บทที่48 แมวแสงพยบฟ้า
ในมุมหนึ่งของอาคาร ร่างสองร่างยืนจ้องกัน ริวมีรอยยิ้มบางๆ ประดับบนใบหน้า ส่วนเอลซ่ายังคงรักษาสีหน้าที่เย็นชาและเฉยเมย แต่ก่อนที่พวกเขาจะพูดอะไรต่อ เสียงประกาศก็ดังขึ้น
“ขอให้ผู้ผ่านการทดสอบข้อเขียนมารวมตัวที่จุดนัดพบ”
ริวหันไปมองเอลซ่าพร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ฉันว่าเราค่อยคุยกันหลังจากการแข่งขันเสร็จแล้วดีกว่า”
เอลซ่าพยักหน้าเล็กน้อย เป็นการตอบรับโดยไม่พูดอะไรเพิ่ม จากนั้นทั้งสองเดินไปยังจุดรวมตัวของผู้ผ่านการคัดเลือกทันที
เมื่อทั้งคู่มาถึงจุดรวมตัว บรรยากาศรอบข้างเต็มไปด้วยความกดดัน ผู้เข้าแข่งขันที่ผ่านรอบข้อเขียนมีเพียง 20 กว่าคนจากจำนวนผู้เข้าแข่งขันมากกว่าพันคน
ทุกคนยืนอยู่ในกลุ่มเล็กๆ พูดคุยกันเบาๆ แต่มีสายตาหลายคู่จับจ้องไปที่ ริว และ เอลซ่า
กอร์มุสยืนอยู่ในกลุ่มคนเหล่านั้น เขามองริวด้วยความโกรธและอิจฉา สายตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังทำให้บรรยากาศรอบตัวเขาดูมืดมน
แต่ริวกลับไม่สนใจแม้แต่น้อย รอยยิ้มสงบของเขายิ่งทำให้กอร์มุสรู้สึกโกรธจนแทบระเบิด
ไม่นานกรรมการคนเดิมก็ปรากฏตัวขึ้น เขาเดินนำกลุ่มผู้เข้าแข่งขันไปยังห้องขนาดใหญ่ ที่ถูกแบ่งออกเป็นห้องเล็กๆ โดยมีหมายเลขกำกับอยู่บนประตูแต่ละบาน
“ยินดีด้วยกับพวกเธอที่ผ่านการทดสอบข้อเขียน” กรรมการกล่าวด้วยน้ำเสียงทรงพลัง “ต่อจากนี้จะเป็นการแข่งขันรอบปฏิบัติ”
เขาหยุดเล็กน้อยเพื่อให้ทุกคนตั้งใจฟัง ก่อนจะอธิบายต่อ
“การแข่งขันรอบปฏิบัติครั้งนี้เป็นการทดสอบความสามารถในการวิวัฒนาการสัตว์อสูรของพวกเธอ โดยแต่ละคนจะได้รับห้องทดลองส่วนตัวซึ่งข้างในจะมีสัตว์อสูรที่สมาคมจัดเตรียมไว้ให้”
“พวกเธอมีเวลา 1 วันเต็ม ในการพัฒนาสัตว์อสูรเหล่านั้น เราจะตรวจสอบผลลัพธ์โดยละเอียด และหากเราพอใจกับพัฒนาการที่สัตว์อสูรของเธอได้รับ คุณจะได้รับ ตราสีทองแดง และใบรับรองระดับต่ำ แต่...”
น้ำเสียงของกรรมการเข้มขึ้น “ผู้ที่ทำผลงานดีที่สุดจะได้รับชัยชนะในการแข่งขันครั้งนี้และได้รับตราสีเงินพร้อมกับใบรับรองระดับกลาง ซึ่งถือเป็นสิ่งที่ทรงเกียรติในเหล่านักวิวัฒนาการรุ่นเยาว์แบบพวกเธอ”
คำพูดของเขาทำให้ผู้เข้าแข่งขันต่างเต็มไปด้วยความหวังทันที
ในโลกนี้มีการแบ่งระดับเกณฑ์ตามความสามารถของแต่ละบุคคลในหลากหลายอาชีพ ไม่ว่าจะเป็นนักวิจัย์สัตว์อสูร นักวิวัฒนการสัตว์อสูรหรือแม้แต่ช่างตีเหล็ก
ซึ่งต่างใช้เกณฑ์เดียวกัน โดยมีทั้งหมด 6 ระดับ ได้แก่ ต่ำ กลาง สูง เชี่ยวชาญ ปราชญ์ และ เทพ
และมีตราสัญลักษณ์ที่แสดงถึงระดับของพวกเขาไล่เรียงกันตามระดับได้แก่ ทองแดง เงิน ทอง เพรช มรกต และ รุ้ง
ในแง่ของนักวิจัยสัตว์อสูร ริวเป็นนักวิจัยสัตว์อสูรระดับสูงและมีตราสีทองซึ่งถือว่าสูงมากถ้าเทียบอายุที่ยังน้อยของเขา
กรรมการกล่าวต่อและชี้ไปยังโต๊ะด้านข้างที่มีรายการวัตถุดิบหลากหลาย
“หากพวกเธอต้องการวัตถุดิบไหน โปรดแจ้งกับเจ้าหน้าที่ เราจะจัดหามาให้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายอะไร”
แต่เขาก็เสริมด้วยน้ำเสียงเตือน
“อย่างไรก็ตาม หากพวกเธอใช้วัตถุดิบเกินกว่าที่กำหนด พวกเธอจะถูกปรับให้แพ้ทันทีและถ้าพวกเธอไม่ผ่านการทดสอบ... พวกเธอจะต้องจ่ายค่าวัตถุดิบที่พวกเธอใช้ทั้งหมดด้วยตัวเอง”
“เพราะฉะนั้นก่อนจะทำอะไรโปรดคิดอย่างรอบคอบและระมัดระวัง”
คำพูดนี้ทำให้หลายคนเริ่มวิตกกังวล แต่กรรมการคนนั้นไม่สนใจแต่อย่างใดและเริ่มประกาศหมายเลขห้องของผู้เข้าแข่งขันทีละคน
“กอร์มุส ห้องหมายเลข 3” เสียงของกรรมการดังขึ้นพร้อมกับกอร์มุสที่เดินออกไปอย่างเย่อหยิ่ง
“เอลซ่า ห้องหมายเลข 5” เอลซ่าขยับตัวเดินตามเจ้าหน้าที่ไปอย่างเฉยเมยตามสไตล์ของเธอ
“ริว ห้องหมายเลข 7”
ริวพยักหน้าอย่างสงบ ก่อนจะมีพนักงานเดินเข้ามาเพื่อพาเขาไปยังห้องของตัวเอง ระหว่างเดิน เขารู้สึกถึงสายตาที่จ้องมองมา
กอร์มุสจ้องมองริวที่เดินจากไป ก่อนจะเบนสายตาไปยังชายวัยกลางคนในชุดสูทที่ยืนอยู่ไม่ไกล ชายคนนั้นคือ ลุงของกอร์มุสและเป็นผู้จัดการของสมาคมสาขานี้
ลุงของเขาพยักหน้าเล็กน้อยและส่งยิ้มที่เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยม กอร์มุสรู้ทันทีว่าลุงของเขาเตรียมการบางอย่างไว้ให้แล้ว
“หึ แกไม่มีทางผ่านแน่นอน” กอร์มุสพึมพำในใจ เขารู้ดีว่าในการแข่งขันครั้งนี้ ลุงของเขาจะช่วยให้เขาได้เปรียบเหนือทุกคน
ริวถูกพนักงานพามายังห้องหมายเลข 7 ประตูบานใหญ่ที่ทำจากกระจกใสเผยให้เห็นห้องที่มีอุปกรณ์ครบครันและสัตว์อสูรตัวหนึ่งถูกขังอยู่ในกรงใสตรงกลาง
นั้นคือแมวแสงพยับฟ้า
สัตว์อสูรธาตุไฟฟ้าและแสงที่มีรูปร่างสง่างามเหมือนเสือดาวผสมกับเสือโคร่ง ขนของมันเปล่งแสงสีทองระยิบระยับเหมือนแสงอาทิตย์สะท้อนน้ำ
แต่ดูหมองคล้ำในบางส่วน ประกายสายฟ้าสีเหลืองขาวส่องแสงจางๆ อยู่รอบตัว เส้นขนตรงแผงหลังยาวและเรียงเป็นแนวเหมือนแผงคอของสิงโต ดวงตาของมันเป็นสีเหลืองเรืองรอง
แต่สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของริวที่สุดคือ เสียงขู่คำรามต่ำๆ ที่ดังก้องในลำคอของมัน แมวแสงพยับฟ้าจ้องเขาด้วยความดุร้าย ประกายสายฟ้ารอบตัวมันดูไม่มั่นคงและเปราะบางเหมือนพลังของมันใกล้จะหมด
ริวขมวดคิ้วทันที เขามองสภาพของสัตว์อสูรตรงหน้าและสังเกตได้ว่า ขนของมันหลุดร่วงและบางเป็นหย่อมๆ ร่างกายของมันดูผ่ายผอมและสั่นไหวเล็กน้อยเหมือนอยู่ในสภาวะอ่อนแรงอย่างรุนแรง
ริวเรียกพนักงานที่ประจำห้องมาสอบถามถึงความผิดปกติของแมวแสงพยับฟ้าตัวนี้ทันที
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับแมวแสงพยับฟ้าตัวนี้?” ริวถามด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
พนักงานตอบด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความลำบากใจ
“แมวแสงพยับฟ้าตัวนี้ ตอนแรกมันเชื่องและมิตรกับผู้คนมาก แต่หลังจากที่ผ่านการทดลองจากผู้เข้าแข่งขันหลายคน ร่างกายของมันเริ่มอ่อนแอ และมันก็กลายเป็นดุร้ายอย่างที่เห็น ผู้เข้าแข่งขันทุกคนต่างล้มเหลวในการพัฒนามัน”
" แม้แต่สมาคมเองก็ไม่ได้ตั้งใจให้มันถูกนำมาทดลองอีก ผมก็ไม่รู้เหมือนกันทำไมมันถูกส่งมาที่นี่อีกครั้ง”
ริวฟังพลางขมวดคิ้วแน่น ความสงสัยในใจเขาเริ่มก่อตัว เขารู้สึกว่าเรื่องนี้มีเงื่อนงำบางอย่าง
ริวถามต่อ “ผู้เข้าแข่งขันก่อนหน้านี้ใช้วิธีการหรือวัตถุดิบอะไรบ้าง?”
"ผู้เข้าแข่งคนแรกใช้ ผลฟ้าแลบ หญ้าสายฟ้าขาว ส่วนผู้เข้าแข่งขันคนที่สองใช้ เกล็ดสายฟ้าจาง สมุนไพรอรุณ….
พนักงานบอกข้อมูลทั้งหมดอย่างละเอียดของผู้เข้าแข่งขันทั้งหมดก่อนหน้านี้ ทำให้ริวมีแสงหน้าแย่ลงเรื่อยๆและก่นด่าพวกนั้นในใจ
“เจ้าพวกนั้นไม่รู้เหรอไงว่าแมวแสงพยับฟ้านอกจากจะเป็นธาตุไฟฟ้าแล้วยังเป็นธาตุแสงด้วย”
“ถึงวัตถุดิบบางอันจะส่งผลดีต่อสัตว์อสูรต่อสายฟ้าจริงๆ แต่ก็มีผลเสียต่อสัตว์อสูรธาตุแสง และหากใช้ปริมาตรมากเกินไปจะขาดสมดุลพลังงานทำให้พลังธาตุในร่างกายหันมาต้านทานกัน”
“ไม่แปลกเลยที่แมวแสงพยับฟ้าจะดูอ่อนแอเช่นนี้”
ในขณะที่ริวบ่นไปเขาก็สังเกตปัญหาของการใช้วัตถุดิบแต่ละชนิดของผู้เข้าแข่งขันก่อนหน้าจากพนักงานและรวบรวมมันไว้ในใจเพื่อแก้ปัญหาทีละขั้นตอน
“ผลฟ้าแลบสามารถช่วยกระตุ้นพลังสายฟ้าในสัตว์อสูร แต่เมื่อใช้มากเกินไป อาจทำให้พลังงานสายฟ้าของสัตว์อสูรไม่สมดุล”
“หญ้าสายฟ้าขาวช่วยเพิ่มความเร็วการฟื้นฟูพลังธาตุสายฟ้า แต่มีผลข้างเคียงทำให้พลังธาตุแสงลดลง”
" เกล็ดสายฟ้าจางช่วยเพิ่มพลังสายฟ้าในช่วงเวลาสั้นๆ แต่หากมีพลังธาตุอื่นในร่างกายเจือปนจะส่งผลเสียต่อร่างกายอย่างมาก "
“สมุนไพรอรุณ………..”
ริวพึมพำเบาๆและใช้เวลารวบรวมปัญหาทั้งหมด หลังจากนั้นเขาก็คิดถึงวิธีที่จะช่วยเหลือแมวแสงพยบฟ้าเบื้องต้น
“ธาตุสายฟ้าถูกกระตุ้นเกินไปจนไม่สมดุลกับธาตุแสง ต้องฟื้นฟูสมดุลพลังงานก่อน จากนั้นจึงเสริมความแข็งแกร่งของมันในทั้งสองธาตุ”
จากนั้นริวก็แจ้งวัตถุดิบที่เขาต้องการกับพนักงานทันที
“ผมต้องการผลแสงอรุณ กลีบดอกบัวธารา น้ำยาปรับสมดุลของธาตุสายฟ้ากับแสงในอัตราส่วน2ต่อ8 ใบพฤกษา…..”
“ตกลง! ผมจะรีบเตรียมวัตถุดิบเหล่านั้นมาให้คุณ” พนักงานพยักหน้าและเดินออกจากห้องไปทันที
ในระหว่างนั้นเองริวพยายามที่จะให้แมวแสงพยับฟ้าเชื่อใจเขาก่อนที่จะเริ่มการรักษา เพราะตอนนี้มันอยู่ในสภาวะหวาดระแวงและดุร้าย ไม่งั้นเขาก็ไม่สามารถรักษามันได้
แต่แมวแสงพยบฟ้าไม่ยอมให้เขาเข้าใกล้เลยดูเหมือนมันจะระมัดระแวงมนุษย์มาก ซึ่งดูจากประสบการณ์ที่ผ่านมา ริวไม่แปลกใจเลยที่มันจะเป็นเช่นนี้
สิ่งที่ริวต้องทำก็คือพยายามใช้เวลาอย่างช้าๆเพื่อให้แมวแสงพยบฟ้าสงบลงและรู้ว่าเขาไม่ได้มาร้ายและต้องการรักษาเขาจริงๆ
ในขณะนั้นเองพนักงานก็นำวัตถุดิบที่เขาแจ้งมาพอดี ริวตรวจสอบวัตถุดิบนั้นเล็กน้อย หลังจากที่ตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว พนักงานก็เดินออกจากห้องไป
จากนั้นริวก็พยายามเชื่อมความสัมพันธ์กับแมวแสงพยบฟ้าอีกครั้ง
เขาค่อยๆ นั่งลงกับพื้น ห่างจากมันพอสมควรเพื่อไม่ให้มันรู้สึกถูกคุกคาม เขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ฉันไม่ได้มาที่นี่เพื่อทำร้ายนาย ฉันแค่อยากช่วยนายเท่านั้น”
แมวแสงพยับฟ้ายังคงส่งเสียงขู่เบาๆ สายตาของมันจับจ้องริวไม่วางตา
ริวหยิบผลแสงอรุณขึ้นมาและวางไว้ตรงหน้า เขายังไม่ขยับเข้าไปใกล้แต่พูดต่อ “นี่คือสิ่งที่นายต้องการ มันสามารถช่วยนายได้”
เขานั่งรออยู่แบบนั้น ไม่เร่งรัด และไม่พยายามเข้าใกล้จนเกินไป จนในที่สุด แมวแสงพยับฟ้าก็ค่อยๆ เดินเข้ามาดมผลแสงอรุณ ก่อนจะกัดกินเข้าไป
หลังจากนั้นริวก็ยื่นมือออกไปช้าๆ เพื่อแสดงให้เห็นว่าเขาไม่ได้มีเจตนาร้าย แมวแสงพยับฟ้าชะงักเล็กน้อย แต่ในที่สุดมันก็ยอมให้ริวสัมผัสตัว
เมื่อเห็นแมวแสงพยบฟ้าเริ่มเชื่อใจเขาแล้ว ริวก็ยิ้มออกมาและเริ่มจัดเตรียมพร้อมผสมวัตถุดิบทั้งหมดอย่างระมัดระวัง
เขาป้อนน้ำยาปรับสมดุลพลังให้แมวแสงพยับฟ้าก่อน เพื่อปรับสมดุลพลังสายฟ้าและแสงในร่างกายของมัน จากนั้น เขาใช้กลีบดอกบัวธาราบดละเอียดและผสมกับน้ำบริสุทธิ์ทาที่ขนของมันในบริเวณที่ร่วงและเสียหาย
ในขณะที่ทำการรักษา ริวคอยลูบตัวมันเบาๆ และพูดปลอบด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “อีกไม่นานนายจะกลับมาแข็งแรงอีกครั้ง”
หลังจากการรักษาเริ่มดำเนินไปหลายชั่วโมง ริวสังเกตเห็นว่า ประกายสายฟ้ารอบตัวของแมวแสงพยับฟ้าเริ่มนิ่งขึ้น และ แสงสีทองอ่อนๆ เริ่มเปล่งออกมาจากร่างกายของมันขนของมันดูเรียบลื่นขึ้นเล็กน้อย
แมวแสงพยับฟ้ามองริวด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป มันไม่ขู่หรือแสดงท่าทีดุร้ายอีกต่อไป มันค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้และเอาหัวถูแขนของริวเบาๆ เป็นสัญญาณของการยอมรับ
“นายกำลังจะกลับมาเป็นแมวแสงพยับฟ้าที่สง่างามและแข็งแกร่งกว่าเดิม” เขาลูบหัวแมวแสงพยับฟ้าเบาๆ ก่อนจะเริ่มวางแผนสำหรับขั้นตอนต่อไปเพื่อพัฒนามันให้แข็งแกร่งที่สุด
เขาไม่ได้ต้องการแค่พัฒนามันให้แข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น แต่ยังต้องการให้มันวิวัฒนาการอีกด้วย!
เพราะภารกิจหีบสมบัติสีรุ้งของเขาก็คือ การช่วยแมวแสงพยบฟ้าตัวนี้วิวัฒนาการแบบผันแปรให้สำเร็จ!