บทที่ 1 ปฏิกิริยาที่เลิกไม่ได้
23.00 น. เฉินเจ๋อที่เพิ่งทำงานล่วงเวลาในออฟฟิศเสร็จ กำลังขับรถนิสสันมือสองกลับบ้าน
ยามค่ำคืนของเมืองยวี่คึกคักมาก แม้จะเป็นเวลานี้แล้ว รถราบนถนนก็ยังวิ่งสวนกันไปมาไม่หยุด ถนนวงแหวนในเปรียบเสมือนแถบริบบิ้นที่เคลื่อนไหว สะท้อนให้เห็นความเจริญรุ่งเรืองและความงดงามของเมืองใหญ่
"ฮึ่ว~"
เฉินเจ๋อเปิดหน้าต่างออกเล็กน้อย สายลมเย็นยามราตรีช่วยให้สมองปลอดโปร่งขึ้น เขาหมุนพวงมาลัยไปพลางครุ่นคิดถึงการเลือกใช้คำในเอกสารราชการที่เพิ่งเขียนเสร็จไปพลาง
ทันใดนั้น เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอย่างเร่งรีบ
เฉินเจ๋อมองหน้าจอโทรศัพท์ที่สว่างขึ้น หยุดชั่วครู่สามวินาที แล้วสวมหูฟังบลูทูธรับสาย "สวัสดีครับ"
เขาไม่ได้ปิดบังความเหนื่อยล้าในน้ำเสียง
"เฉินเจ๋อคะ ฉันมีเรื่องจะบอก......"
ปลายสายเป็นผู้หญิง น่าเสียดายที่เธอไม่ได้สังเกตเห็นความเหนื่อยล้าที่เฉินเจ๋อแสดงออกมา เธอพูดต่อไปตามใจตัวเอง "วันนี้ฉันได้รับข่าวมาว่า สำนักงานอุตสาหกรรมและสารสนเทศเขตเทียนเหอกำลังจะรับสมัครบัณฑิตจบใหม่ คุณช่วยฝากน้องชายฉันเข้าไปทำงานที่นั่นได้ไหมคะ"
เฉินเจ๋อรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยที่ถูกมองข้าม
เขาไม่ได้แสดงออกมา น้ำเสียงยังคงสงบนุ่มนวลเหมือนเดิม "ตอนนี้การเข้าทำงานในระบบราชการต้องสอบทุกตำแหน่ง คุณก็รู้นี่ครับ"
"ฉันรู้ค่ะ"
หญิงสาวเสียงดังขึ้นเล็กน้อย "แต่นั่นมันสำหรับคนที่ไม่มีเส้นสายนะคะ คุณเป็นผู้บริหารระดับจังหวัดที่ดูแลด้านอุตสาหกรรมและสารสนเทศ เขตคงต้องให้เกียรติคุณสิคะ น้องชายฉันมีคนเดียว ถ้าเราแต่งงานกัน เขาก็จะเป็นน้องชายคุณด้วย ยังไงคุณก็ต้องช่วยเรื่องนี้นะคะ"
เฉินเจ๋อเงียบไปครู่หนึ่ง ที่จริงเขาอยากบอกผู้หญิงคนนั้นว่า:
หนึ่ง สำนักงานอุตสาหกรรมและสารสนเทศเขตไม่ใช่ของผม อยากให้ใครเข้าก็เข้าได้เลยหรือไง
สอง การสอบทุกตำแหน่งเป็นนโยบายประเทศ รู้ไหมว่านโยบายประเทศคืออะไร มันจะมาฝากฝังกันได้หรือ
สาม ความสามารถของน้องชายคุณผมไม่อยากวิจารณ์หรอก แต่เขาจะเข้าใจข้อสอบบรรยายความได้เหรอ
ที่สำคัญที่สุดคือ ผมกับคุณแค่เพิ่งเริ่มทำความรู้จักกันเท่านั้นนะ ยังห่างไกลจากการแต่งงานอีกตั้งเยอะ แค่นี้ก็จะให้ผมใช้เส้นสายช่วยน้องชายคุณแล้วหรือ
แต่พอคำพูดมาถึงปาก กลับกลายเป็นคำแนะนำที่อ่อนโยน "ถ้าน้องชายคุณอยากรับราชการจริงๆ ผมแนะนำให้ไปเรียนติวก่อนนะครับ พอดีที่แผนกผมมีน้องที่เพิ่งสอบเข้ามาใหม่ ผมขอให้เขาแนะนำประสบการณ์การสอบให้น้องชายคุณได้......"
"ไม่ได้ค่ะ!"
หญิงสาวปฏิเสธทันที "การเรียนติวต้องอดหลับอดนอนอ่านหนังสือ น้องชายฉันตั้งแต่เด็กจนโตไม่เคยลำบากมาก่อน คุณผัดผ่อนแบบนี้แสดงว่าไม่อยากช่วยใช่ไหมคะ"
ตอนนั้นเอง มีเสียงอีกคนดังมาจากโทรศัพท์ "พี่ครับ ถ้าเขาไม่อยากช่วยก็ช่างเถอะครับ เราจะไปอ้อนวอนเขาทำไม ทำตัวเหมือนเขาเป็นอะไรนักหนา......"
คำพูดนี้เหมือนชนวนระเบิด จุดความโกรธของหญิงสาวขึ้นมาทันที
"เฉินเจ๋อ คนอื่นเห็นคุณเป็นรองผู้อำนวยการในหน่วยงานระดับจังหวัดที่ดูหรูหรา แต่ความจริงคุณเป็นยังไงตัวคุณเองไม่รู้ตัวบ้างเหรอคะ"
"คุณก็แค่ผู้ชายที่ขับรถราคาแค่หลักแสน ผ่อนบ้านเป็นล้าน เงินเดือนไม่ถึงสองหมื่น อายุสามสิบกว่าแล้วยังไม่ได้แต่งงาน"
"ที่ฉันยอมคบหาดูใจกับคุณตอนแรก ก็เพราะคิดว่าตำแหน่งของคุณอาจจะช่วยน้องชายฉันได้ ตอนนี้คุณยังปัดเรื่องงานแค่นี้ แล้วฉันจะคบกับคุณไปทำไมคะ!"
"ตู้ด ตู้ด ตู้ด......"
หลังจากหญิงสาวระบายความไม่พอใจจบ ก็วางสายไปเลย และเพราะส่วนใหญ่เป็นความจริง เฉินเจ๋อจึงพูดอะไรไม่ออก
"ผมแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ…"
อกของเฉินเจ๋อรู้สึกอึดอัดขึ้นมาทันที
ตอนเรียนเขาก็เรียนเก่ง หลังจบมัธยมปลายก็สอบเข้ามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีกวางโจวที่เป็นมหาวิทยาลัย 985 ได้ หลังจบปริญญาตรีและโท ก็สอบเข้าระบบราชการระดับจังหวัดได้ หกปีต่อมาก็ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้าแผนกตามขั้นตอน
ตอนนั้นพอดีมีโอกาสลงพื้นที่ไปช่วยงานแก้ไขปัญหาความยากจน สามปีให้หลัง กลับมาที่หน่วยงานเดิมก็ได้รับการประกาศแต่งตั้งเป็นรองผู้อำนวยการอย่างราบรื่น
แม้รองผู้อำนวยการจะไม่มีอำนาจจริง แต่ระดับตำแหน่งก็เทียบเท่ารองหัวหน้ากอง การได้ตำแหน่งนี้ก่อนอายุสามสิบห้าปี เวลาออกไปประชุม ทุกคนต้องยกย่องเรียกว่า "ผู้บริหารรุ่นใหม่"
แต่ความยากลำบากในการทำงาน มีแค่เฉินเจ๋อที่รู้ดี ที่เขาไม่ได้แต่งงานมาหลายปี ก็เพราะยุ่งจนไม่มีเวลาคบหาดูใจกับใคร โดยเฉพาะตอนลงชนบทช่วยแก้ไขปัญหาความยากจน แทบไม่มีเวลากลับบ้านเลย
สองปีนี้เห็นผมขาวบนศีรษะพ่อแม่เพิ่มขึ้นทุกวัน ถึงได้จำใจเดินบนเส้นทางการจับคู่
น่าเสียดายที่อายุมากแล้ว คู่ที่แม่สื่อแนะนำมามีทั้งหญิงหม้ายที่มีลูกติด และพวก "บ้าช่วยน้อง" ที่ชอบพูดจาไร้เหตุผลแบบคืนนี้ก็ไม่น้อย
"ฮ่า!"
เฉินเจ๋อถอนหายใจลึกๆ นึกถึงสีหน้าของพ่อแม่ที่เห็นลูกบ้านอื่นแล้วดูมีความสุข ในใจอดรู้สึกเสียใจไม่ได้ "ถ้ารู้อย่างนี้ตอนนั้นผมไม่สอบเข้าราชการเสียก็ดี เข้ามาในกำแพงนี้แล้ว หลายอย่างก็ไม่อาจทำตามใจตัวเองได้จริงๆ!"
ความคิดเริ่มล่องลอยฟุ้งซ่าน ตอนเลี้ยวโค้งหักศอก จู่ๆ ก็มีแสงสว่างจ้าจากฝั่งตรงข้ามส่องเข้ามา
ได้ยินเสียง "โครม" ดังขึ้น เฉินเจ๋อก็หมดสติไปทันที
....
…….
"เฉินเจ๋อ ตื่นๆ อีกเดี๋ยวจะเข้าเรียนแล้ว"
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไหร่ เฉินเจ๋อถูกคนเขย่าแขนปลุก
"ผมประสบอุบัติเหตุเหรอ แล้วคนอีกฝ่ายบาดเจ็บหรือเปล่า"
เฉินเจ๋อนวดแขนที่ชาและศีรษะที่มึนงง ตั้งใจจะไปดู
แต่พอเงยหน้าขึ้น เขาก็ชะงักไปทันที
ที่นี่ดูเหมือนไม่ใช่ถนนวงแหวนใน ไม่ได้เกิดอุบัติเหตุ และไม่ใช่โรงพยาบาล แต่เป็นห้องเรียน
รอบๆ เป็นนักเรียนผมเกรียนติดหนังศีรษะ หน้ามันๆ บางคนนอนคว่ำหน้าบนโต๊ะ บางคนก้มหน้าทำข้อสอบ บางคนรวมกลุ่มคุยเล่นกับเพื่อน
ตรงหน้าเป็นกองหนังสือและแบบฝึกหัดที่วางซ้อนกันสูง บนสุดมีตัวอักษรโดดเด่น "ห้าปีสอบเข้ามหาวิทยาลัย สามปีแบบฝึกหัด"
หน้าต่างกระจกเปิดแง้มไว้ ผ้าม่านสีฟ้าปลิวไหวตามลมที่พัดผ่านระเบียงทางเดิน
"ที่นี่... ดูเหมือนจะเป็นห้องเรียนตอนมัธยมปลายปีสามของผม"
เมื่อเห็นภาพที่ทั้งคุ้นเคยและแปลกตาเหล่านี้ เฉินเจ๋อนึกถึงบางอย่างขึ้นมาได้ ลำคอพลันแห้งผากด้วยความตื่นเต้น
ผมย้อนเวลา กลับมาแล้วเหรอ?
เฉินเจ๋อค่อยๆ หันตัวไป เห็นบนกระดานดำมีตัวอักษรสีแดงเขียนไว้เด่นชัด — เหลือเวลาอีก 99 วันก่อนสอบเข้ามหาวิทยาลัย!
ชิบ!
หายย!!
ย้อนเวลากลับมาจริงๆ ด้วย!
และกลับมาในตอนเย็นของวันที่เหลือเวลาอีก 99 วันก่อนสอบเข้ามหาวิทยาลัยปี 2007!
เฉินเจ๋อกลั้นความปั่นป่วนในใจ หันไปมองเพื่อนที่นั่งข้างๆ
หวงไป๋หาน!
ใช่แล้ว นี่คือเพื่อนร่วมชั้นสมัยมัธยมปลายปีสามของเขา
เด็กคนนี้ยังคงมีหน้าตาเหมือนตอนมัธยมปลาย ริมฝีปากมีขนหนวดดำๆ เป็นวง หน้ามีสิวขึ้นสองสามเม็ด เลนส์แว่นหนาๆ มีคราบมัน เล็บถูกกัดจนสั้นเกรียนหลายนิ้วเพราะความเคยชินตอนทำข้อสอบ
"เฉินเจ๋อ นายมองฉันทำไม"
หวงไป๋หานสังเกตเห็นสายตาที่แปลกไปกว่าปกติของเฉินเจ๋อ จึงอดถามไม่ได้
"อ๋อ ไม่มีอะไร"
เฉินเจ๋อบังคับตัวเองให้สงบลง หยิบปากกาขึ้นมาลองหมุนเล่นสองรอบ แต่ก็ยังรู้สึกว่านี่อาจเป็นความฝัน จึงเดินโซเซออกไปที่ระเบียงนอกห้องเรียน
กลุ่มนักเรียนในชุดนักเรียนเดินหัวเราะกันผ่านไป
ก้มลงมอง ตัวเขาเองก็ใส่ชุดนักเรียนเหมือนกัน
เงยหน้าขึ้น ท้องฟ้าช่างสดใสเหลือเกิน แสงอาทิตย์ยามเย็นทอดยาวบนตึกเรียนไกลออกไป กระเบื้องเก่าๆ สะท้อนแสงที่ไม่แสบตา สูดหายใจลึกๆ ยังรู้สึกถึงความสดชื่นที่แทรกซึมเข้าสู่หัวใจ
"ผมย้อนเวลากลับมาจริงๆหรอ"
แม้ศีรษะจะยังมึนอยู่บ้าง แต่เฉินเจ๋อค่อยๆ ยอมรับความจริงนี้
"น่าหงุดหงิดจริงๆ ต้นไม้มงคลที่ฉันซื้อมาตอนตรุษจีนตายไปแล้ววันนี้ เพิ่งจะไม่ถึงเดือนเองนะ นี่หมายความว่าปีนี้ฉันจะต้องจนตายเลยใช่ไหม"
ข้างๆ เฉินเจ๋อมีครูสองคนยืนอยู่ เพราะยังไม่ถึงเวลาเข้าเรียน พวกเขาจึงคุยกันเล่นที่ระเบียง
ครูอีกคนหัวเราะปลอบใจ "ต้นไม้พวกนี้เลี้ยงยากมาก ฉันเคยเลี้ยงแล้วก็ตายเหมือนกัน เธออย่าคิดมากเลย"
คำปลอบใจแบบนี้ไม่ได้ช่วยอะไร ครูที่พูดก่อนหน้ายังคงหงุดหงิด
ไม่รู้ทำไม เมื่อได้ยินบทสนทนานี้ สมองของเฉินเจ๋อก็มีบางอย่างกระตุก เขาพูดออกไปโดยอัตโนมัติ "ผมว่านี่เป็นเรื่องดีนะครับ ต้นไม้ตายไปแล้ว ก็เหลือแต่มงคลไง ผมว่าปีนี้อาจารย์ไม่เพียงแต่จะไม่จน แต่อาจจะรวยใหญ่เลยนะครับ"
"หืม?"
ครูทั้งสองคนหันมามองเฉินเจ๋อด้วยความประหลาดใจ
เฉินเจ๋อเองก็ตกตะลึง
นี่เป็นปฏิกิริยาจากการทำงานในระบบราชการมาหลายปีจริงๆ พูดจาให้เหมาะสมได้ทันทีที่อ้าปาก แม้จะย้อนเวลากลับมาแล้ว ก็ยังฝังอยู่ในกระดูก
......
(จบบท)