บทที่ 13 สำนักเงาพฤกษา
บทที่ 13 สำนักเงาพฤกษา
รุ่งเช้า หลี่เหยียนตื่นขึ้นจากความฝัน พบว่าฟ้าเริ่มสางแล้ว เขาลืมตาขึ้นด้วยความงัวเงียพลางมองสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย เพดานไม่ใช่คานไม้สีดำที่เคยเห็นมาเกือบทั้งชีวิต แต่เป็นเพดานเรียบสีเขียวอมฟ้า เขาถึงขั้นงุนงงไปชั่วขณะ ก่อนจะเริ่มสำรวจมองรอบด้าน จนกระทั่งนึกได้ว่าที่นี่ไม่ใช่บ้านเก่าที่ตนอยู่มาสิบกว่าปี ยามนี้รู้สึกแปลกที่และเดียวดาย ทว่าเขาก็สูดลมหายใจเข้าลึก ลุกขึ้น เดินไปที่โต๊ะและเปิดหน้าต่างเพื่อรับลมเย็นที่พัดเข้ามา อย่างน้อยก็ทำให้สดชื่นขึ้นมาบ้าง
เมื่อมองออกไปภายนอก ที่ได้เห็นคือหุบเขาซึ่งล้อมรอบด้วยภูเขาสูงสามด้าน ยอดเขาแต่ละด้านสูงเสียดฟ้า เบื้องบนปรากฏดวงดาวลอยล่องบนท้องฟ้าสีคราม นำพาความเย็นสดชื่นของเข้าตรู่ส่องลงมา เถาวัลย์กับพุ่มไม้สีเขียวบนพื้นดินยังเลื้อยไปตามแนวเขาซ้อนกันเป็นชั้นจนเหมือนกับหลังของสัตว์ประหลาด พร้อมกับเสียงนกร้องเจื้อยแจ้วในหุบเขา เพียงได้ฟังก็ทำให้รู้สึกสงบและแจ่มใส
ใกล้กัน หลังโต๊ะหินมองออกไปนอกหน้าต่างเป็นบ่อน้ำ มันปรากฏไอน้ำบาง ๆ ลอยขึ้นมาจากผิวน้ำจนเป็นเสมือนผ้าคลุมขาวบางที่ชวนให้มอง
หลี่เหยียนยืนเหม่อมองอยู่สักพักหนึ่ง ใจรู้สึกสงบขึ้น ภายหลังจึงหันกลับไปที่เตียง เปลี่ยนเสื้อผ้า และเปิดประตูออกไปพลางมองประตูบ้านอีกสองสามหลังใกล้เคียง พบว่าประตูยังปิดอยู่ ยามนี้จึงเดินย่างก้าวเบา ๆ ไปยังบ่อน้ำ
เพียงมาถึงข้างบ่อ หลี่เหยียนได้เห็นว่าปากบ่อกว้างราวสี่ถึงห้าจ้างและเป็นวงรี ด้านหนึ่งติดกับหน้าผา มีน้ำพุสองถึงสามสายไหลลงมาจากยอดเขาจนทำให้หน้าผาส่วนนั้นเปียกชุ่ม นอกจากนี้ตามทางน้ำยังมีรากเถาวัลย์ที่แกว่งไปมาตามกระแสน้ำ รวมถึงมอสสีเขียวที่ขึ้นอยู่สองข้างทางจนกลายเป็นทางน้ำพุหลายสายที่ไหลจากยอดเขามารวมกัน
ผิวน้ำในบ่อกระเพื่อม คลื่นวงน้ำซัดเข้าหาเศษหินที่ข้างบ่อเป็นระลอกคลื่น หมอกสีขาวลอยล่องเหนือผิวน้ำจนเปรียบประหนึ่งแพรไหมจากสวรรค์ น้ำในบ่อค่อนข้างใส แต่ไม่ทราบว่าลึกเพียงใด ยามมองลงไปพบว่ามันสมควรเย็นเยียบ และไม่อาจมองเห็นก้นบ่อ
หลี่เหยียนนั่งลงพลางตักน้ำล้างหน้า และน้ำเย็นทำให้ผิวเย็นวาบ แต่ก็นำพาความรู้สึกสดชื่นมาให้
หลี่เหยียนลุกขึ้นยืนพลางมองไปยังทิศใต้ของบ่อน้ำ พบว่ามีแปลงผัก และสวนดอกไม้อยู่ตรงนั้น ขณะกำลังจะเข้าไปดู ทันใดนี้เองที่มีเสียงดังขึ้นราวกับอยู่ข้างหู “ตรงนั้นเป็นที่ที่ข้าปลูกผักปลูกดอกไม้ยามว่าง”
หลี่เหยียนสะดุ้งตกใจจนรีบหันกลับไปมอง พบเห็นเป็นชายชุดดำยืนอยู่ระหว่างโต๊ะหินสองตัวบริเวณหน้าบ้านด้านหลัง สายตาคู่นั้นกำลังมองมาและส่งยิ้มให้
“อะ... อาจารย์” หลี่เหยียนที่พบเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นใครจึงรีบคารวะ “ศิษย์รบกวนอาจารย์เสียแล้ว ขออาจารย์ลงโทษขอรับ”
ชายชุดดำย่อมเป็นจี้กุนซือ ยามนี้อีกฝ่ายโบกมือตอบ “ข้าตื่นนานแล้ว แค่ฝึกวิชาอยู่ในบ้านก็เท่านั้นเอง”
“หุบเขาแห่งนี้เล็กแค่นี้ ต่อไปเจ้ามีเวลาก็สำรวจได้ ประเดี๋ยวก็มีคนเอาอาหารเช้ามาส่ง ล้างหน้าล้างตาและกินข้าวเสร็จแล้วค่อยมาพบที่ห้องของข้า”
หลี่เหยียนรีบตอบรับ “ขอรับท่านอาจารย์”
จี้กุนซือที่เอ่ยคำจึงยิ้มส่งให้และหันหลังเดินกลับไป หลี่เหยียนมองตามแผ่นหลังของผู้เป็นอาจารย์และคิด ว่าไม่ทราบทำไม แต่เขากลับรู้สึกได้ถึงความรักที่พ่อแม่มีให้ ยามนี้จึงเกิดความรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ
ภายหลังเขากลับเข้าบ้านได้ไม่นาน ผู้หญิงคนเมื่อคืนจึงนำอาหารเช้ามาส่ง เป็นอาหารเช้ามื้อเบา ประกอบด้วยหมั่นโถวและกับข้าวสองสามอย่าง รวมถึงโจ๊กไข่เยี่ยวม้าและหมูสับชามใหญ่ หลี่เหยียนจึงได้กินอย่างเอร็ดอร่อย แม้ว่าจะเป็นอาหารธรรมดา แต่หากอยู่บ้านเขาคงไม่มีโอกาสได้กิน และยามนึกได้ว่าอาจารย์บอกให้ไปหา เขาจึงรีบกิน
ภายหลังเสร็จสิ้นมื้อเช้า หลี่เหยียนรีบไปยังบ้านหินหลังแรกที่อยู่ใกล้ทางเข้าหุบเขาด้านตะวันออก เพียงมาถึงหน้าประตู เขาได้เห็นว่าประตูไม่ได้ปิด คาดว่าอาจารย์คงรออยู่ก่อนแล้ว เวลานี้จึงยืนหน้าประตูและพูดออกไป “อาจารย์ ศิษย์มาแล้วขอรับ”
“อ้อ เจ้ามาแล้วหรือ เข้ามาสิ” เสียงชายวัยกลางคนดังตอบกลับมาจากอีกด้าน หลี่เหยียนจึงเดินเข้าไป ด้านในเป็นห้องขนาดพอกับห้องที่เขาอยู่อาศัย มีเตียงไม้ขนาดใหญ่ตั้งทางทิศเหนือ และชั้นหนังสือทางด้านตะวันตก ทว่ามีหนังสือเต็มแน่นทุกชั้น รวมถึงอุปกรณ์สำหรับล้างหน้าล้างตาอย่างง่ายทางตะวันออก หากจะมีอะไรต่างก็คงเป็นโต๊ะเตี้ยที่วางบนพรมผืนใหญ่กลางห้อง รวมถึงมีกู่ฉินโบราณวางอยู่บนโต๊ะ มันดูเก่าแก่ มีรอยขีดข่วน แต่ก็เรียบ คาดว่าคงถูกใช้งานมาอย่างยาวนาน
หน้ากู่ฉินยังมีกระถางธูป และธูปที่ปักอยู่สามดอกพร้อมควันธูปที่ลอยล่องส่งกลิ่นจันทน์หอมให้ความรู้สึกสงบ
หลังโต๊ะมีคนนั่งขัดสมาธิ มือทั้งสองข้างซ่อนอยู่ในแขนเสื้อ สายตามองหลี่เหยียนและยิ้มให้ เป็นจี้กุนซือ
“มานี่ นั่งที่หน้าโต๊ะ” จี้กุนซือยื่นมือขวาออกมาจากแขนเสื้อ เรียกหลี่เหยียน และชี้ไปยังพรมหน้าโต๊ะ หลี่เหยียนรีบเดินเข้าหา ถอดรองเท้า และนั่งคุกเข่าหันหน้าเข้าหาอาจารย์ มารยาทเช่นนี้ บัณฑิตชราเคยให้เขาทราบแล้ว ทางด้านจี้กุนซือที่พบเห็นจึงยิ้มรับ
“หลี่เหยียน วันนี้ข้าจะเล่าเรื่องราวของสำนักให้เจ้าได้ฟัง” จี้กุนซือได้เห็นว่าหลี่เหยียนนั่งเรียบร้อยแล้วจึงเอ่ยปาก
“ขอรับท่านอาจารย์ ศิษย์จะตั้งใจฟังขอรับ” หลี่เหยียนมองอาจารย์พร้อมตอบรับด้วยความสุภาพ
“สำนักของข้านั้นมีนามว่าสำนักเงาพฤกษา ก่อตั้งเมื่อหกร้อยปีก่อน แต่ทุกยุคทุกสมัยไม่เคยแสดงตัวต่อโลกภายนอก สำนักมักจะอยู่ในป่าลึกเพื่อไม่ให้ใครรู้จัก วิทยายุทธ์ของสำนักยิ่งเป็นความลับ รวมกับข้อกำหนดในการคัดเลือกศิษย์ที่เข้มงวด
การหาศิษย์จึงเปรียบดังการงมเข็มในมหาสมุทร แต่ละรุ่นมีศิษย์เพียงแค่สองหรือสามคน รุ่นข้ามีข้าเพียงผู้เดียว ส่วนวิทยายุทธ์ของสำนักนั้นไร้ข้อกังขา หากฝึกฝนจนถึงจุดสูงสุด แม้ไม่อาจเป็นหนึ่งในใต้หล้า แต่ก็ถือเป็นแถวหน้าแห่งยุคสมัย” จี้กุนซือบอกเล่าด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนจนกระทั่งหยุดพัก
หลี่เหยียนตั้งใจฟังพร้อมตอบรับด้วยน้ำเสียงเบาค่อย “ขอรับ ตอนที่ศิษย์เข้าเมืองก็ได้ยินคนพูดถึง ว่าท่านอาจารย์แม้อยู่กลางวงล้อมของข้าศึกก็เหมือนไม่ใช่อยู่ในวงล้อม วิชาตัวเบาอันเลิศล้ำเช่นนั้นข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยขอรับ”
จี้กุนซือยิ้มรับ “ถัดจากนี้ หากเจ้าขยันฝึกฝน ความสำเร็จของเจ้าอาจไม่ด้อยไปกว่าข้า” หลี่เหยียนที่ได้ยินจึงรีบถ่อมตน “ท่านอาจารย์กล่าวเกินไปขอรับ ศิษย์หรือจะเทียบอาจารย์ได้ แม้ขยันฝึกแค่ไหน อาจารย์ที่เก่งกาจขึ้นทุกวัน ศิษย์ย่อมไม่อาจตามได้ทันขอรับ”
จี้กุนซือยิ้มรับ “คนเราต้องมีความทะเยอทะยานบ้าง อย่าได้คิดเช่นนั้น”
หลี่เหยียนไม่กล้าพูดคำอื่นใดตอบ ทำได้ก็เพียงพยักหน้ารับคำ
จี้กุนซือเริ่มพูดต่อ “ที่ข้าออกมาจากป่านั้นมีเหตุผล สำนักเงาพฤกษาของเรา นอกจากจะเก่งกาจเรื่องวิทยายุทธ์ ในทุกยุคทุกสมัยยังศึกษาเรื่องสมุนไพรอย่างจริงจัง ตลอดหลายร้อยปีที่ผ่านมา บรรพชนแต่ละรุ่นต่างอาศัยอยู่ในป่าเพื่อศึกษาเพื่อสมุนไพร ถึงแม้จะไม่ได้เปิดเผยตัว แต่ก็มีออกไปใช้ชีวิตในยุทธภพ ทั้งช่วยเหลือผู้คนและรักษาโรค มันถือเป็นธรรมเนียมภายในสำนัก หากเอาแต่ร่ำเรียนไม่ได้นำไปใช้ วิทยายุทธ์จะกลายเป็นแค่วิธีป้องกันตัวในยุทธภพ”
หลี่เหยียนที่ได้ฟังจึงเกิดความรู้สึกนับถือพลางคิดในใจว่า ‘ที่แท้นำสักของเรา นอกจากจะเก่งกาจด้านวิทยายุทธ์แล้วยังหยิบยื่นความช่วยเหลือแก่ผู้คน นับเป็นสำนักที่ดีพร้อม’
“ข้าเองก็ฝึกฝนวิชาพลางออกเดินทางช่วยเหลือผู้คน แต่น่าเสียดาย เมื่อหกปีก่อน ครั้งเข้าไปเก็บสมุนไพรในป่าดันพลาดโดนแมลงมีพิษกัดเข้า รักษามานานก็ยังไม่หาย มีแต่จะยิ่งแย่ลงเสียด้วยซ้ำ แม้พยายามไปพบมิตรสหายและหมอที่เก่งกาจ แม้ฝีมือทางการแพทย์ของพวกเขาไม่ได้ดีกว่าข้านัก แต่บางทีอาจทราบวิธีแก้พิษที่มีมากมายในใต้หล้า กระนั้นก็เป็นเรื่องน่าเสียดาย ไม่มีใครรู้จักพิษชนิดนี้ ขณะพิษกำลังลุกลามไปทั่วร่างกาย ข้าก็ยังไม่อาจหาวิธีแก้ไข ทำได้แค่ใช้พลังภายในกดมันเอาไว้ แต่อย่างมากก็แค่เจ็ดหรือแปดปี ตอนนี้ผ่านมาแล้วหกปี หากยังหาวิธีแก้พิษไม่ได้อีกก็คงต้องปล่อยให้เป็นไปตามโชคชะตา”
หลี่เหยียนที่ได้ยินจึงตกใจและมองหน้าอาจารย์ที่ผิวกายค่อนข้างซีด ตอนนี้เองที่เขาหน้าถอดสี “ท่านอาจารย์กำลังจะบอกว่าหาวิธีถอนพิษไม่ได้หรือขอรับ หากไม่แล้วสีหน้าท่านอาจารย์คงไม่เป็นเช่นนี้”
จี้กุนซือยิ้มรับและกล่าวว่า “ไม่เป็นไร โชคชะตากำหนดมาเช่นนี้”
ขณะที่ฝ่ายหลี่เหยียนเกิดร้อนใจ “ไม่มีทางเลยหรือขอรับ?”
จี้กุนซือโบกมือตอบรับ “ใจเย็นก่อน ที่ข้าออกจากป่านั้นมีเหตุผล นั่นคือหาศิษย์มาสืบทอดวิชา หากไม่แล้วเกิดปล่อยวิชาขาดหายในรุ่นของข้า ถึงเวลาข้าคงไม่มีหน้าไปสู้หน้าจ้าวสำนักเหล่าอาจารย์รุ่นก่อน เฮ้อ วิธีการฝึกฝนของสำนักก็เข้มงวดยิ่งนัก
มันจำเป็นต้องหาคนที่มีร่างกายพิเศษจึงสามารถฝึกได้ หากไม่ใช่และฝืนฝึก จะเป็นเหตุทำให้เส้นชีพจรและพลังปราณเกิดอาการผิดปกติจนเสียชีวิต คนที่ตรงเงื่อนไขเป็นอะไรที่หาได้ยาก ในอดีตที่สำนักต้องการหาศิษย์ ก็จะให้จ้าวสำนักในแต่ละรุ่นเฟ้นหาตนออกเดินทางท่องยุทธภพ ดังนั้นถึงแม้จะเป็นอะไรที่หาได้ยาก
แต่ใต้หล้าก็มีคนอยู่มากมายเช่นกัน ส่วนตัวข้าใช้วิธีนั้นไม่ได้ เพราะเวลาไม่เหลือพอให้ทำเช่นนั้น สุดท้ายจึงนึกออกวิธีการหนึ่ง นั่นคือมาที่กองทัพ เพราะมีทหารในสังกัดมากมาย ส่วนใหญ่ยังร่างกายแข็งแรง โอกาสพบเจอคนที่ตรงเงื่อนไขย่อมมีมาก”
หลี่เหยียนที่ได้ยินจึงคิดในใจ ‘ที่แท้อาจารย์มาสังกัดกองทัพก็เพราะต้องการหาตัวศิษย์ การทดสอบด้วยเข็มเงินเมื่อวานน่าจะเป็นวิธีการค้นหาร่างกายที่พิเศษ’ แต่พอนึกถึงความเจ็บปวดเมื่อวานขึ้นมา ใจเขาจึงเกิดความรู้สึกกลัว
จี้กุนซือราวกับทราบว่าเขาคิดอะไร ยามนี้จึงเอ่ยปาก “ร่างกายของเจ้าเป็นร่างกายที่มีความพิเศษซ่อนอยู่ หากไม่ใช้วิธีของสำนักก็ไม่อาจกระตุ้นขึ้นมา ครั้งกระตุ้น แม้เจ็บปวดอยู่บ้างแต่ก็ถือเป็นขั้นตอนจำเป็นสำหรับการฝึกเคล็ดวิชาในสำนัก อาจารย์อยู่ที่กองทัพมาได้ห้าเกือบหกปีแล้ว ทำการทดสอบทหารไปหลายแสนนาย ผ่านเวลาอันยาวนานยังพบเจอแค่สอง คนหนึ่งพบเจอเมื่อปีก่อน ส่วนอีกคนคือเจ้า”
หลี่เหยียนได้ยินจึงเกิดตกใจและครุ่นคิด ‘สองคนงั้นหรือ ในหุบเขาแห่งนี้มีแค่เรากับอาจารย์ เมื่อวานเฉินอันกับหลี่อินก็ไม่ได้พูดถึง นอกจากห้องนอนของอาจารย์กับห้องฝึกวิชา เราก็เข้าไปอีกสองห้องที่เหลือแล้ว กระทั่งว่าจับจองมาใช้พักอาศัยห้องหนึ่ง’ ภายหลังครุ่นคิดแล้วเขาก็เหมือนกับนึกอะไรขึ้นได้ ภายหลังทบทวนก็นึกออก เพราะเมื่อวาน ตอนที่เขายืนคิดอะไรเรื่อยเปื่อยตรงหน้ากระโจมที่ลานฝึก อาจารย์พูดคุยกับแม่ทัพหง และเหมือนแม่ทัพหงจะพูดประมาณว่า “คนที่รับเป็นศิษย์ครั้งก่อนนั้น...”
จี้กุนซือพบเห็นหลี่เหยียนทำหน้างุนงงจึงแปลกใจ ‘เมื่อวานหงหลินอิงก็พูดถึงไปแล้ว เหตุใดเขายังดูตกใจ’ แต่คิดอีกทีก็มองว่าเข้าใจได้ แต่เขาหาได้ทราบไม่ ว่าเมื่อวานหลี่เหยียนไม่ได้ยินที่แม่ทัพหงพูด
“เจ้าคงแปลกใจที่ไม่เห็นอีกคนที่พูดถึง เรื่องนี้บอกต่อเจ้าให้ชัดเจนก็แล้วกัน” จี้กุนซือพูดแล้วก็สูดลมหายใจเข้าลึก “คนนั้นที่เป็นศิษย์พี่ของเจ้า ข้าพบเจอเขาเมื่อต้นปีที่ผ่านมา เขาผ่านการทดสอบและเข้าสำนัก เจ้าคงจำได้ ว่าภายหลังการทดสอบร่างกาย สิ่งที่ข้าถามเจ้าคือรู้ตัวอักษรหรือไม่”
หลี่เหยียนพยักหน้ารับ เรื่องนี้เขาจดจำได้
“ศิษย์พี่ของเจ้าไม่ได้เรียนหนังสือ ภายหลังเข้าร่วมสำนัก ข้าคิดว่าจะสอนเขาเอง และเขาก็น่าจะฝึกได้ แต่ข้าใจร้อนไป เคล็ดวิชาของสำนักไม่อาจดูแคลน ภายหลังศิษย์พี่ของเจ้าฝึกไปได้หนึ่งเดือนกว่า ช่วงที่ข้าเข้าเมืองไปพูดคุยเรื่องงานกับท่านแม่ทัพ เขากลับแอบฝึกวิชาขั้นถัดไป แต่เพราะความเข้าใจที่ไม่ดีพอจึงทำให้พลังปราณแตกซ่าน กว่าข้าจะกลับมาเขาก็... เฮ้อ”
จี้กุนซือบอกเล่าด้วยท่าทีรู้สึกผิดและเสียใจ “ข้าผิดเองที่ใจร้อน พิษในร่างกายที่แก้ไขไม่ได้นี้ รวมกับร่างกายที่ย่ำแย่ลงทุกวันจึงทำให้ร้อนใจเรื่องการสืบทอดวิชา การฝึกฝนในสำนักของเรา นอกจากต้องให้อาจารย์ชี้แนะแล้วยังต้องศึกษาเอง และต้องพินิจร่างกายของตนเอง เป็นการค่อย ๆ ฝึกฝนไป แต่ครั้งนั้นข้ามั่นใจจนเกินไป คิดว่าสอนเขาด้วยตนเองแล้วไม่น่ามีปัญหา แต่สุดท้ายก็ทำพลาดครั้งใหญ่” สิ้นคำแล้วเขาจึงเผยน้ำตาคลอออกมา
หลี่เหยียนที่ได้ยินก็ตกใจไม่น้อย กระทั่งคิดในใจว่า ‘ที่แท้คนที่อาจารย์หาเจอเสียชีวิตไปแล้ว เมื่อวานเหมือนแม่ทัพหงจะถามว่าเทียบคุณสมบัติกันแล้วเป็นอย่างไร คงหมายถึงระหว่างข้ากับศิษย์พี่ที่ตายจากไป เรื่องนี้จะเปรียบเทียบกับคนตายได้เช่นไร และถ้าหากศิษย์พี่คนนั้นมีคุณสมบัติที่ดียิ่งกว่าเรา หากเป็นแบบนี้ เราคงแย่’ เขาที่คิดได้ถึงขั้นต้องหลั่งเหงื่อกาฬออกมา
สุดท้าย เขาเงยหน้าขึ้นมองผู้เป็นอาจารย์ ขณะกำลังจะเอ่ยปากว่า ‘ข้าคงฝึกไม่ได้’ แต่พอได้เห็นแววตาและความคาดหวังของผู้เป็นอาจารย์ มันทำให้เขาเกิดความรู้สึกลำบากใจ เพราะมันคือเรื่องสำคัญ ใจจึงเกิดความลังเล แต่สักพักก็ตัดสินใจด้วยตนเองได้ ‘หากว่าเราปฏิเสธ อาจารย์จะส่งตัวกลับหมู่บ้าน ถึงเวลาจะสู้หน้าพ่อแม่ได้อย่างไร
หากดีหน่อยคงได้กลับไปเป็นทหาร แต่ก็ต้องออกรบ เป็นตายวันใดไม่อาจทราบ สองทางเลือกนี้ไม่ใช่ทางที่เราอยากเลือกเช่นกัน สู้ลองเสี่ยงดูเสียยังดีกว่า อีกทั้งเราก็เรียนหนังสือมา ต่อไปเวลาศึกษา หากไม่เข้าใจก็หยุดการฝึกเสีย อีกทั้งเหตุผลที่อาจารย์แข็งแกร่งจนแทบไร้ผู้ต้านดังตำนานเล่าขาน ก็เพราะความพิเศษของวิทยายุทธ์ที่ฝึกฝน ใต้หล้านี้ไม่มีอะไรที่ได้รับมาโดยไม่หมั่นเพียรพยายาม’ เพียงเขาคิดจบจึงมองผู้เป็นอาจารย์ด้วยสายตาเด็ดเดี่ยว
จี้กุนซือพบเห็นแววตาของเขาย่อมเข้าใจ ยามนี้จึงยิ้มรับด้วยความสบายใจและพูดต่อ “ภายหลังเกิดเรื่องครั้งนั้น แท้จริงแล้วข้าก็แทบไม่ได้ฝากความหวังอะไรเอาไว้แล้ว เพราะบางทีกว่าจะหาคนที่เหมาะสมพบก็คงไม่เหลือเวลามากพอ แต่ก็ราวกับฝันไป ไม่คิดว่าสวรรค์ยังคงมีเมตตา ก่อนข้าจะสิ้นใจยังได้เห็นความหวัง”