ตอนที่แล้วบทที่ 219 ความโกรธเกรี้ยว
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 221 ฟันอันน่าหวาดหวั่น 

บทที่ 220 สาวเปลือกหอยที่น่าสงสาร


บทที่ 220 สาวเปลือกหอยที่น่าสงสาร

ฝนตกพรำลงมาไม่หยุด

เฉินโส่วอี้เข็นจักรยานเดินไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ

เลือดสดไหลออกจากร่างอย่างรวดเร็ว ไหลรวมกับน้ำที่ขังอยู่บนพื้นคอนกรีตเบื้องล่าง จนกลายเป็นสีแดงจาง ๆ ตามเส้นทางที่เขาก้าวผ่าน

รองเท้าของเขาขาดวิ่นในระหว่างการต่อสู้ พื้นรองเท้าหลุดออกจนหมด เหลือเพียงเชือกรองเท้าที่ผูกติดกับผืนผ้าใบสองข้างซึ่งห้อยอยู่บนหลังเท้า

เขาไม่ได้สนใจที่จะปลดมันออก ปล่อยให้มันลากไปตามทาง

เมื่อเดินผ่านถังขยะใบหนึ่ง เฉินโส่วอี้หยุดและฉีกเสื้อเปื้อนเลือดที่ชุ่มโชกออก แล้วโยนลงไปในถัง

หยาดน้ำฝนเย็นเฉียบกระทบกับแผลฉกรรจ์ ทำให้รู้สึกเจ็บแสบ แต่ก็นำพาความร้อนในร่างกายออกไปด้วย

เขาอดไม่ได้ที่จะสะท้านด้วยความหนาว

พิษที่หลงเหลือจากสัตว์ประหลาด ทำให้การรักษาแผลล่าช้าอย่างมาก หากเป็นเมื่อก่อน แผลเขาน่าจะหายสนิทแล้ว แต่ตอนนี้กลับฟื้นตัวช้าจนน่าใจหาย เลือดพิษไหลออกไม่หยุด และน้ำฝนก็ชะล้างเลือดแดงเข้มให้เจือจางไปเรื่อย ๆ จนแผลเริ่มซีด

การเสียเลือดมากทำให้เขาอ่อนล้า ใบหน้าซีดขาวไร้สีเลือด ร่างกายหนาวสั่นเล็กน้อย

"การป้องกันร่างกายสำคัญจริง ๆ ถ้าไม่ได้ฝึกปรือร่างกายมาก่อน ครั้งนี้คงไม่รอดแน่ ๆ"

"แต่การป้องกันยังไม่พอแข็งแกร่ง หากอีกฝ่ายถืออาวุธไว้ เกรงว่าตัวเขาคงไม่สามารถทนไหวจนกระทั่งอีกฝ่ายอ่อนแรงไปเอง" แม้การต่อสู้จะจบลงแล้ว แต่เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ก็ยังรู้สึกหวาดเสียว

ก่อนหน้านี้ ศัตรูที่เขาเผชิญหน้ามักมีความว่องไวน้อยกว่าเขา เขาจึงใช้ความเร็วและการตอบสนองที่เหนือกว่าทำให้รอดมาได้ทุกครั้ง แต่ครั้งนี้สัตว์ประหลาดที่ว่องไวเหนือกว่าทำให้เขาสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดของการเป็นฝ่ายที่ช้ากว่าอย่างชัดเจน

มันแทบไม่มีทางตอบโต้ได้เลย

แน่นอนว่าเหตุผลส่วนหนึ่งคือเขามองไม่เห็นเป้าหมาย

แต่ถึงแม้จะมองเห็น ผลลัพธ์ก็คงไม่ต่างจากการต่อสู้ครั้งนี้เท่าไรนัก

เฉินโส่วอี้เข็นจักรยานเดินต่อไปอีกไม่กี่นาที กระทั่งเลือดพิษหยดสุดท้ายถูกขับออกจากร่าง เลือดที่ไหลออกมาจึงกลับมามีสีแดงสดอีกครั้ง เขารีบควบคุมกล้ามเนื้อปิดแผลทันที

บาดแผลที่เคยดูน่าสยดสยองค่อย ๆ หดเหลือเพียงรอยแผลเป็นบาง ๆ

เพียงไม่กี่วินาที ความรู้สึกคันเริ่มทวีความรุนแรงขึ้น

เขาหายใจยาวอย่างโล่งอก รู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก

"ไม่รู้ว่าตอนนี้กี่โมงแล้ว"

เขายกข้อมือขึ้นมาดูเวลา แต่พบว่านาฬิกาบนข้อมือซ้ายกระจกแตกไปหมดแล้ว ส่วนชิ้นส่วนภายในหลุดออกไปเกือบทั้งหมด

นาฬิกาเรือนนี้เป็นของคุณภาพดีที่ใช้ได้ทั้งบนโลกและโลกต่างมิติ ถูกออกแบบมาเพื่อผู้สำรวจโดยเฉพาะ เขาใช้เงินไปเป็นหมื่นเพื่อซื้อมันมา

แต่นี่มันคุณภาพแย่เกินไปหรือเปล่า ใช้มาได้ไม่นานก็พังแล้ว!

เขาบ่นในใจ ก่อนจะดึงสายนาฬิกาออกอย่างรุนแรง แล้วโยนลงถังขยะไป

คงต้องเตรียมนาฬิกาสำรองไว้หลายเรือนหน่อยในครั้งหน้า

ผ่านไปห้าหกนาที ความรู้สึกคันบริเวณแผลจางหาย บาดแผลก็สมานสนิท

เฉินโส่วอี้ปัดคราบเลือดเก่า ๆ บนหน้าอกและหลังออก ก่อนจะขึ้นจักรยานอีกครั้งและมุ่งหน้ากลับบ้านอย่างรวดเร็ว

แสงไฟในบ้านยังคงสว่าง แสดงว่าพ่อแม่ของเขายังคงรออยู่

เฉินโส่วอี้รู้สึกอบอุ่นใจ เมื่อใกล้ถึงบ้าน เขาหยุดและตรวจดูสภาพร่างกายอีกครั้ง

รอยแผลบนหน้าอกแทบไม่หลงเหลือ แม้แต่ผิวที่เพิ่งฟื้นฟูก็กลมกลืนกับผิวเก่าเสียจนดูไม่ออกว่ามีอะไรผิดปกติ

จากนั้น เขาถอดกางเกงออกและใช้ฝนล้างคราบเลือดและเศษเนื้อออกให้สะอาด ก่อนจะสวมกลับเข้าไปใหม่

เมื่อเตรียมตัวเรียบร้อยแล้ว เขาขึ้นจักรยานและปั่นไปถึงบ้าน

เมื่อเก็บจักรยานเข้าที่ในโรงรถ เขาใช้มือลูบใบหน้าแรง ๆ แล้วผลักประตูเข้าไป

"พ่อ แม่ ผมกลับมาแล้ว"

ไม่เพียงแต่เฉินพ่อและเฉินแม่ที่ยังไม่นอน แม้แต่น้องสาวของเขาก็ยังอยู่ในห้องนั่งเล่นด้วยเช่นกัน พอเห็นเฉินโส่วอี้เดินเข้ามา เธออดไม่ได้ที่จะหาว

"กลับมาจนได้ รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าซะ เดี๋ยวจะเป็นหวัด อากาศเย็นขนาดนี้ ยังจะฝ่าฝนกลับมาอีก กลับบ้านทั้งทีไม่รู้จักเอาเสื้อกันฝนมา" เฉินแม่รีบลุกขึ้นพูด เมื่อเห็นว่าลูกชายไม่ได้รับบาดเจ็บ ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก

เฉินโส่วอี้พูดว่า "ผมรีบกลับมาน่ะครับ"

"รีบอะไรขนาดนั้น หิวไหม เดี๋ยวแม่ทำของว่างให้" เฉินพ่อเดินเข้ามาถาม

เฉินโส่วอี้มองเวลา พบว่ามันตีหนึ่งครึ่งแล้ว เขารีบบอกว่า "พ่อ ไม่ต้องทำหรอกครับ พ่อกับแม่ไปนอนเถอะ ดึกขนาดนี้แล้ว"

หลังจากพูดกล่อมพ่อแม่และน้องสาวให้กลับไปนอนจนสำเร็จ เฉินโส่วอี้เดินไปที่ห้องครัว

เมื่อเปิดหม้อแรงดันสูง เขาพบว่าข้าวเย็นเหลืออยู่เยอะมาก ราวกับสำหรับคนหกเจ็ดคน เห็นได้ชัดว่าพ่อเขาคิดเผื่อเขาตอนทำอาหารไว้แล้ว เขาเติมน้ำในหม้อ ก่อนจะเปิดเตาแก๊สเพื่ออุ่นข้าว

จากนั้นเขาเดินไปที่ห้องอาหาร เห็นว่ามีอาหารเหลืออยู่ไม่น้อย

เขาหยิบตะเกียบขึ้นมาแล้วคีบขาหมูตุ๋นซีอิ๊วหนึ่งชิ้น ใส่ปาก เคี้ยวจนละเอียดก่อนกลืนลงท้อง

ในที่สุดท้องเขาก็รู้สึกอิ่มขึ้นมาบ้างผลจากการต่อสู้ที่รุนแรงเมื่อวาน รวมกับพลังงานที่ร่างกายต้องใช้ในการฟื้นฟูแผล และอาการอ่อนล้าจากการเสียเลือด ทำให้ตอนนี้เฉินโส่วอี้รู้สึกหิวจนแทบจะกินวัวได้ทั้งตัว

หนึ่งชั่วโมงต่อมา เขาลูบท้องอย่างพอใจ ก่อนเดินขึ้นบันไดไป

เมื่ออาหารเริ่มถูกย่อย ร่างกายที่หนาวเย็นก็กลับมารู้สึกอบอุ่นอีกครั้ง กำลังวังชาค่อย ๆ ฟื้นคืน

เขาเปิดกระเป๋าเอกสาร ปลุกสาวเปลือกหอยที่กำลังหลับใหล และป้อนน้ำผึ้งให้เธอ

ทันทีที่เขานั่งลงบนเตียง ความเหนื่อยล้าก็ถาโถมเข้ามา เขาดึงผ้าห่มขึ้นแล้วหลับไปทันที

สาวเปลือกหอยนั่งนิ่งบนเตียง มองดูยักษ์ใหญ่ที่หลับสนิทด้วยความงุนงง

เธอคิดว่าที่เขาปลุกเธอขึ้นมาเพราะต้องการจะออกไปทำอะไรบางอย่างในตอนกลางคืน

แต่กลับกลายเป็นว่า เขาปลุกเธอขึ้นมาแล้วตัวเองกลับนอนหลับไป

สาวเปลือกหอยถอนหายใจ พึมพำกับตัวเองว่า “ยักษ์ใหญ่ซื่อบื้อนี่ช่างน่าขันนัก ฉันไม่ได้หิวเลยสักนิด แต่ดันปลุกฉันขึ้นมา ตอนนี้ทำให้ฉันนอนไม่หลับอีก”

“เฮ้อ งั้นฉันไปจัดการเสื้อผ้าดีกว่า ไม่ได้จัดมานานแล้ว!”

เธอทำตาเป็นประกาย กระโดดลงจากเตียงแล้ววิ่งไปที่ตู้เสื้อผ้า เปิดลิ้นชักที่อยู่ด้านล่าง

เธอเอียงคอคิดว่าเมื่อก่อนยักษ์ใหญ่เปิดมันยังไงนะ?

หลังจากนึกอยู่ครู่หนึ่ง เธอก็ใช้มือเล็ก ๆ จับที่จับลิ้นชัก พยายามดึงออกจนหน้าแดงก่ำ พอลิ้นชักเปิดได้เพียงเล็กน้อย เธอก็กระโดดเข้าไปในลิ้นชักทันที...

วันต่อมา เฉินโส่วอี้ลืมตาตื่นขึ้นมาก่อนจะกำหมัดแน่น รู้สึกถึงพลังในร่างกาย แม้ว่ายังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ แต่ความอ่อนล้าที่เหมือนเมื่อวานก็หายไปแล้ว คาดว่าพรุ่งนี้เช้าร่างกายน่าจะกลับมาเป็นปกติ

เขาเปิดแผงสถานะขึ้นดูอย่างเคย

พบว่าคุณสมบัติด้านจิตใจเพิ่มขึ้น 0.2 ตอนนี้อยู่ที่ 13.3

ดูเหมือนว่าการต่อสู้เมื่อวานไม่ได้ไร้ผลเสียทีเดียว

เขาปิดแผงสถานะ

ลุกขึ้นจากเตียงแล้วหันไปมองข้างหมอน แต่กลับไม่เห็นร่องรอยของสาวเปลือกหอย

เขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนลุกขึ้นยืน จับผ้าห่มขึ้นมาเขย่าเบา ๆ แต่ก็ไม่มีอะไรหล่นออกมา

“หายไปไหนอีกแล้ว?”

“ตื่นได้แล้ว!” เฉินโส่วอี้ตะโกนเรียก

แต่ไม่มีเสียงตอบรับใด ๆ

“อย่าบอกนะว่าถูกหนูคาบไป?”

แต่ที่นี่ก็ไม่มีหนูเลยนี่นา!

เขากระโดดลงจากเตียง เริ่มค้นหาทั่วทั้งห้องอย่างละเอียด

จู่ ๆ เขาก็ได้ยินเสียงอ่อนแอเบา ๆ ดังมาแต่ไกล เขาตั้งใจฟังอยู่ครู่หนึ่งก่อนเดินไปตามเสียงจนถึงตู้เสื้อผ้า แล้วเปิดลิ้นชักออกอย่างระมัดระวัง ก็พบสาวเปลือกหอยกำลังร้องไห้พร้อมกับเช็ดน้ำตา ดวงตาบวมเหมือนลูกเชอร์รี่สองลูก

“ยักษ์ใหญ่ที่แสนดี! ในที่สุดคุณก็เจอฉันแล้ว!” สาวเปลือกหอยพูดด้วยความคับข้องใจ สะอื้นจนหยุดไม่ได้

“เธอไปติดอยู่ในนี้ได้ยังไง?” เฉินโส่วอี้พูดพลางหัวเราะปนร้องไห้ เขาจำได้ว่าก่อนนอนเขาวางเธอไว้บนเตียง ชัด ๆ

คำถามนั้นทำให้สาวเปลือกหอยยิ่งรู้สึกเศร้าขึ้นไปอีก เธอร้องไห้เสียงดังขึ้น พร้อมชี้ไปที่ลิ้นชัก พูดเล่าความอัดอั้นด้วยเสียงขาด ๆ หาย ๆ

“มัน...มันเป็นของไม่ดี มัน...มันแอบขังฉันไว้ ไม่ให้...ไม่ให้ฉันออกมา ฮือ ๆ...”

“ต่อไปนี้ ฉันจะไม่เก็บเสื้อผ้าสวย ๆ ของฉันไว้ในของไม่ดีนี่อีกแล้ว!”

“ฉันตะโกนเรียก ‘ยักษ์ใหญ่ที่แสนดี’ จนเสียงแหบ คุณก็...คุณก็ไม่ได้ยิน!”

“ฮือ ๆ...”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด