บทที่37มังกรทองแห่งโชคชะตา
ในขณะที่ริวกำลังพยายามฝึกฝนอยู่ก็เกิดเสียงฮือฮาดังขึ้นในลานฝึกดึงดูดสายตาของทุกคนไปยังมุมหนึ่งของสนาม
เด็กหนุ่มสาวมากมายต่างพากันซุบซิบขณะจับจ้องไปยังหญิงสาวผู้หนึ่งที่กำลังถูกห่อหุ้มด้วยแสงออร่าปราณสีเหลืองทองที่เปล่งประกายเจิดจ้า
ราวกับว่าเธอไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา แต่เป็นนางฟ้าจากตำนานที่ลงมาจุติ
เธอยืนอยู่ในท่วงท่าสง่างาม ผมบลอนด์อ่อนของเธอสะท้อนกับแสงปราณ ราวกับเส้นไหมทองคำที่ถักทอด้วยความประณีต มันพลิ้วไหวตามแรงลมอ่อนๆ ที่พัดผ่าน
ดวงตาสีเหลืองอำพันของเธอเปล่งประกายความสงบและความมั่นคงราวกับสามารถมองทะลุถึงจิตใจของผู้คนที่จ้องมอง
ผิวของเธอขาวเนียน ราวกับถูกปั้นแต่งด้วยหินอ่อนชั้นเลิศ ใบหน้าของเธอเล็กเรียว คิ้วโค้งงดงาม และจมูกที่ได้รูปอย่างสมบูรณ์แบบ ทุกองค์ประกอบลงตัวจนไม่อาจละสายตาได้
ใบหน้าของเธอเผยความอ่อนโยน แต่ก็แฝงด้วยความห่างเหิน ทำให้เธอดูเหมือนนางฟ้าที่อยู่ไกลเกินเอื้อม
เธอชื่อ เอลซ่า หญิงสาวที่ถูกยกย่องว่าเป็นสาวงามอันดับหนึ่งในโรงเรียน
เอลซ่าไม่ได้เป็นเพียงแค่สาวงามที่ไร้ที่ติในรูปลักษณ์ เธอยังมีความสามารถที่โดดเด่น เรียนเก่ง เป็นผู้นำในทุกวิชา และยังแสดงให้เห็นถึงความสามารถอันน่าทึ่งในฐานะผู้ฝึกสัตว์
นอกจากนี้เธอยังปลุกพรสวรรค์ได้อีกด้วย ทำให้ทุกคนในโรงเรียนล้วนมองเธอด้วยความชื่นชมและยกย่อง
แต่ถึงแม้เธอจะมีคุณสมบัติที่สมบูรณ์แบบเหล่านี้ เอลซ่ากลับมีท่าทีที่ดูเหินห่าง ราวกับว่าเธออยู่ในโลกของตัวเอง เธอไม่มีเพื่อนสนิท และมักรักษาระยะห่างจากคนอื่นเสมอ
อุปนิสัยนี้เองที่ยิ่งเสริมภาพลักษณ์ของเธอให้ดูเหมือนนางฟ้าที่ล่องลอยอยู่เหนือผู้คน
ทำให้นักเรียนชายในโรงเรียนต่างตั้งฉายาให้เธอว่า “นางฟ้า” ฉายานี้สะท้อนถึงความงาม ความสมบูรณ์แบบ และความไกลเกินเอื้อมของเธอ
ริวที่ยังนั่งอยู่ไม่ไกลมองไปยังเอลซ่าที่ห่อหุ้มด้วยแสงสีเหลืองด้วยความสนใจ เขาเพิ่งเคยได้ยินเรื่องของเธออย่างจริงจังครั้งแรกจากเสียงซุบซิบของเพื่อนๆ
“นางฟ้างั้นเหรอ...” เขาพึมพำกับตัวเองเบาๆ
ก่อนจะคิดตามด้วยความสงสัยว่า ใครกันที่เป็นคนตั้งฉายานี้ให้เธอ?
ถ้าเป็นเขา เขาคงรู้สึกอายมากถ้าโดนเรียกแบบนั้น
ในขณะที่ริวกำลังครุ่นคิด เอลซ่ากำลังนั่งสมาธิอยู่กลางลานกว้าง แม้จะมีสายตามากมายจับจ้องมาที่เธอ แต่เธอกลับดูสงบนิ่งราวกับไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้างเลย
ทันใดนั้น ปราณแสงของเธอพลันเปล่งประกายแรงขึ้น มันลอยตัวรอบๆ เธอเป็นเส้นสายอันงดงาม คล้ายแสงของดวงจันทร์ที่ทอดยาวไปทั่วท้องฟ้ายามค่ำคืน ความหนาแน่นของปราณแสงนั้นมากเสียจนทำให้นักเรียนที่มองอยู่รู้สึกทึ่ง
“ฉันเคยได้ยินมาว่าพรสวรรค์ของเธอเกี่ยวกับสัตว์อสูรธาตุแสง ดูเหมือนปราณของเธอจะเป็นปราณแสง” ชินพึมพำเบาๆ ขณะมองดูปราณของเอลซ่าที่เจิดจ้ายิ่งกว่าของเขาหลายเท่า
ริวเองก็อดไม่ได้ที่จะเปรียบเทียบปราณของเอลซ่ากับปราณเพลิงของชิน เขารู้สึกได้ถึงความสง่างามและพลังที่แตกต่าง
มันไม่ได้แผ่ความร้อนแรงหรือเกรี้ยวกราดเหมือนปราณเพลิงของชิน แต่มันเต็มไปด้วยความสงบสุขและบริสุทธิ์
รอบๆ ลานฝึก นักเรียนคนอื่นๆ ยังคงกระซิบกันเกี่ยวกับเอลซ่า
“ปราณของเธอนี่สุดยอดจริงๆ”
“ไม่แปลกใจเลยที่เธอจะถูกเรียกว่านางฟ้า แค่ยืนมองก็รู้สึกเหมือนด้อยกว่าแล้ว”
เอลซ่ายังคงยืนอยู่ในท่วงท่าสงบนิ่ง แม้เสียงชื่นชมจะดังขึ้นรอบตัว แต่เธอกลับไม่ได้แสดงสีหน้าพึงพอใจหรือขวยเขิน
ดวงตาของเธอมองตรงไปข้างหน้าเหมือนกำลังจดจ่อกับอะไรบางอย่าง เธอเป็นเหมือนแสงสว่างที่ดึงดูดผู้คน แต่กลับไม่มีใครสามารถเข้าถึงได้จริงๆ
ริวหลับตาลงอีกครั้ง ท่ามกลางเสียงฝึกซ้อมและฮือฮารอบๆ ลานฝึก เขาไม่ได้สนใจเอลซ่าหรือใครอีกต่อไป ดวงตาในจิตใจของเขาพุ่งตรงเข้าสู่ความพยายามครั้งใหม่
เหลือเพียงสมาธิที่ค่อยๆ หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับจิตวิญญาณ เขาทำตามคำแนะนำของอลัน ริวตั้งใจจะสื่อสารกับพลังในตัวเอง ไม่ใช่เพียงแค่ดึงพลังนั้นออกมา
คราวนี้ ทุกอย่างราบรื่นกว่าครั้งก่อน พลังปราณในพื้นที่จิตวิญญาณของเขาเริ่มตอบสนอง สัมผัสนั้นอบอุ่นแต่ลึกลับ ราวกับมีชีวิต
ทว่าเมื่อริวพยายามควบคุมมัน พลังนั้นกลับถอยห่างจากเขาไปอีกครั้ง
อลันที่จับตาดูกระบวนการทั้งหมดอยู่ห่างๆ คิ้วขมวดเล็กน้อย เขาสังเกตเห็นว่าริวนั้นทำทุกขั้นตอนถูกต้อง แต่พลังของเขากลับไม่ตอบสนองเหมือนของคนอื่นๆ
ทันใดนั้นอลันก็ฉุกคิดอะไรบางอย่าง
"เจ้าหนู" อลันพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง "ฉันคิดว่าปราณของนายอาจจะไม่ใช่ปราณธรรมดา แต่มันอาจเป็นปราณพิเศษ"
ริวลืมตาขึ้นและมองอลันด้วยความสงสัย "ปราณพิเศษ?"
"ใช่" อลันพยักหน้า “ปราณพิเศษคือปราณที่อยู่นอกเหนือจากปราณธาตุ มันเป็นปราณที่มาพร้อมกับคุณลักษณะเฉพาะตัวของผู้ใช้เอง”
"ฉันไม่รู้รายละเอียดเกี่ยวกับปราณพิเศษมากนัก เพราะคนมีปราณชนิดนี้มีอยู่ค่อนข้างน้อย และแต่ละปราณต่างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวเป็นของตัวเอง" อลันพูดต่อ
"แต่จากที่ฉันเคยได้ยินมา ดูเหมือนว่าผู้ใช้ต้องเข้าใจถึงพลังของตัวเองก่อนว่ามันคืออะไรกันแน่และได้รับการยอมรับจากมัน นายถึงจะดึงมันออกมาใช้งานได้อย่างสมบูรณ์"
คำพูดนั้นเหมือนจุดประกายให้ริว เขาตัดสินใจจะพยายามอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น แต่พยายามตั้งใจฟังเสียงพลังของเขาเองแทน
ทันใดนั้นเองเขาก็รู้สึกเหมือนมีเสียงบางอย่างกำลังเรียกเขา
ริวค่อยๆ สูดลมหายใจเข้าออกช้าๆ ปล่อยให้จิตใจสงบลงอย่างที่สุด ทุกสิ่งรอบตัวเขาเลือนหายไป เหลือเพียงความมืดและความเงียบ ราวกับเขากำลังล่องลอยอยู่ในห้วงสุญญากาศ
ไม่นาน เขารู้สึกถึงพลังที่อบอุ่นในส่วนลึกของจิตใจ มันเหมือนสายลมที่แผ่วเบา แต่เต็มไปด้วยความสง่างาม ริวจดจ่อกับพลังนั้นและปล่อยจิตใจให้ไหลไปตาม
และในที่สุด เขาก็ถูกพาเข้าสู่ทะเลสาบสีทอง
เบื้องหน้าของริวคือทะเลสาบกว้างใหญ่ที่เปล่งประกายด้วยสีทองอร่าม น้ำในทะเลสาบนิ่งสงบราวกับกระจกสะท้อนแสงจากดวงอาทิตย์ แต่ในขณะเดียวกันก็ให้ความรู้สึกลึกลับและศักดิ์สิทธิ์
ทุกย่างก้าวที่เขาเดินเข้าไปใกล้ รู้สึกเหมือนกำลังถูกแสงนั้นโอบกอดด้วยความรู้สึกอ่อนโยนและทรงพลังในเวลาเดียวกัน
ท้องฟ้าเบื้องบนดูว่างเปล่า ทว่าทันใดนั้นเอง เสียงคำรามอันกึกก้องดังขึ้น ริวเงยหน้าขึ้นมอง และสิ่งที่เขาเห็นทำให้เขาหยุดหายใจ
มังกรทองขนาดมหึมา กำลังลอยตัวอยู่เหนือทะเลสาบ ดวงตาของมันเป็นสีทองเปล่งประกาย ราวกับสามารถมองทะลุถึงจิตวิญญาณของทุกคนได้ ร่างของมันเปล่งออร่าแห่งอำนาจและความศักดิ์สิทธิ์
ริวรู้ทันทีว่ามันคือต้นกำเนิดพลังของเขา แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นสิ่งที่ขัดขวางเขามาโดยตลอด
มังกรทองมันจ้องมองริวอย่างนิ่งสงบ แต่ในขณะเดียวกันก็ให้ความรู้สึกกดดันอย่างมหาศาล
"เจ้าต้องการจะใช้พลังของข้า...งั้นเหรอ" เสียงของมันดังขึ้นในใจของริว ราวกับสายลมที่สะท้อนผ่านภูเขา
"ใช่! ฉันต้องการพลังของนาย" ริวกล่าวด้วยความแน่วแน่
มังกรทองเงียบลองและลอยตัวลงมาช้าๆ ออร่าศักดิ์สิทธิ์ที่แผ่ออกมาจากร่างของมันทำให้ริวรู้สึกเหมือนถูกตรึงอยู่กับที่
ดวงตาสีทองของมันมองลึกเข้าไปในดวงตาของริว ราวกับสามารถมองทะลุผ่านความคิดและความรู้สึกทั้งหมด
“เจ้าแน่ใจแล้วหรือ?” เสียงของมันดังก้องในหัวของริว ราวกับเสียงสายลมที่แผ่วเบาแต่กึกก้องอยู่ในท้องฟ้า
“ข้าคือมังกรทองแห่งโชคชะตา พลังของข้ามิใช่เพียงพลังที่เจ้าใช้เพื่อเอาชนะศัตรู แต่คือพลังที่ผูกโยงกับโชคชะตาและอนาคตของเจ้า”
ริวเงยหน้าขึ้นมองมังกรด้วยสายตาที่แน่วแน่ เขารู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาลที่กำลังโอบล้อมตัวเขาไว้ แต่ในขณะเดียวกัน ความมุ่งมั่นของเขาก็ยิ่งเด่นชัด
“หากเจ้าตัดสินใจรับพลังนี้” มังกรทองกล่าวต่อ
“โชคชะตาของเจ้าจะเปลี่ยนไปตลอดกาล ชีวิตของเจ้าจะเต็มไปด้วยอุปสรรคที่เกินกว่าที่เจ้าจะคาดคิดได้”
" จะมีศัตรูมากมายจากต่างแดนต้องการสังหารเจ้าและแย่งชิงพลังของเจ้าไป เจ้าจะต้องเผชิญหน้ากับภาระหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่จนยากจะหลีกเลี่ยง”
" พลังที่เจ้าต้องแบกรับจะไม่ได้เกี่ยวกับเจ้าคนเดียว แต่มันจะเกี่ยวพันกับผู้คนและโลกใบนี้”
“เมื่อฟังแบบนี้แล้ว เจ้าอยากจะรับพลังของข้าอยู่ไหม!?”
ริวนิ่งฟังคำพูดของมังกร ทุกคำที่กล่าวออกมานั้นหนักแน่นและกดดัน ราวกับกำลังทดสอบจิตใจของเขา เขาหลับตาลงชั่วครู่ สูดลมหายใจเข้าลึก แล้วลืมตาขึ้นอีกครั้งพร้อมกับประกายตาที่แน่วแน่
“ฉันรู้ดีว่าทางข้างหน้าจะไม่ง่าย” ริวกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“อุปสรรค ความเจ็บปวด หรือแม้แต่ความสูญเสียที่ฉันอาจต้องเจอ มันอาจไม่ใช่สิ่งที่ฉันจะมองข้ามได้ แต่ฉันไม่มีวันกลัว หรือยอมแพ้”
เขากำหมัดแน่น สายตาสบกับดวงตาสีทองของมังกรโดยไม่หวั่นไหว
“ถ้าพลังนี้สามารถช่วยให้ฉันปกป้องสิ่งสำคัญและทำให้ฉันก้าวไปข้างหน้าได้ ฉันก็พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับทุกอย่าง”
" ไม่ว่าจะยากเย็นแค่ไหน ฉันจะก้าวข้ามมันไปให้ได้!”
มังกรทองมองริวอยู่ครู่หนึ่ง ราวกับกำลังประเมินคำพูดของเขา ดวงตาสีทองที่เคยคมกริบราวกับสายฟ้ากลับอ่อนโยนลงเล็กน้อย
“เจ้ามีหัวใจที่แน่วแน่และจิตวิญญาณที่บริสุทธิ์ พลังนี้จึงสมควรเป็นของเจ้า แต่จำไว้ โชคชะตานี้คือเส้นทางที่เจ้าต้องแบกรับด้วยตัวเอง” มังกรเอ่ยด้วยเสียงที่ก้องกังวานแต่แฝงความอ่อนโยน
ทันใดนั้น มังกรทองลอยตัวขึ้นไปอีกครั้ง มันกางปีกอันยิ่งใหญ่ เปล่งประกายแสงสีทองที่เจิดจ้าไปทั่วบริเวณ ริวรู้สึกถึงพลังมหาศาลที่หลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายของเขา
“จากนี้ไป ข้าขอมอบพลังแห่งโชคชะตาของข้าให้แก่เจ้า”
" จงใช้มันเพื่อสร้างเส้นทางของเจ้าเอง”
ร่างของมังกรทองค่อยๆ สลายกลายเป็นแสงสีทองพุ่งเข้าสู่ร่างกายของริว ริวรู้สึกถึงพลังอันยิ่งใหญ่ที่หลั่งไหลเข้าสู่จิตวิญญาณของเขา มันราวกับเปลวไฟอันอบอุ่นที่เติมเต็มชีวิต
ริวลืมตาขึ้นในโลกความจริง รอบตัวเขาเปล่งประกายด้วยออร่าปราณสีทองที่ทรงพลังและศักดิ์สิทธิ์
ออร่านั้นไม่ใช่เพียงแสงธรรมดา แต่แฝงไปด้วยความรู้สึกสง่างามและอำนาจลี้ลับ ราวกับมังกรทองที่เขาได้เผชิญหน้ากำลังลอยอยู่รอบตัวเขา
อลันยืนมองอยู่ห่างๆ เขายิ้มเล็กๆ และพยักหน้าเบาๆ "ในที่สุด...เขาก็ทำสำเร็จ"
นักเรียนรอบๆ ลานฝึกต่างหยุดการฝึกและหันมามองเขาด้วยสายตาตกตะลึง หลายคนถึงกับถอยหลังอย่างลืมตัว เพราะออร่าที่แผ่ออกมาจากร่างของริวนั้นน่าประทับใจและกดดันในเวลาเดียวกัน
“นั่นมันปราณสีทอง...” เสียงกระซิบดังขึ้นจากนักเรียนคนหนึ่ง “ปราณอะไรน่ะ... มันเหมือนไม่ใช่ปราณธรรมดา”
โอดะที่อยู่ใกล้ที่สุดยืนขึ้น มองริวด้วยดวงตาเบิกกว้าง “ริว... นายทำได้แล้ว!”
“ใช่!”ริวตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
“ดูเหมือนนายจะใช้ปราณพิเศษได้แล้ว นายจะเรียกมันว่าอะไร!?”
“ปราณพิเศษต่างมีเอกลักษณ์และชื่อเป็นของตัวเอง” อลันเดินก้าวเข้ามาถามด้วยรอยยิ้ม
ริวมีท่าทีครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะเงยหน้าพูดออกมาด้วยความมั่นใจ
“ฉันจะเรียกมันว่า ปราณมังกรศักดิ์สิทธิ์ ”