บทที่ 239 เทพมาร…หนีไปแล้ว
หัวหน้าตระกูลมังกรขาวได้ยินคำพูดของหนุ่มมังกรน้ำเงิน ก็ค่อยๆคลายคิ้วที่ขมวดไว้ลง ในแง่ของการคิดถึงอนาคตของหลานสาวคนนี้ เขาก็ถือว่าพอจะเหมาะสมที่จะเป็นคู่ครอง! แต่ก็น่าเสียดาย…ความแข็งแกร่งยังไม่เพียงพอ และที่สำคัญ…คำพูดนี้มันชัดเจนว่าแอบกระแนะกระแหนว่าเขาไม่ควรยุ่งเรื่องนี้มากเกินไปใช่ไหม
นี่ยังไม่ทันได้แต่งเข้ามาเลย ก็คิดจะมาแทรกความสัมพันธ์ของเขากับหลานสาวเสียแล้ว ช่างเป็นหนุ่มเจ้าเล่ห์นัก!
ในใจของหัวหน้าตระกูล เขาได้แอบขีดเครื่องหมายกากบาทขนาดใหญ่ให้กับตระกูลมังกรน้ำเงิน!
สุดท้าย สายตาของเขาก็เลื่อนมองไปยังชายหนุ่มในชุดขาวที่ยืนอยู่มุมสุด สีหน้าของเขากระตุกเล็กน้อย ก่อนจะกัดฟันพูดอย่างข่มอารมณ์
“ไอ้เด็กบ้านี่! แกมาทำอะไรที่นี่”
ก็เจ้าเด็กนี่แหละ ที่เคยเกาะติดหลานสาวของเขาแทบทุกวัน ดูเหมือนจะซื่อๆไม่มีเล่ห์เหลี่ยมอะไร แต่ในใจคงคิดจะครอบครองหลานเขามานานแล้วใช่ไหม
ตอนนี้พอเห็นหลานเขาโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาเท่านั้นแหละ เจตนาของเจ้าหมอนี่ก็ชัดเจนขึ้นทันที!
หนุ่มมังกรขาวคนนั้นดูอึดอัดเล็กน้อย ก่อนจะเกาศีรษะพลางพูดออกมาด้วยน้ำเสียงกล้าๆกลัวๆ
“ท่านหัวหน้าตระกูล…ข้าคิดว่า…ฮวาฮวายังเด็กอยู่…หรือเรารออีกสักสองสามร้อยปีแล้วค่อยว่ากันดีไหมครับ”
คำพูดนี้ทำให้ทุกสายตาในที่นั้นพุ่งมาที่เขาในทันที มีทั้งความไม่พอใจ ความโมโห ความสงสัย และความตกใจ แต่ในบรรดานั้น มีเพียงหัวหน้าตระกูลที่นิ่งเงียบไปชั่วขณะ และสายตาที่มองเจ้าหนุ่มมังกรขาวเปลี่ยนไป…
ในบรรดาเหล่ามังกรหนุ่มที่มาในวันนี้ มีเพียงเจ้าเด็กคนนี้ที่พูดในสิ่งที่เขาคิดอยู่ในใจ!
หลานสาวของเขาเพิ่งจะอายุแค่สองร้อยปี ซึ่งเพิ่งจะเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ของมังกร การหาคู่ครองตอนนี้มันเร็วเกินไปจริง ๆ!
จากนั้น หัวหน้าตระกูลเดินเข้ามาตบไหล่หนุ่มมังกรขาวพร้อมรอยยิ้มและกล่าวว่า
“เจ้าพูดมีเหตุผล! ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าขอรับข้อเสนอของเจ้าไว้ก่อน เพราะเราก็เป็นสายเลือดเดียวกันนี่นา!”
เมื่อได้ยินคำตอบ หนุ่มมังกรขาวถึงกับยิ้มด้วยความดีใจ รีบกล่าวคำขอบคุณไม่หยุดด้วยความตื่นเต้น โดยไม่ได้ทันสังเกตสายตาอันเย็นเยียบและแฝงด้วยความอาฆาตของมังกรหนุ่มจากอีกสามตระกูลที่จับจ้องเขาอยู่…
หลังจากนั้น เพื่อแสดงถึงความจริงใจ มีมังกรหนุ่มสิบกว่าตัวเข้าร่วมทีมเก็บกวาดซากปรักหักพังในพื้นที่ที่เสียหายจากสายฟ้าสวรรค์…
จินเป่าเอ๋อยืนอยู่ไม่ไกลนัก มองภาพเหตุการณ์ทั้งหมดด้วยสายตาที่ซับซ้อน นางไม่ได้ตาบอดเสียหน่อย สีหน้าประหม่าและความรู้สึกซับซ้อนในสายตาของหนุ่มมังกรขาวที่มองมาที่นาง นางเองก็มองเห็นได้ชัดเจน แต่นางไม่ใช่ไป๋ฮวาฮวาตัวจริง และนางก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ตัวเองจะจากที่นี่ไป หรือไป๋ฮวาฮวาจะกลับมาหรือเปล่า…
แต่อย่างน้อย นี่ก็พิสูจน์ได้แล้วว่าสิ่งที่นางกำลังเผชิญอยู่นั้น เป็นความจริง! ไม่ใช่ภาพมายา
บางทีการที่นางมาอยู่ที่นี่อาจจะเป็นโชคชะตาที่กำหนดไว้ บางทีพลังในสมรภูมิเทพมารอาจจะส่งนางย้อนกลับมาหมื่นปีก่อน และบางทีนางอาจจะเคยประสบเหตุการณ์บางอย่างในที่แห่งนี้ก่อนที่จะจากไป…
ถึงแม้จะดูไม่น่าเชื่อ แต่สิ่งที่นางเห็นและสัมผัสได้ในตอนนี้ มันมีเพียงคำอธิบายนี้เท่านั้น! นั่นยังอธิบายได้ว่าทำไมที่นี่ถึงไม่ใช่ภาพมายา ทำไมทุกคนถึงมีความคิดและการกระทำเป็นของตัวเอง และทำไมนางถึงแสดงออกต่างจากไป๋ฮวาฮวาตัวจริง แต่ไม่มีใครสงสัยว่านางเป็นตัวปลอมเลย!
เมื่อคิดเรื่องนี้จนกระจ่างขึ้น นางยิ่งมั่นใจว่า การที่นางมาอยู่ที่นี่ไม่ใช่แค่เพื่อเผชิญหน้ากับเหตุการณ์พวกนี้ แต่เหมือนมีมือที่มองไม่เห็นคอยผลักดันให้นางทำอะไรบางอย่าง หรือเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างในที่แห่งนี้…
“โครม!”
ในขณะที่จินเป่าเอ๋อกำลังจมอยู่ในความคิดของตัวเอง ทันใดนั้นเสียงระเบิดดังสนั่นก็ดังขึ้นจากที่ไม่ไกล นางเงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหายวับไปจากที่เดิม ความรู้สึกไม่สบายใจบางอย่างพลุ่งพล่านในใจเธอ!
เกราะคุ้มกัน…แตกแล้ว!
เมื่อนางปรากฏตัวขึ้นใกล้ๆคุกใต้ดิน นางเห็นเพียงมังกรเทพหลงเจี้ยนที่เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว กำลังลอยตัวอยู่กลางอากาศ ส่วนเทพมารนั้นหนีหายไปอย่างไร้ร่องรอย!
นางไม่ได้แปลกใจกับเรื่องนี้นัก เพราะเทพมารที่สามารถต่อสู้กับหลงเจี้ยนได้อย่างสูสี ย่อมมีความสามารถเพียงพอที่จะทำลายเกราะคุ้มกันของนางได้
หลังจากพักฟื้นมาหลายวัน ทั้งสองฝ่ายก็น่าจะฟื้นตัวจนเต็มที่ การปะทะกันจึงไม่ใช่เรื่องแปลก…
นี่เองที่เป็นเหตุผลที่นางไม่อยากเปิดเผยตัวตนของเทพมาร เพราะแม้จะระดมกำลังทั้งเผ่ามังกรก็ยังไม่มีทางหยุดเขาได้
นางจึงเลือกขังเขาไว้ในสายตาของตัวเอง เพื่อให้ควบคุมได้ง่ายกว่า
แต่ทำไมหลงเจี้ยนถึงโกรธขนาดนี้ล่ะ ตอนครั้งที่แล้วที่ทั้งสองสู้กันหนักหน่วงก็ยังไม่เห็นเขาโมโหถึงขั้นนี้…
นางไม่รู้เลยว่า เพียงไม่กี่นาทีก่อนหน้านั้น ใบหน้าสองใบหน้าที่เหมือนกันราวกับพิมพ์เดียวกันกำลังถกเถียงถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อวาน
ในตอนที่จินเป่าเอ๋อร์เลื่อนขั้น ทุกคนอาจมองไม่เห็นความผิดปกติ แต่สำหรับยอดฝีมือที่อยู่ในจุดสูงสุดของเส้นทางพลังอย่างพวกเขา แน่นอนว่าย่อมสังเกตเห็น!
บนใบหน้าที่หยิ่งยโสของมหาเทพมาร ปรากฏแววความสนใจและความอยากรู้อยากเห็นขึ้นเล็กน้อย
“แม่หนูนั่นไม่เลวนะ มีทั้งความกล้า โชคชะตาก็โดดเด่น แถมยังได้รับการ‘เอาใจใส่’จากสายฟ้าสวรรค์ถึงขนาดนั้น ชิชะ! ข้าชักจะอิจฉานางแล้วสิ!”
คำว่า ‘อิจฉา’ ในประโยคนั้นถูกเน้นอย่างหนักหน่วง ราวกับแฝงเจตนาพิเศษบางอย่าง ชัดเจนว่าเขาให้ความสนใจในตัวของเล่นชิ้นนี้เป็นพิเศษ!
หลงเจี้ยนที่ได้ยินเช่นนั้น ลืมตาขึ้นเผยให้เห็นนัยน์ตาสีม่วงเยือกเย็น สายตาจ้องเขม็งไปที่อีกฝ่าย หลังจากนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
“นางไม่ใช่ของเล่นของเจ้า!”
ถึงแม้เขาเองก็แปลกใจกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับจินเป่าเอ๋อ แต่ในฐานะที่นางเป็นสมาชิกของเผ่ามังกร และยิ่งไปกว่านั้น การกระทำของนางในช่วงที่ผ่านมาได้เปลี่ยนมุมมองของเขาที่มีต่อนางไปไม่น้อย ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะเตือนเทพมารสักครั้ง!
แต่คำพูดนั้นทำให้แววความสนใจบนใบหน้าของเทพมารหยุดชะงักไปชั่วครู่
ดวงตาเขาหรี่ลง สายลมรอบตัวพลันเย็นยะเยือกพร้อมกับพลังสังหารที่น่าหวาดหวั่นค่อยๆแผ่ออกมา
“หึ…เจ้าคิดจะสั่งข้าอย่างนั้นรึ เจ้าเป็นใครถึงกล้ามาออกคำสั่งกับข้า”
ทันใดนั้นเอง เมื่อคำพูดของเทพมารจบลง พลังอันรุนแรงสองสายก็พุ่งเข้าปะทะกันอย่างฉับพลัน เทพมารเป็นฝ่ายเริ่มโจมตีก่อน และในชั่วพริบตา ทั้งสองก็เปิดฉากการต่อสู้อันดุเดือดจนดันทำให้คุกใต้ดินพังราบในพริบตา!
หลังการปะทะสั้นๆชายผู้มีร่างกายเปี่ยมไปด้วยพลังมืดก็พลันหายตัวไปในทันที…
ในที่เกิดเหตุ เหลือเพียงแค่เทพมังกรหลงเจี้ยนยืนอยู่คนเดียว ท่ามกลางซากปรักหักพังของคุกใต้ดินที่ถูกทำลายจนยับเยิน
สายตาเขาเต็มไปด้วยความโกรธ พลางคิดในใจด้วยความเจ็บใจ “ข้าถูกมันหลอกเต็มๆ!”
เจ้านั่นไม่ได้อยากสู้จริงๆหรอก แต่มันแค่ต้องการล่อให้เขาลงมือทำลายที่นี่ไปพร้อมกัน เพื่อจะได้หนีรอดไปได้ง่ายๆ! ด้วยพลังของทั้งสองฝ่ายที่แผ่กระจายออกมา มันชัดเจนว่าสถานที่นี้ถูกทำลายเพราะพวกเขาต่อสู้กัน!
ส่วนจินเป่าเอ๋อที่ตามมาภายหลังก็ไม่ได้รู้สึกอะไรเป็นพิเศษ ยังไงคุกใต้ดินนี้ก็เป็นเพียงสถานที่พักชั่วคราว และแม้ว่าเกราะป้องกันของนางจะถูกทำลาย นางก็ไม่รู้สึกเสียใจนัก เพราะตอนนี้พลังของนางมีเหลือเฟือ!
เสียงการปะทะและการทำลายล้างครั้งนี้ดึงดูดความสนใจของเหล่ามังกรให้มามุงดูเหตุการณ์อีกครั้ง…
“เอ่อ…นี่น่าจะเป็นฝีมือของเทพมังกรเราสินะ”
“ไม่แน่หรอก ใครจะรู้ว่าอาจจะเป็นเทพมารที่หนีออกมาก็ได้!”
“เฮ้ย! เจ้าพูดแบบนี้หมายความว่ายังไง คิดว่าเทพมังกรของเราสู้เทพมารไม่ได้เหรอ”
“ข้าไม่ได้หมายความแบบนั้น! เจ้าจะคิดไปเองทำไม ข้าแค่ระวังตัวไว้เท่านั้น!”
“ระวังตัวบ้านเจ้าเถอะ!”
ในมุมหนึ่งของฝูงชน มังกรสองตัวเริ่มทะเลาะกันอย่างดุเดือดจนถึงขั้นต่อยตีจนน่วม แต่บรรยากาศนี้กลับไม่ส่งผลใดๆต่ออารมณ์ของหลงเจี้ยนเลย
หลงเจี้ยนค่อยๆร่อนลงพื้นอย่างสง่างาม ก่อนจะหยุดอยู่ตรงหน้าจินเป่าเอ๋อ
หลังจากเวลาผ่านไปหลายวัน ทั้งสองก็ได้พบกันอีกครั้งในระยะประชิด และในครั้งนี้ แววตาเย็นชาที่เคยมีของหลงเจี้ยนกลับไม่หลงเหลือความห่างเหินหรือความปฏิเสธอีกต่อไป
ใบหน้าหล่อเหลาและดวงตาสีม่วงของเขามีแววอบอุ่นและใส่ใจมากขึ้น ราวกับคนละคน น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาก็อ่อนโยนขึ้นมากเช่นกัน
“ขอโทษด้วยที่ทำลายเกราะของเจ้า”
ในชั่วขณะนั้น จินเป่าเอ๋อรู้สึกเหมือนหลุดลอยไปชั่วครู่ ความคิดเผลอลอยไปถึงคนอีกคนที่นางไม่ได้พบเจอมานาน “นี่ไม่ใช่หลงเจี้ยน แต่เหมือน…หลงหลี่ซิง”
นางเบือนสายตาออกเล็กน้อย พยายามระงับอารมณ์ที่ปั่นป่วนในใจ ก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบและไร้ความรู้สึก
“ท่านพูดเกินไปแล้ว! มันก็แค่เกราะป้องกันธรรมดาเท่านั้น!”
แม้จะมีความคล้าย แต่นางก็มั่นใจว่านี่ไม่ใช่หลงหลี่ซิงแน่นอน นางไม่มีวันสับสนกับสิ่งนี้เด็ดขาด!
หลงเจี้ยนนิ่งไปครู่หนึ่ง เขารู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงเล็กๆในท่าทีของหญิงสาว
เมื่อครู่นางไม่ได้มองเขา แต่เหมือนมองผ่านเขาไปยังใครบางคนที่อยู่ในความทรงจำของนาง
แม้จะเป็นแค่เสี้ยววินาที แต่เขาก็สัมผัสได้ชัดเจน ก่อนที่หญิงสาวจะกลับมาสงบนิ่งและราบเรียบจนดูน่ากลัวเหมือนเดิม…