เสร็จแล้ว ลูกเรือของพวกนายก็กลับมาครบแล้ว พวกนายสามารถออกเดินทางได้ทุกเมื่อ แต่ก่อนออกเดินทาง พวกนายต้องรู้เรื่องบางอย่างก่อน"
เมื่อเห็นทุกคนส่งเสียงดังจอแจ เรย์ลี่ก็รู้สึกเหมือนตัวเองกลับมาหนุ่มขึ้นอีกครั้ง แต่ก็ยังคงดึงหัวข้อกลับมาที่เรื่องการเดินทาง
"ตามหลักการแล้ว ปล่อยให้พวกนายไปหาเอาเองน่าจะดีกว่า แต่ตอนนี้ทะเลมันอันตรายเกินไป ถ้าไม่มีความรู้พื้นฐานอะไรเลย พวกนายอาจจะผ่านด่านเกาะมนุษย์เงือกไม่ได้ด้วยซ้ำ"
เห็นเรย์ลี่จริงจังขึ้น กลุ่มหมวกฟางก็เลิกทำตัวสบาย ๆ ยกเว้นกัปตันของพวกเขา คนอื่น ๆ นั่งเต็มเก้าอี้ที่เคาน์เตอร์บาร์
"หลังสงครามมารีนฟอร์ดหนวดขาวตาย สถานการณ์ในทะเลก็เปลี่ยนจากยุค 4 จักรพรรดิ เป็นยุค 3 จักรพรรดิแย่งชิงอำนาจ หรือจะพูดให้ถูกก็คือยุคที่ร้อยอสูรครองอำนาจแต่เพียงผู้เดียว
ไคโด ชาร์ล็อตต์ หลินหลิน แชงคส์ พวกเขาเป็นจักรพรรดิแห่งท้องทะเลเหมือนกัน แต่จักรพรรดิแต่ละคนก็มีความแข็งแกร่งต่างกัน ร้อยอสูรนับว่าเป็นหนึ่งในนั้น"
"แล้วเอสล่ะ?"
ลูกเรือคนอื่น ๆ กำลังตั้งใจฟังข้อมูล ลูฟี่ที่ไม่มีอะไรทำก็เดินตามมา ตามที่เรย์ลี่บอก กลุ่มโจรสลัดหนวดขาวเหมือนถูกลืมโดยโลกใบนี้ ซึ่งทำให้ลูฟี่ไม่เข้าใจ
"เอส? เขาก็เติบโตขึ้นมามาก ตอนนี้กลุ่มโจรสลัดหนวดขาวก็ถือว่าเป็นหนึ่งในกลุ่มที่มีอำนาจในโลกใหม่ แต่ยังไม่แข็งแกร่งพอที่จะต่อสู้กับเหล่าปีศาจที่อยู่จุดสูงสุดได้
นอกจากนี้ นักวิทยาศาสตร์อัจฉริยะเวก้าพังค์ก็ตายแล้ว คนที่ลงมือคือหนึ่งในผู้บริหารระดับสูงของร้อยอสูร ถึงจะไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร แต่ดูจากข่าวในหนังสือพิมพ์แล้ว เหมือนจะเป็นความแค้นฝังลึก
ทางฝั่งทหารเรือ พวกเขาเสริมกำลังพลจำนวนมากผ่านการเกณฑ์ทหารทั่วโลก แม้แต่ปีศาจระดับพลเรือเอกก็มีเพิ่มมาอีกสองคน
พลเรือเอกทั้งสามคนเดิม เหลือเพียงแค่คิซารุที่ยังคงตำแหน่งเดิม อาคาอินุกับอาโอคิยิต่อสู้กัน อาคาอินุชนะและได้เป็นจอมพลเรือ ส่วนอาโอคิยิที่พ่ายแพ้ก็เข้าร่วมกับร้อยอสูร กลายเป็นโจรสลัด"
กองทัพเรือไม่ได้ประกาศข่าวนี้ แต่เรื่องที่อาโอคิยิเข้าร่วมกับร้อยอสูรก็ไม่ใช่ความลับอีกต่อไป คนที่มีช่องทางก็รู้เรื่องนี้กันหมดแล้ว
เรย์ลี่เล่าเรื่องใหญ่ ๆ ออกมาทีละเรื่อง ทุกครั้งที่พูด ปากของกลุ่มหมวกฟางก็อ้ากว้างขึ้นเรื่อย ๆ
ก่อนหน้านี้ พวกเขามีช่องทางรับข้อมูลไม่เพียงพอ ข่าวที่ได้รับก็เป็นเพียงบางส่วนเท่านั้น เช่น แฟรงกี้รู้เรื่องที่เวก้าพังค์ตายแล้ว บรู๊ครู้ว่าผลปีศาจร้อยอสูรกำลังพัฒนาไปได้สวย
ตอนนี้เมื่อนำข่าวทั้งหมดมารวมกัน พวกเขาถึงได้รู้ว่าสถานการณ์มันซับซ้อนแค่ไหน ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม เหตุการณ์เหล่านี้ล้วนเกี่ยวข้องกับร้อยอสูรไม่มากก็น้อย
"ลูฟี่ ที่จริงแล้ว สองปีมานี้ โรคของฉันยังไม่หายขาด ฉันเป็นโรคที่ถ้าเข้าไปในโลกใหม่แล้วจะตาย"
อุซปที่ถูกต้นไม้กินคนไล่ล่า ถูกผีเสื้อล่าสังหาร และผ่านการฝึกฝนอันโหดร้ายบนเกาะ เดิมทีคิดว่าตัวเองเติบโตขึ้นแล้ว แต่เมื่อเผชิญกับข้อมูลมากมาย นิสัยขี้ขลาดก็กำเริบขึ้นมาอีกครั้ง
กลุ่ม 3 คนขี้ขลาดกอดกันกลม ส่วนคนอื่น ๆ แม้จะไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมา แต่ข้อมูลจำนวนมหาศาลก็กำลังเปลี่ยนมุมมองของพวกเขา เวลาเพียงสองปี โลกใบนี้ดูเหมือนจะอันตรายมากขึ้น
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร แผนการเดินทางของพวกเขาก็ไม่เปลี่ยนแปลง พร้อมกับอารมณ์ที่หลากหลาย กลุ่มโจรสลัดหมวกฟางก็ออกเดินทางสู่โลกใหม่
"นายคิดว่าพวกเขาจะไหวเหรอ?"
มองไปที่จุดที่เรือซันนี่ดำดิ่งลงไป ชาคิก็พ่นควันบุหรี่ออกมาเป็นวง เธอเป็นคนขายข่าวในหมู่เกาะชาบอนดี้ รู้ดีว่าทะเลเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรในช่วงสองปีที่ผ่านมา
การฝึกฝนธรรมดากับการเติบโตจากการต่อสู้ เห็นได้ชัดว่าเป็นคนละเรื่องกัน การจะใช้เวลาสองปีเพื่อเติบโตจนแข็งแกร่งพอที่จะต่อสู้กับเหล่าปีศาจที่อยู่จุดสูงสุดได้ ไม่ใช่เรื่องง่าย
"ใครจะไปรู้ล่ะ? แต่การผจญภัยมันถึงน่าตื่นเต้นไง เพราะมันเต็มไปด้วยสิ่งที่ไม่รู้ หนุ่มสาวก็ต้องเติบโต พวกเขาต้องพึ่งพาตัวเอง"
ไม่มีเรื่องแปลก ๆ มารบกวนการเดินทาง การเดินทางของลูฟี่ราบรื่นเป็นอย่างมาก
กลุ่มโจรสลัดมนุษย์เงือกใหม่หายสาบสูญไปนานแล้ว บนเกาะมนุษย์เงือกก็ไม่มีเหตุการณ์วุ่นวายใด ๆ ลูฟี่เดินทางมาถึงเกาะมนุษย์เงือกอย่างปลอดภัย และได้เห็นธงโจรสลัดของร้อยอสูรที่แขวนอยู่เหนือทางเข้า
ในขณะเดียวกัน ช็อปเปอร์ก็หยิบผ้าสีดำผืนหนึ่งยื่นให้ซันจิ
"ซันจิ เพื่อความปลอดภัยในชีวิตของนาย ปิดตาไว้เถอะนะ"
"ไม่เอา!ฉันอุตส่าห์มาถึงที่นี่แล้ว ถ้าไม่ได้ดูพี่สาวนางเงือกก็เสียดายแย่สิ!"
"แต่นายเห็นนางเงือกแล้วร่างกายนายอาจจะเสียเลือดมากจนตายได้นะ! กรุ๊ปเลือดของนายหายาก เติมเลือดได้ไม่ง่ายเลยนะ!"
"ช็อปเปอร์ นี่คือความฝันของลูกผู้ชาย ต่อให้ตายที่นี่ ฉันก็จะไม่ปิดตา! และฉันก็เตรียมตัวพร้อมแล้ว ครั้งนี้จะไม่เกิดเหตุการณ์แบบนั้นอีก"
ความปรารถนา เลือดร้อน ด้วยความคิดที่แตกต่างกัน กลุ่มหมวกฟางก็เข้าสู่เกาะมนุษย์เงือก แต่เมื่อเข้าไปแล้ว สิ่งที่พวกเขาเห็นไม่ใช่นางเงือกที่กระตือรือร้น แต่เป็นการต่อสู้
ตึ่ก ๆ ๆ ๆ ๆ !
เสียงปืนกลคำรามไม่หยุด ปลอกกระสุนจำนวนมากกระจัดกระจายอยู่บนพื้น ในตอนนี้ พื้นบนเกาะมนุษย์เงือกกลายเป็นแอ่งโคลนขนาดใหญ่ ที่ขอบแอ่งโคลน ปืนกลแกตลิ่งโผล่ออกมาจากท้องของคาริบู กำลังระดมยิงไปข้างหน้า
คาริบู "ผมเปียก" กัปตันกลุ่มโจรสลัดคาริบู มีค่าหัว 210 ล้านเบรี เป็นซูเปอร์โนวาของปีนี้ ขึ้นชื่อเรื่องชอบการฆ่าทหารเรือ เป็นบุคคลอันตรายในบัญชีดำของกองทัพเรือ
ไม่มีกลุ่มหมวกฟางปลอมมาก่อกวน คาริบูจึงมาถึงเกาะมนุษย์เงือกก่อนลูฟี่และคนอื่น ๆ จากนั้นก็ถูกผลประโยชน์จากพวกเงือกดึงดูด เริ่มใช้พลังของตัวเองจับเงือก
ธงของร้อยอสูรเป็นเหมือนสิ่งข่มขู่ สามารถทำให้ศัตรู 99% หวาดกลัว แต่ก็ยังมีคนที่กล้าเสี่ยงเพื่อผลประโยชน์
คาริบูเป็นผู้ใช้พลังผลปีศาจสายธรรมชาติ ผลหนองน้ำ อาศัยพลังของผลปีศาจสายธรรมชาติ ทำให้ไม่มีคู่ต่อสู้ในครึ่งแรก ของแกรนด์ไลน์ ตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงที่มั่นใจในตัวเองสุด ๆ จะให้หยุดมือเพราะธงผืนเดียวก็คงไม่ใช่
แอ่งโคลนบนพื้นดินที่จริงแล้วคือส่วนขยายของร่างกายเขา เขากำลังพยายามใช้สิ่งนี้จำกัดศัตรู แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผล จนกระทั่งกระสุนในปืนหมด ร่างในควันปืนก็ยังไม่ล้มลง กลับมีเสียงที่ดูไม่สบอารมณ์ดังขึ้น
"ช้าจัง แค่หาข้อมูลประจำตัวโจรสลัดคนเดียว ต้องใช้เวลานานขนาดนี้เลยเหรอ?"
"พี่โฮลเด็ม รออีกหน่อยนะครับ พวกเราส่วนใหญ่ทำภารกิจในโลกใหม่ ไม่ค่อยรู้จักพวกหน้าใหม่ในครึ่งแรกเท่าไหร่"
โจรสลัดข้างกายถือใบประกาศจับจำนวนมาก กำลังค้นหาข้อมูล แต่ยังไม่ทันที่เขาจะหาเจอ ชายคนหนึ่งที่ทำผมเหมือนมังกรเปลี่ยนสี ก็ถือพลั่วพุ่งเข้ามา ฟาดไปที่หัวของโฮลเด็ม
เคร้ง!
พลั่วแตกออกเป็นสองท่อน จนถึงตอนนี้ ลูกน้องของโฮลเด็มถึงหาข้อมูลของทั้งสองคนเจอ
ติดตามผู้แปลได้ที่แฟนเพจ:ยักษาแปร ผู้แปลลงแค่ในMy-NovelและThai-novelเท่านั้น หากอ่านที่อื่นรบกวนมาสนับสนุนทีนะครับผม หรือจะมากดไลก์แฟนเพจก็ได้ กระซิกกระซิก ;-;_