บทที่35 ปราณธาตุ
ณ ลานฝึกที่เงียบสงบหลังจากการสาธิตพลังปราณ นักเรียนชายคนหนึ่งยกมือขึ้นอย่างรวดเร็ว ดวงตาเต็มไปด้วยความสงสัยและครุ่นคิด
“ครูฝึกอลันครับ เราทุกคนต่างถูกสอนให้ฝึกฝนพื้นที่จิตวิญญาณตั้งแต่ยังเด็ก แต่ทำไมเรื่องการใช้ปราณถึงไม่ถูกสอนพร้อมกันด้วยครับ? ถ้าพวกเราฝึกปราณตั้งแต่เด็ก ป่านี้พวกเราคงจะใช้ปราณกันได้แล้ว”
คำพูดนี้ดังก้องไปทั่วบริเวณ นักเรียนหลายคนพยักหน้าเห็นด้วย บางคนถึงกับกระซิบกับเพื่อนว่า “ใช่ ถ้าฉันรู้เรื่องนี้เร็วกว่านี้ ฉันคงเชี่ยวชาญปราณไปแล้ว!”
อลันยืนอยู่ด้านหน้า ลมหายใจของเขาชะงักไปชั่วครู่ก่อนที่ดวงตาจะแสดงออกถึงความเข้าใจและความจริงจัง เขามองไปที่นักเรียนที่ถาม แล้วกวาดสายตามองทุกคนที่กำลังรอฟังคำตอบ
บรรยากาศเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น ใบหน้าหลายคนแฝงความเสียดายราวกับเสียโอกาสบางอย่างในชีวิตไป
อลันยกมือขึ้นเล็กน้อยเพื่อให้ทุกคนสงบเสียง ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นแต่แฝงความอ่อนโยน
“คำถามนี้เป็นคำถามที่ดีมากและมันแสดงให้เห็นถึงความเข้าใจพื้นฐานที่ยังไม่สมบูรณ์ของพวกเธอเกี่ยวกับพื้นที่จิตวิญญาณ”
เขาเดินไปตรงกลางลาน พลางเอ่ยต่อ “การฝึกพื้นที่จิตวิญญาณตั้งแต่ยังเด็ก เป็นเรื่องที่ทุกคนต้องทำ เพราะมันคือรากฐานของทุกสิ่ง พื้นที่จิตวิญญาณเปรียบเสมือนแก่นกลางพลังชีวิตของพวกเธอ”
" มันเหมือนกับห้องที่เก็บพลังงานสำรองไว้ แต่มันไม่ได้หมายความว่าพวกเธอจะสามารถดึงพลังนั้นออกมาใช้ได้ทันที”
นักเรียนบางคนขมวดคิ้ว บางคนดูเหมือนเข้าใจแต่ก็ยังไม่เข้าใจ อลันหยุดพูดสักครู่เพื่อให้ทุกคนตามทัน ก่อนที่จะเอ่ยประโยคที่ทำให้ทุกคนต้องตั้งใจฟัง
“การที่จะดึงพลังปราณจากพื้นที่จิตวิญญาณมาใช้ได้…จำเป็นต้องทำพันธะสัญญากับสัตว์อสูรก่อน”
คำพูดนี้ทำให้นักเรียนหลายคนตกตะลึง บางคนมีสีหน้างุนงง บางคนเริ่มกระซิบถามกันเองว่า “ทำไมล่ะ?”
อลันอธิบายต่อด้วยน้ำเสียงที่ชัดเจน
“การดึงปราณมาใช้ ต้องอาศัยความเชื่อมโยงระหว่างจิตวิญญาณของผู้ใช้และสัตว์อสูรที่พวกเธอทำพันธะสัญญา”
" พันธะสัญญานั้นเป็นสะพานเชื่อมระหว่างพลังงานของสัตว์อสูรและพื้นที่จิตวิญญาณของพวกเธอเอง”
เสียงกระซิบดังขึ้นรอบลาน นักเรียนหลายคนเริ่มแสดงสีหน้าประหลาดใจและพยักหน้าเล็กน้อยเหมือนเข้าใจ
อลันยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะอธิบายต่อ
“เมื่อพวกเธอทำพันธะสัญญา สัตว์อสูรจะเชื่อมโยงกับพื้นที่จิตวิญญาณของพวกเธอโดยตรง มันไม่ได้เป็นแค่คู่หูในสนามรบเท่านั้น แต่มันยังช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้พื้นที่จิตวิญญาณของพวกเธออีกด้วย”
“นอกจากนี้มันยังทำหน้าที่เหมือนตัวกลางที่ช่วยแบ่งเบาภาระการควบคุมพลังงานและทำให้สามารถดึงปราณออกมาใช้ได้โดยไม่ทำลายตัวเอง”
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น อลันหยิบก้อนหินสองก้อนที่อยู่ใกล้ๆ ขึ้นมา และยกให้ทุกคนดู
“ลองจินตนาการว่าก้อนหินก้อนนี้คือพลังงานในพื้นที่จิตวิญญาณของพวกเธอ” เขาโยนก้อนหินก้อนหนึ่งขึ้นลงเบาๆ “
ถ้าพวกเธอพยายามดึงพลังออกมาโดยไม่มีตัวช่วย มันก็เหมือนการโยนก้อนหินขึ้นไปแล้วปล่อยให้มันหล่นกลับมาทับพวกเธอเอง”
จากนั้นอลันหยิบก้อนหินอีกก้อน และใช้มืออีกข้างรองรับมันไว้ “แต่ถ้ามีสัตว์อสูรที่ทำพันธะสัญญา มันก็เหมือนการมีกระบะรองรับพลังงาน พลังปราณจะถูกควบคุมและนำมาใช้ได้อย่างปลอดภัย”
นักเรียนเริ่มมีสีหน้าเข้าใจมากขึ้น หลายคนพยักหน้าเห็นด้วย
นักเรียนชายคนหนึ่งยกมือขึ้นถามด้วยความสงสัย “ถ้าเราไม่ได้ทำพันธะสัญญากับสัตว์อสูรล่ะครับ? เราจะยังสามารถใช้ปราณได้ไหม?”
อลันส่ายหน้าเล็กน้อย “ได้...แต่ผลลัพธ์นั้นอันตรายอย่างมาก การดึงปราณโดยไม่มีพันธะสัญญาสัตว์อสูรเปรียบเสมือนการจุดไฟในห้องที่เต็มไปด้วยน้ำมันเชื้อเพลิง”
" พื้นจิตวิญญาณของพวกเธออาจแตกสลาย และพวกเธอก็จะจากโลกนี้ไปตลอดกาล”
คำพูดนั้นทำให้นักเรียนทุกคนเงียบลง บางคนเบิกตากว้างด้วยความตกใจ บางคนก้มหน้าเหมือนกำลังครุ่นคิดถึงความสำคัญของพันธะสัญญาสัตว์อสูร
อลันกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลขึ้น
“นี่คือเหตุผลที่การใช้ปราณไม่ได้ถูกสอนตั้งแต่เด็ก เพราะการใช้มันโดยปราศจากความพร้อมและการเชื่อมโยงกับสัตว์อสูร อาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่เลวร้าย”
" การฝึกฝนพื้นที่จิตวิญญาณจึงเป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญที่สุด เพื่อเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับวันที่พวกเธอทำพันธะสัญญาสัตว์อสูรและก้าวเข้าสู่การใช้ปราณอย่างปลอดภัย”
อลันจบคำอธิบายด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“จำไว้นะ! การทำพันธะสัญญาสัตว์อสูรไม่ได้เป็นเพียงแค่การเลือกคู่หูในการต่อสู้ แต่มันคือก้าวแรกที่จะทำให้พวกเธอกลายเป็นผู้แข็งแกร่งอย่างแท้จริง”
เสียง “ครับ/ค่ะ!” ดังขึ้นจากนักเรียนทั่วลาน บรรยากาศเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น
นักเรียนทุกคนเริ่มมองสัตว์อสูรของตัวเองด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป พวกเขาเข้าใจแล้วว่าความสัมพันธ์นี้มีความสำคัญอย่างไรต่อพลังในตัวพวกเขา
หลังจากอธิบายถึงความสำคัญของพันธะสัญญาสัตว์อสูรและบทบาทของพื้นที่จิตวิญญาณ อลันก็ยืนขึ้นสูง ดวงตาคมกริบมองกวาดไปยังนักเรียนที่ตั้งใจฟังคำพูดของเขา
“ต่อไป ฉันจะสาธิตวิธีการดึงพลังปราณออกมาจากพื้นที่จิตวิญญาณให้ดู”
เสียงฮือฮาดังขึ้นในกลุ่มนักเรียน ทุกคนต่างเงียบลงอย่างรวดเร็ว สายตาจับจ้องไปยังอลันด้วยความตื่นเต้น
อลันก้าวมายืนกลางลานกว้าง แสงแดดที่ส่องลงมากระทบกับชุดฝึกของเขา ทำให้บรรยากาศดูยิ่งใหญ่ยิ่งขึ้น
“การดึงพลังปราณออกมา เริ่มต้นจากการเชื่อมโยงจิตใจกับพื้นที่จิตวิญญาณของพวกเธอ” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น พลางหลับตาลงช้าๆ
ดวงตาทุกคู่จับจ้องไปยังอลันที่ยืนในท่วงท่าอันสง่างาม แม้สายลมที่พัดผ่านจะเย็นยะเยือก แต่บรรยากาศกลับเร่าร้อนด้วยความกระตือรือร้นและความมุ่งมั่น
อลันสูดลมหายใจเข้าลึก ดวงตาของเขาสงบนิ่งดั่งผิวน้ำในทะเลสาบยามราตรี
“การดึงปราณออกมาจากพื้นที่จิตวิญญาณไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ได้ยากเกินไปหากเข้าใจหลักการ” เขาเอ่ย พลางยกมือขวาขึ้นกลางอากาศ นิ้วมือค่อยๆ กำเป็นหมัดอย่างช้าๆ
“ปราณไม่ได้ไหลออกมาเองตามธรรมชาติ มันต้องการนำทางโดยความคิดของพวกเธอ” เขาอธิบาย ขณะนั้นลมรอบตัวเขาดูเหมือนจะเงียบลง และนักเรียนทุกคนสามารถสัมผัสได้ถึงแรงกดดันบางอย่างที่เริ่มก่อตัวขึ้นรอบตัวเขา
“จงหลับตาและตั้งสมาธิ พวกเธอต้องเชื่อมต่อกับพื้นที่จิตวิญญาณของตัวเอง...พยายามนึกถึงพื้นที่จิตวิญญาณของพวกเธอ”
"ในพื้นที่จิตวิญญาณของฉันมันเปรียบเหมือนทะเลกว้างใหญ่และที่ใต้ผืนน้ำนั้นเต็มไปด้วยพลังงานที่สามารถดึงออกมาได้”
ขณะพูด อลันเริ่มปลดปล่อยปราณออกจากร่างกาย แสงสีฟ้าคล้ายหมอกจางๆ ไหลออกมาจากผิวหนังของเขา สว่างขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นออร่าแผ่ขยายรอบตัว
เสียงนักเรียนที่เฝ้าดูดังฮือฮาเบาๆ บางคนเอามือป้องปากด้วยความตกตะลึง
“นี่คือปราณที่ถูกดึงออกมา” อลันกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบง่ายแต่ทรงพลัง
“แน่นอนว่าปราณไม่ได้มีไว้แค่ต่อสู้เท่านั้น แต่ยังช่วยเพิ่มพลัง ความเร็ว ความแข็งแกร่ง และความทนทานของพวกเธอด้วย”
"จงจำไว้ว่า ปราณไม่ได้เป็นแค่พลัง...แต่มันเป็นส่วนหนึ่งของตัวพวกเธอ”
เมื่อพูดจบ เขาฟันดาบไปข้างหน้าด้วยความเร็วที่แทบมองไม่ทัน อากาศรอบตัวสะเทือนเล็กน้อยจนเกิดเสียงดังคล้ายฟ้าร้อง ทุกคนที่อยู่ใกล้สัมผัสได้ถึงแรงกระแทกแม้จะไม่มีสิ่งใดอยู่ตรงหน้า
นักเรียนหญิงคนหนึ่งที่ยืนอยู่แถวหน้าถามขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเล็กน้อยแต่เปี่ยมไปด้วยความอยากรู้ “ครูฝึก...ทำไมปราณของคุณถึงเป็นสีฟ้าคะ?”
อลันเหลือบตามองเธอพร้อมรอยยิ้มบางๆ ที่แฝงความใจเย็น เขาเดินเข้ามาใกล้กลุ่มนักเรียน ขณะที่พลังปราณรอบตัวเขาค่อยๆ เบาบางลงเพื่อไม่ให้พวกเขารู้สึกอึดอัดจนเกินไป
“ปราณของฉันเป็นสีฟ้า เพราะพื้นที่จิตวิญญาณของฉันโดดเด่นในพลังธาตุน้ำ” เขาเริ่มอธิบาย ดวงตาสีดำเข้มของเขาสบกับนักเรียนรอบตัวอย่างมั่นคง
“การที่ปราณมีสีเฉพาะตัวเช่นนี้ เกิดจากการที่พื้นที่จิตวิญญาณของแต่ละคนมีความโดดเด่นในธาตุใดธาตุหนึ่ง เนื่องจากฉันสามารถปลุกพรสวรรค์เกี่ยวกับธาตุน้ำได้ พลังของฉันจึงถูกสะท้อนออกมาในลักษณะนี้”
“มันถูกเรียกว่าปราณธาตุ! ซึ่งปราณชนิดนี้แข็งแกร่งกว่าปราณปกติทั่วไป”
“ในกรณีปราณของฉันมันถูกเรียกว่าปราณวารี”
นักเรียนบางคนพยักหน้าเข้าใจ ขณะที่บางคนยังคงดูงุนงง “แล้วถ้าคนที่ไม่สามารถปลุกพรสวรรค์ได้ล่ะคะ? ปราณของพวกเขาจะเป็นแบบไหน?” อีกคนถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความกังวล
อลันสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน
“ปกติแล้ว หากพื้นที่จิตวิญญาณของคนคนหนึ่งไม่ได้โดดเด่นในธาตุใด ปราณที่พวกเขาปลดปล่อยจะเป็นสีขาว นั่นเป็นเพราะมันไม่มีลักษณะเฉพาะของธาตุใดแฝงอยู่เลย”
คำพูดของเขาทำให้นักเรียนเกือบทุกคนแสดงสีหน้าผิดหวัง เนื่องจากผู้ที่ปลุกพรสวรรค์ได้มีน้อยมาก โรงเรียนของพวกเขามีแค่ 5 คนเท่านั้น
บางคนถึงกับก้มหน้าลงราวกับหมดกำลังใจ แต่อลันกลับเดินเข้าไปหาพวกเขาพลางยกมือแตะไหล่ของเด็กคนหนึ่งเบาๆ
“อย่าเพิ่งท้อแท้ไป” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นแต่เปี่ยมไปด้วยความอบอุ่น
“ถึงแม้คนบางคนจะไม่สามารถปลุกพรสวรรค์ได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีพลังธาตุที่โดดเด่นในพื้นที่จิตวิญญาณเสมอไป”
สายตาของเด็กๆ ที่หดหู่เริ่มมีความหวังขึ้นเล็กน้อย
“แม้พื้นที่จิตวิญญาณของพวกเธอจะยังไม่โดดเด่นธาตุใดในตอนนี้ แต่ก็ยังมีหลายปัจจัยที่อาจเชื่อมโยงกับธาตุใดธาตุหนึ่งได้ในอนาคต”
" เพราะพื้นที่จิตวิญญาณนั้นสามารถพัฒนาและเปลี่ยนแปลงได้ตลอด!”
คำพูดของอลันทำให้นักเรียนที่เคยหมดหวังเริ่มกลับมามีประกายตาอีกครั้ง หลายคนกระตือรือร้นขึ้นในทันที นักเรียนบางคนถึงกับพยักหน้าเหมือนตั้งใจแน่วแน่ว่าจะไม่ยอมแพ้ต่อข้อจำกัดของตนเอง
อลันยิ้มให้กับบรรยากาศที่เปลี่ยนไป ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงอบอุ่น
“สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ความพยายามและความมุ่งมั่น”
“พวกเธอแต่ละคนต่างมีศักยภาพในตัวเอง อย่าปล่อยให้คำว่าพรสวรรค์มากำหนดโชคชะตาของพวกเธอ”
" จำไว้ว่า...พื้นที่จิตวิญญาณของพวกเธอคือกระจกสะท้อนตัวตน มันจะส่องแสงเมื่อพวกเธอเชื่อมั่นในตัวเอง”
คำพูดของอลันดังก้องในจิตใจของนักเรียนทุกคน บรรยากาศรอบตัวเต็มไปด้วยพลังและความมุ่งมั่นอีกครั้ง เสียงหัวใจของพวกเขาเต้นแรงไปพร้อมกับแรงบันดาลใจที่กำลังถูกปลุกขึ้นใหม่...