บทที่50 ชัยชนะ
ณ ห้องการแข่งขันของสมาคมวิวัฒนาการสัตว์อสูรแห่งเมืองพิรุณพราย เสียงของผู้เข้าแข่งขันและเจ้าหน้าที่ค่อยๆ เงียบลงเมื่อเสียงฝีเท้าหนักแน่นดังสะท้อนมาตามทางเดิน
ทุกสายตาในห้องหันไปมองร่างสูงใหญ่ที่ปรากฏตรงประตู
ชายวัยกลางคนผมดำยาวที่แผ่กลิ่นอายอำนาจและความสง่างาม เดินเข้ามาด้วยท่าทางสงบ
เขาชื่อ เฟรอม ผู้อำนวยการสมาคมวิวัฒนาการสัตว์อสูรสาขาเมืองพิรุณพราย เขาสวมชุดสูทสีดำเรียบหรู เสริมด้วยตราประจำสมาคมที่ประดับอยู่บนหน้าอก
ใบหน้าของเขาฉายแววสุขุมและเฉียบคม ดวงตาสีเทาเปี่ยมไปด้วยความเด็ดขาด และเพียงแค่เขาปรากฏตัว ความเงียบสงัดก็เข้าปกคลุมทั้งห้อง
“เกิดอะไรขึ้นที่นี่?” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มลึกเต็มไปด้วยอำนาจ ทำให้บรรยากาศในห้องที่คุกรุ่นก่อนหน้าเงียบลงราวกับไม่มีใครกล้าหายใจ
กรรมการประจำการแข่งขันรีบก้าวออกมาข้างหน้า พลางก้มหัวเล็กน้อยด้วยความเคารพ ก่อนจะเล่ารายละเอียดทุกอย่างให้เฟรอมฟัง
ไม่ว่าจะเป็นการที่ริวทำข้อเขียนได้ร้อยคะแนนต็มและการที่เขาสามารถวิวัฒนาการสัตว์อสูรได้สำเร็จ ไปจนถึงเหตุการณ์ที่กำแพงระเบิดเมื่อแมวแสงพยับฟ้าใช้พลังหลังวิวัฒนาการ
เมื่อรับฟังเรื่องราวจนจบ ดวงตาสีเทาของเฟรอมเปล่งประกายด้วยความสนใจ เขาเดินตรงไปหา แมวแสงพยับฟ้าที่ยืนอยู่เคียงข้างริว
“เธอชื่อริวใช่ไหม?” เฟรอมเอ่ยพร้อมหันไปมองเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างแมวตัวนั้น
ริวเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยตอบกลับอย่างสุภาพ “ใช่ครับ”
รอยยิ้มเล็กๆ ปรากฏบนมุมปากของเฟรอม “นานแล้วที่ฉันไม่ได้พบหนุ่มสาวที่มีความสามารถถึงเพียงนี้ เธอทำให้สัตว์อสูรตัวนี้วิวัฒนาการได้สำเร็จภายในเวลา1วันเท่านั้น เกรงว่าฉันเองก็ยังทำแบบนั้นไม่ได้”
“ผมแค่โชคดีเท่านั้นครับ” ริวตอบด้วยน้ำเสียงเรียบง่าย
เฟรอมส่ายหน้าเล็กน้อย ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“เธอไม่จำเป็นต้องถ่อมตัวไปหรอก ถ้าทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องของโชคจริง คนที่ค้นคว้าเกี่ยวกับวิวัฒนาการสัตว์อสูรมาอย่างหนักทั่วทั้งทวีปคงไม่ต้องเสียเวลาไปกับการวิจัยอีกต่อไป”
น้ำเสียงอันหนักแน่นของเขาส่งผลให้เหล่าผู้เข้าแข่งขันคนอื่นๆ ที่ยืนฟังอยู่ชื่นชม แม้บางคนจะยังคงมีแววตาอิจฉา แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธความจริงที่ว่าผลงานของริวเหนือกว่าพวกเขาในทุกด้าน
เฟรอมกวาดสายตามองผู้เข้าแข่งขันทุกคน ก่อนจะเอ่ยขึ้นเสียงดัง “ผู้ชนะการแข่งขันนักวิวัฒนาการสัตว์อสูรรุ่นเยาว์ประจำปีนี้คือ เขา มีใครจะคัดค้านไหม?”
บรรยากาศในห้องเงียบสงัดอีกครั้ง ทุกคนที่ได้ยินคำพูดนั้นต่างไม่กล้าเอ่ยแย้ง เพราะเทียบกับสิ่งที่ริวทำแล้ว ผลงานของพวกเขาดูกลายเป็นเด็กทันที
“ถ้าไม่มีใครคัดค้าน” เฟรอมกล่าวต่อพร้อมรอยยิ้มบางๆ ที่ฉายบนใบหน้า “ขอแสดงความยินดีด้วย ริว เธอคือผู้ชนะการแข่งขันครั้งนี้”
เสียงปรบมือดังกึกก้องทั่วทั้งห้อง เสียงนั้นไม่ได้มีเพียงแค่จากผู้เข้าแข่งขันด้วยกัน แต่ยังรวมถึงกรรมการและเจ้าหน้าที่ของสมาคมที่ยืนดูอยู่ด้วย
ริวโค้งตัวเล็กน้อยตอบรับความยินดี “ขอบคุณครับ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่สุภาพ แต่ภายในใจของเขากลับเต็มไปด้วยความสุข
ซึ่งไม่ใช่เพราะชัยชนะการแข่งขัน แต่เพราะเขาสามารถทำภารกิจของระบบได้สำเร็จแล้ว
ดวงตาของเฟรอมเบนกลับไปที่แมวแสงพยับฟ้า ก่อนจะหันมาพูดกับริว “เนื่องจากเธอเป็นคนที่วิวัฒนาการสัตว์อสูรตัวนี้สำเร็จ เธอควรเป็นคนตั้งชื่อใหม่ให้มัน”
ริวหลับตาครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะลืมตาขึ้นและกล่าวอย่างมั่นใจ “ผมจะเรียกมันว่า แมวแสงพยับวายุฟ้า ครับ”
“เป็นชื่อที่ดี” เฟรอมพยักหน้าและพูดต่อว่า
" ฉันมีเรื่องที่จะคุยกับเธอหน่อย เธอสะดวกไหม!? "
" ครับ " ริวพยักหน้าตอบกลับ
แต่ในขณะที่ทั้งคู่กำลังจะเดินไป จู่ๆ แมวแสงพยับวายุฟ้าก็ยื่นอุ้งเท้าแตะเบาๆ ที่แผ่นหลังของริว ใบหน้าของมันแสดงความรู้สึกออดอ้อนและเศร้าเล็กน้อย ราวกับไม่ต้องการแยกจากเขา
“มีอะไรเหรอ? นายไม่ชอบชื่อที่ฉันตั้งให้เหรอ?” ริวถามพลางลูบหัวมันด้วยรอยยิ้ม
แมวแสงพยับวายุฟ้าส่งเสียงเบาๆ คล้ายแมวปกติ แต่แฝงไว้ด้วยความรู้สึกอ้อนวอน
เฟรอมที่สังเกตเห็นฉากนั้นเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้ม “ดูเหมือนว่ามันอยากอยู่กับเธอ ถ้างั้นให้มันไปกับเธอล่ะกัน”
“จริงเหรอครับ?” ริวถามด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย แมวแสงพยับวายุฟ้าที่วิวัฒนาการแล้วเป็นสัตว์อสูรที่ทรงพลังและควรค่าแก่การตรวจสอบมาก เขาคิดว่าสมาคมจะเก็บมันไว้เองซะอีก
“ใช่” เฟรอมตอบหนักแน่นด้วยรอยยิ้ม
ริวไม่ตอบในทันที เขาหันไปมองแมวแสงพยับวายุฟ้าที่กำลังใช้ดวงตาอ้อนวอนเขา ราวกับมันกำลังรอคำตอบอย่างกระตือรือร้น
“เอาล่ะ” ริวลูบหัวมันเบาๆ “ถ้านายอยากไปกับฉัน ก็ไปด้วยกันเถอะ”
แมวแสงพยับวายุฟ้าส่งเสียงร้องเบาๆ ด้วยความดีใจ ก่อนจะขยับเข้าไปใกล้เขามากขึ้น ริวลูบขนของมันอีกครั้งอย่างอ่อนโยน ขณะที่ผู้คนรอบๆ ต่างมองดูด้วยความอิจฉาและชื่นชม
“เอาล่ะ” เฟรอมเอ่ยตัดบรรยากาศอันอบอุ่นนั้น “ถ้าเธอพร้อมแล้ว ไปที่ห้องทำงานของฉันหน่อย ฉันมีบางอย่างที่อยากจะพูดด้วย”
“ได้ครับ”
แต่ในขณะนั้นเองก็มีเสียงชายคนหนึ่งดังขึ้นจากอีกฟากของห้อง “เดี๋ยวก่อนครับ ผู้อำนวยการ!”
เสียงนั้นมาจากชายวัยกลางคนในชุดสูทหรู ท่าทางของเขาดูจริงจังแต่แฝงไว้ด้วยความเจ้าเล่ห์ เขาคือลุงของกอร์มุส
ทุกคนในห้องหันไปมองต้นเสียงพร้อมกันด้วยความสงสัย
“กาเมล?” เฟรอมขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาไม่ชอบท่าทีแสแสร้งของชายคนนี้เท่าไหร่
“ตามนโยบายของสมาคม” กาเมลเริ่มพูดเสียงดัง ราวกับต้องการเรียกร้องความสนใจจากผู้คนในห้อง
“สัตว์อสูรที่ได้รับการพัฒนาจะต้องถูกส่งมอบให้สมาคมดูแลโดยตรง การที่คุณอนุญาตให้เด็กคนนี้รับไป มันไม่ถูกต้องนะครับ!”
คำพูดนั้นสร้างความอึ้งให้กับหลายคนในห้อง บรรยากาศเริ่มตึงเครียดขึ้น
เฟรอมมองกาเมลด้วยสายตาเยือกเย็น แววตาของเขาเหมือนกำลังอ่านใจชายตรงหน้า
“นายกำลังกล่าวหาฉันว่าไม่ปฏิบัติตามกฎเหรอ?” น้ำเสียงของเขานิ่งแต่แฝงไว้ด้วยอำนาจ
กาเมลสะดุ้งเล็กน้อย แต่ยังคงพยายามยืนหยัด “ปะ... เปล่าครับผู้อำนวยการ ผมแค่รู้สึกว่ามันอาจจะผิดระเบียบไปหน่อย”
แน่นอนว่าเหตุผลที่แท้จริงก็คือ เขาต้องการใช้อำนาจในฐานะผู้จัดการใช้วิธีลับบางอย่างในการได้รับแมวแสงพยับฟ้ามาครอบครอง
เฟรอมหลุดหัวเราะเบาๆ ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเหยียดหยัน “ดูเหมือนว่าช่วงนี้ ฉันจะปล่อยละเลยเกินไปจนทำให้สมาคมเต็มไปด้วยขยะเช่นนาย”
คำพูดนั้นทำให้ทุกคนในห้องหันไปมองกาเมลด้วยความประหลาดใจและตกใจ กาเมลพยายามโต้ตอบ แต่ถูกเฟรอมตัดบททันที
“เท่าที่ฉันรู้ แมวแสงพยับฟ้าตัวนี้ ถูกจัดอยู่ในรายชื่อสัตว์อสูรที่ไม่ควรนำมาทดลอง เพราะร่างกายมันอ่อนแอมาก และถูกตัดสินใจแล้วว่าจะนำมันไปรักษา แต่มันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?”
“ในฐานะผู้จัดการ นายช่วยอธิบายให้ฉันฟังหน่อย”
กาเมลหน้าซีดทันทีเมื่อได้ยิน เขาพยายามพูดอะไรบางอย่าง แต่เสียงของเขาสั่นจนฟังไม่รู้เรื่อง
“ชั่งเถอะ! ฉันจะตรวจสอบเรื่องนี้เอง” เฟรอมหันไปสั่งเจ้าหน้าที่ “ไปเรียกคนที่นำสัตว์ตัวนี้เข้ามา ฉันต้องการคำตอบเดี๋ยวนี้”
จากนั้นเจ้าหน้าที่ที่นำแมวแสงพยับฟ้ามา ก็เดินเข้าไปในห้อง เฟรอมเบือนสายตาที่เย็นชาและน่ากลัวไปทางเจ้าหน้าที่คนนั้นทำให้เขาสะดุ้งและรีบพูดขึ้นอย่างตื่นตระหนกทันที
“ผู้อำนวยการครับ! ผมจะเล่าทุกอย่างให้คุณฟัง!”
เจ้าหน้าที่เล่าว่า กาเมลได้ใช้อำนาจของตน สั่งให้แมวแสงพยับฟ้าถูกส่งกลับมาทดลองอีกครั้งและเขายังออกคำสั่งให้เพิกเฉยต่อเอกสารที่เกี่ยวกับการรักษาของมัน
เสียงกระซิบกระซาบดังขึ้นทั่วห้อง แต่ไม่นานก็เงียบลง เมื่อพนักงานสาวคนหนึ่งวิ่งเข้ามาพร้อมแท็บเล็ตในมือ
“ท่านผู้อำนวยการคะ นี่เป็นหลักฐานที่สำคัญมาก!” เธอกล่าว
เฟรอมรับแท็บเล็ตมาเปิดดู ภายในมีวิดีโอบันทึกบทสนทนาระหว่างกาเมลและกอร์มุส ซึ่งเผยให้เห็นถึงการสมรู้ร่วมคิดในการโกงการแข่งขัน
กาเมลสั่งให้เจ้าหน้าที่แทรกแซงการสอบของริวและยังช่วยเหลือกอร์มุสอย่างไม่ถูกต้อง
เมื่อหลักฐานถูกเปิดเผย เสียงฮือฮาดังก้องไปทั่วห้อง บรรดาผู้เข้าแข่งขันที่พยายามเต็มที่ต่างมองกาเมลและกอร์มุสด้วยความเกลียดชัง
พวกเขาต่างพยายามกับการแข่งขันครั้งนี้มาก ไม่นึกว่าจะมีคนโกง
“ช่างน่าละอายยิ่งนักที่มีคนแบบนี้อยู่ในสมาคม!” เฟรอมกล่าวเสียงดังด้วยความโกรธ
“ฉันในฐานะผู้อำนวยการสมาคม ขอประกาศว่าผู้เข้าแข่งขันกอร์มุสถูกตัดสิทธิ์จากการแข่งขันและเข้าร่วมของสมาคมวิวัฒนาการสัตว์อสูรตลอดชีวิต และกาเมล...” เฟรอมหยุดพูดชั่วขณะก่อนจะเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“จะถูกปลดจากตำแหน่งทันที และถูกดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างรุนแรง”
กาเมลและกอร์มุสทรุดตัวลงกับพื้นเหมือนหมดแรงทันทีเมื่อได้ยินสิ่งนี้
แต่ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะนำตัวพวกเขาออกไป เสียงของริวก็ดังขึ้น “เดี๋ยวก่อน”
ทุกคนหันมามองริว เด็กหนุ่มเดินไปหยุดตรงหน้ากาเมลและกอร์มุส ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเย็นชา
“ฉันไม่สนหรอกว่าพวกนายจะใช้แผนสกปรกแค่ไหน เพราะขยะพวกนายไม่เคยอยู่ในสายตาฉันอยู่แล้ว”
" แต่ว่า” ริวพูดเสียงเรียบแต่เต็มด้วยบรรยากาศที่กดดันและน่ากลัว
“หากไม่ใช่ฉันแต่เป็นคนอื่น สัตว์อสูรตัวนี้คงตายไปแล้ว…พวกนายเห็นชีวิตของสัตว์อสูรเป็นอะไรกันแน่”
ทันใดนั้นกอร์มุสและกาเมลก็พลันเห็นบรรยากาศรอบตัวที่เปลี่ยนไป จู่ๆ ความมืดราวกับโลกสูญสิ้นก็ปกคลุมไปทั่วจิตใจของพวกเขา และภาพของมังกรทองขนาดมหึมาเริ่มปรากฏขึ้นกลางอากาศ
มันคำรามก้องจนพื้นสั่นสะเทือน ตาสีทองอำพันจ้องมองกอร์มุสและกาเมล ราวกับมองเหยื่อที่ไร้ทางหนี
มังกรตัวนั้นยกกรงเล็บขนาดใหญ่ขึ้น ราวกับจะขย้ำพวกเขาเป็นชิ้นๆ
“อ้ากกกก!” กอร์มุสกรีดร้องด้วยความหวาดกลัวจนตัวสั่น เขาทรุดลงกับพื้นทันที กาเมลก็ไม่ต่างกัน ใบหน้าซีดขาวจนไร้สีเลือด มือไม้สั่นเทาราวกับคนที่ถูกโยนเข้าไปในฝันร้าย
เสียงคำรามของมังกรดังก้องอีกครั้ง จนพวกเขาต้องร้องขอชีวิต
“อย่าฆ่าฉัน! ได้โปรด! ฉันผิดไปแล้ว!”
กางเกงของทั้งสองเริ่มเปียกโชกด้วยความกลัว สร้างความตกตะลึงให้กับทุกคนในห้อง เจ้าหน้าที่ที่ยืนอยู่ใกล้ถึงกับตาค้าง
“รีบนำตัวพวกเขาไปเดี๋ยวนี้!” เฟรอมออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด พลางพยายามระงับความตกตะลึงในใจ
คำพูดของเฟรอมทำให้เจ้าหน้าที่ที่ตกตะลึงอยู่ได้สติ พวกเขารีบรุดเข้ามาคุมตัวกอร์มุสและกาเมลออกจากห้องทันที แม้พวกเขาจะกรีดร้องขอความเมตตา แต่ไม่มีใครให้ความสนใจ
เมื่อทั้งสองถูกพาออกไป บรรยากาศในห้องเริ่มกลับคืนสู่ความสงบ เฟรอมหันไปมองริวด้วยสายตาเคร่งขรึม
ถึงแม้ริวจะยืนเฉยๆราวกับไม่ได้ทำอะไร แต่เฟรอมสัมผัสได้ว่าเมื่อกี้เป็นฝีมือของริวแน่นอน แต่เขาไม่รู้เหมือนกันว่าอีกฝ่ายใช้วิธีอะไร
เฟรอมยิ้มตอบเล็กน้อย พลางพยายามระงับความตกตะลึงในใจ “ขอโทษด้วยที่ทำให้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นในวันนี้ ถ้ายังไง พวกเราไปคุยกันที่ห้องของฉันกันเถอะ”
ริวยิ้มบางๆ และพยักหน้าก่อนเดินตามเฟรอมออกจากห้อง เหลือเพียงบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความทึ่งของผู้เข้าแข่งขันคนอื่นๆ...