บทที่ 28 เรื่องการอ่าน
ชุนหง ภรรยาของหลิวไหล่ฝู หน้าบึ้งทันทีเมื่อได้ยินคำพูดนั้น
"พี่สะใภ้! ไหล่ฝูไปในเมืองเพื่อขอให้อู๋เออร์ช่วยสั่งสอนตระกูลหลี่ เขาไม่ได้เที่ยวเล่นเสียหน่อย! นอกจากนี้ ข้าว่าพี่ชายใหญ่ของเจ้าคงหายปวดหลังมานานแล้วล่ะ แค่ขี้เกียจไม่อยากทำงานเท่านั้นเอง เจ้าจะหาเหตุผลอะไรอีกเล่า?"
"เจ้าเองก็อย่าพูดจาเหลวไหลไปหน่อยเลย! ผัวเจ้าก็แค่คนขี้เกียจโลภมาก วันๆ เอาแต่หาทางขอเงินจากแม่เจ้า เจ้ายังกล้าพูดถึงไท่จู้ของข้าอีกเหรอ!"
ซูเหนียงเหมือนถูกเหยียบเท้าเข้าอย่างจัง คำพูดของนางจึงยิ่งทิ่มแทงมากขึ้น
ใบหน้ากลมโตของชุนหงแดงก่ำด้วยความโกรธ นางสู้คำพูดซูเหนียงไม่ได้จึงใช้วิธีพุ่งเข้าชนด้วยน้ำหนักของตน ผลักซูเหนียงไปจนติดขอบเตียงและลงมือทำร้ายนาง
กัวซื่อไม่ได้ห้ามปรามการต่อสู้แต่อย่างใด นางกลับหยิบไม้ขนไก่ขึ้นมาฟาดลูกสะใภ้ทั้งสองเพื่อสั่งสอนแทน
เสียงเอะอะโวยวายของครอบครัวหลิวดังไปไกลจนชาวบ้านที่เดินผ่านพากันมองด้วยสายตารังเกียจ และรีบเดินเลี่ยงไป
"โวยวายอะไรกันนักหนา! ข้าไม่ได้นอนหลับอีกแล้ว!"
หลิวไท่จู้ที่นอนอยู่ตรงขอบเตียง ลุกขึ้นมาโวยวายด้วยความหงุดหงิด
"ถ้าเจ้ากล้าพอก็ไปสู้กับตระกูลหลี่เสียสิ! ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเขายืนดูเอาสนุก ไม่ช่วยอะไรเลย เราจะไปเก็บข้าวกลับคืนมาได้อย่างไร!"
คำพูดนี้ทำให้กัวซื่อโมโหจนตะโกนด่าทางบ้านหลี่
"คนพวกนั้นไม่มีน้ำใจช่วยญาติพี่น้อง จะต้องไม่มีลูกหลานสืบทอดในภายภาคหน้าแน่!"
เมื่อเพื่อนบ้านได้ยินคำพูดนี้ ก็ยิ่งรังเกียจครอบครัวหลิวมากขึ้นไปอีก ใครกันแน่ที่ไม่มีจิตสำนึก? ครอบครัวหลิวดูเหมือนจะไม่เข้าใจอะไรเลย...
ย่าหลี่ไม่รู้เรื่องวุ่นวายของครอบครัวหลิวเลย นางกำลังเฝ้าหลานสาว และทำงานเย็บปักอยู่ในเวลานั้น
"ฝนฤดูใบไม้ร่วงมาตามลมหนาว อากาศจะยิ่งเย็นขึ้นอีกในภายหลัง"
เสื้อผ้าของเจียอินบางเกินไป ย่าหลี่จึงหยิบผ้าและฝ้ายที่ซื้อมาหลายวันก่อนเพื่อตัดเย็บเสื้อผ้าใหม่ให้หลานสาว
เจียอินนอนอยู่บนเตียงอุ่นๆ พลางบิดตัวไปมาเหมือนขนมแพนเค้กที่ยังไม่สุกดี
"แอ้ แอ้ แอ้!" เจียอินโยนของเล่นในมือแล้วเหยียดแขนเรียกหาย่าของนาง
ย่าหลี่รีบวางเสื้อที่เย็บไว้ครึ่งหนึ่งลงและอุ้มหลานสาวขึ้นมาปลอบโยน
เมื่อเสร็จสิ้นงานเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วง ตระกูลหลี่ไม่ได้อยู่เฉย ทุกคนต่างช่วยกันแบกขวานและเชือกเข้าไปในภูเขาเพื่อตัดฟืนมาเก็บไว้สำหรับฤดูหนาว
ชาวบ้านที่เคยได้รับความช่วยเหลือจากตระกูลหลี่ เมื่อเห็นพวกเขาขึ้นเขาตัดฟืน ก็รีบหยิบขวานของตนตามไปช่วย
เมื่อมีคนมาก งานก็เสร็จเร็ว เพียงวันเดียวก็สามารถตัดฟืนมาได้กองโต
เจียเหรินและน้องชายช่วยกันวางฟืนเปียกไว้กลางลานเพื่อให้แห้ง จากนั้นเรียงซ้อนกันอย่างเป็นระเบียบบริเวณหน้าลานบ้าน
เช้านี้ หลี่เหล่าซือสะพายคันธนูและลูกธนู เตรียมตัวล่าสัตว์ในป่า หลังฝนตก สัตว์ป่าเคลื่อนไหวน้อยลงและล่าได้ง่ายกว่าเดิม
"พี่ชิวเซิง พวกเราอยู่นี่!"
ชายหนุ่มในหมู่บ้านหลายคนแต่งตัวเรียบร้อย สะพายธนูและถือขวานเดินมาที่บ้านหลี่พร้อมใบหน้าตื่นเต้น
ก่อนหน้านี้ ตอนที่ตัดฟืนด้วยกัน หลี่เหล่าซือยิงไก่ฟ้ากับกระต่ายได้อย่างง่ายดาย ความแม่นยำในการยิงธนูของเขาทำให้ทุกคนทึ่ง
หลังจากรบเร้านาน หลี่เหล่าซือจึงยอมพาพวกเขาขึ้นเขาด้วยกัน
"พวกเจ้ากินอะไรกันหรือยัง? ถ้าพร้อมแล้วก็ไปกันเลยเถอะ"
หลี่เหล่าซือตรวจดูแล่งลูกธนูและนำกลุ่มชายหนุ่มขึ้นเขา
เจียอี้ที่แข็งแรงและคล่องแคล่วเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้ไปด้วย ส่วนเจียอันและเจียซีก็รู้สึกผิดหวัง แต่เถาหงอิงเรียกให้มาช่วยงานในครัวและแจกมันเทศอบร้อนๆ ให้คนละหัวเพื่อปลอบใจ
ย่าหลี่นั่งอยู่บนเตียง อุ้มหลานสาวไว้ในอ้อมแขน พลางพูดคุยกับสตรีที่มาเยี่ยมบ้าน
หญิงผู้นี้มีสามีนามสกุลจาง ชาวบ้านจึงเรียกนางว่า "พี่สะใภ้รองจาง"
ก่อนหน้านี้ นางเป็นคนหนึ่งที่เข้ามาพูดคุยเรื่องราวในหมู่บ้านกับย่าหลี่ตั้งแต่วันที่ตระกูลหลี่จัดงานเลี้ยงขอบคุณชาวบ้าน
เนื่องจากวันนี้ไม่มีอะไรทำ นางจึงแวะมาหาย่าหลี่และมาเยี่ยมเจียอินอีกครั้ง
"พี่สะใภ้ บ้านของพี่สะใภ้ช่างเป็นระเบียบเรียบร้อยจริง ๆ ดูออกเลยว่าเป็นครอบครัวที่รู้จักช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพ!"
สะใภ้รองจางเขย่ากระดิ่งกรุ๋งกริ๋งในมือเล่นกับเจียอินพลางกล่าวชม
ย่าหลี่ยื่นเจียอินให้ แล้วก้มหน้าลงปักดอกไม้เล็ก ๆ ต่อ
"บ้านเรามีคนเยอะ หากช่วยกันทำก็เสร็จเร็ว"
สะใภ้รองจางได้ยินดังนั้นก็พยักหน้าด้วยความอิจฉา
"ลูกชายบ้านพี่สะใภ้ช่างเก่งจริง ๆ ไม่เพียงแต่ตอนเก็บภาษีเมื่อไม่กี่วันก่อน เจ้ารองบ้านท่านยังช่วยทุกคนจนประหยัดเสบียงไปได้ตั้งเยอะ เจ้ารองนี่เรียนหนังสือมาหรือเปล่า? ทำบัญชีกับคำนวณได้ดีจริง ๆ"
"ไม่ได้เรียนหรอก แค่ศึกษาที่บ้านไม่กี่วันเอง การเรียนมันแพงมาก บ้านเราก็ลำบาก จะไปสู้ไหวได้อย่างไร" ย่าหลี่ตอบอย่างไม่ใส่ใจ
สะใภ้รองจางพยักหน้าเห็นด้วย "นั่นสินะ บ้านพี่ชายของข้าก็มีหลานชายคนหนึ่งที่ไปเรียนในอำเภอเหมือนกัน ข้าได้ยินว่าใช้เงินเป็นสิบตำลึงต่อปีเลยทีเดียว
พี่ชายกับพี่สะใภ้ของข้าต้องประหยัดกินประหยัดใช้กันทุกวัน พอมีเงินหรือเสบียงนิดหน่อยก็ต้องส่งให้ลูกชาย จะว่าไปชีวิตก็ลำบากอยู่เหมือนกัน..."
ขณะที่ย่าหลี่กำลังจะตอบ นางเงยหน้าขึ้นมองเห็นหลานชายคนโตของตนกำลังแบกฟืนเดินไปมาในลานบ้าน หัวใจของนางก็พลันขยับคิดบางอย่าง
เจียเหรินตอนนี้อายุสิบสองปีแล้ว บิดาของเขาสอนให้อ่านเขียนตั้งแต่เด็ก และเขาเองก็ชอบอ่านหนังสือมาก
หากไม่มีความวุ่นวายจากทหารนอกด่าน ย่าหลี่ก็เคยคิดจะส่งเขาไปเรียนในโรงเรียน
ตอนนี้พอครอบครัวตั้งหลักปักฐานได้แล้ว นางจึงเริ่มคิดเรื่องนี้อีกครั้ง
"การเรียนเป็นเรื่องดี หากสอบได้ก็อาจได้เป็นขุนนางในอนาคต"
ย่าหลี่ได้สติกลับมา พลางยิ้มบาง ๆ กล่าวกับสะใภ้รองจาง
"จริงด้วย พี่สะใภ้พูดถูก!" บนใบหน้าของสะใภ้รองจางปรากฏรอยยิ้มภาคภูมิใจ เห็นได้ชัดว่านางภูมิใจในหลานชายของตนที่ได้เรียนหนังสือ
เจียอินที่ฟังบทสนทนาของทั้งสอง ดวงตากลมโตของนางกลอกไปมา นางคาดว่าคุณย่าคงอยากส่งพี่ชายคนโตของนางไปเรียน
นางจึงเล่นสนุกกับสะใภ้รองจางโดยเอื้อมมือไปคว้ากระดิ่ง พลางครุ่นคิดในใจว่าควรเอาอะไรออกมาจากมิติไปขายดี
ยิ่งครอบครัวมีเงินมากขึ้นเท่าไร ก็ยิ่งมีความมั่นใจในการส่งลูกหลานไปเรียนหนังสือ
"บ้านข้าก่อนหน้านี้เพิ่งเก็บถั่วเหลืองได้เยอะ กำลังคิดว่าจะทำเต้าเจี้ยวในอีกไม่กี่วัน พี่สะใภ้บ้านพี่สะใภ้ทำเต้าเจี้ยวไหม? มาร่วมทำด้วยกันไหม?"
สะใภ้รองจางเห็นย่าหลี่เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง จึงพูดเรียกให้สนใจ
ย่าหลี่รีบตอบกลับ "ได้สิ ถ้าจะทำก็บอกล่วงหน้า ข้าจะให้หงอิงแช่ถั่วเหลืองไว้"
"แบบนี้ก็ดีมากเลย! ลานบ้านพี่สะใภ้กว้างขวาง อีกทั้งยังมีหม้อเหล็กใบใหญ่ตั้งสองใบ ข้าจะเอาถั่วเหลืองมาที่นี่แล้วต้มรวมกันเลยก็แล้วกัน พอต้มเสร็จก็ใช้ลานบ้านพี่สะใภ้ตากไปด้วยกัน"
สะใภ้รองจางพูดไปก็ยิ่งเห็นว่าเป็นความคิดที่เข้าท่า นางแทบอยากจะกลับบ้านไปขนถั่วมาทำเต้าเจี้ยวที่บ้านหลี่ทันที
ย่าหลี่ไม่รังเกียจนิสัยเปิดเผยตรงไปตรงมาของสะใภ้รองจาง
ทั้งสองพูดคุยกันอยู่พักใหญ่ ก่อนที่สะใภ้รองจางจะลูบแก้มน้อย ๆ ของเจียอินแล้วกล่าวลาว่าจะกลับไปทำอาหาร
ในขณะเดียวกัน เถาหงอิงกับจ้าวอวี้หรูก็เก็บเห็ดเล็ก ๆ จากบริเวณตีนเขาได้หนึ่งตะกร้าเล็ก และนำไปตากแห้งเมื่อกลับมาถึงบ้านเพื่อเตรียมไว้ทำอาหารเย็น
เจียอินที่ยังพ่นฟองอากาศเล่นในปาก ยืนยันเสียงใสว่าจะให้อุ้ม นางจึงถูกเถาหงอิงแบกไว้บนหลังในขณะที่ทำอาหาร
ระหว่างที่เถาหงอิงหั่นผัก เจียอินแอบเพิ่มข้าวลงไปในหม้อ
คราวนี้โจ๊กหม้อสุดท้ายที่ตั้งใจให้เหลวเหมือนน้ำกลับกลายเป็นข้นจนแทบจะตักกินได้
ย่าหลี่ที่เดินเข้ามาเห็นหม้อโจ๊กก็ไม่ได้แปลกใจ นางคุ้นเคยกับเรื่องแบบนี้แล้ว
นางอุ้มหลานสาวนั่งรอที่โต๊ะอาหาร
คนในครอบครัวหลี่ทยอยกลับมาจากงานกันทีละคน และทุกคนก็มาร่วมโต๊ะเพื่อรับประทานอาหารมื้อค่ำอย่างพร้อมหน้า