ตอนที่ 5 ตลาดของเก่า
ตอนที่ 5 ตลาดของเก่า
“กล่องเล็กๆ นี่... รอเดี๋ยวนะ” เมื่อเห็นกล่องสองใบที่ขนาดเล็กพอจะวางลงบนฝ่ามือ เพียร์ซก็แสดงสีหน้าขบขันก่อน จากนั้นก็ดูเหมือนนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงเปลี่ยนสีหน้าเป็นจริงจังทันที
“แน่ใจนะว่าข้างในเป็นปืน?”
“แน่ใจ เพราะฉันตรวจสอบกล่องทั้งสองใบแล้ว”
“รอแป๊บนะ” เมื่อเห็นเหลียงเอินพยักหน้าอย่างจริงจัง เพียร์ซก็รีบเดินออกมาจากหลังเคาน์เตอร์ ล็อกประตูและปิดม่านหน้าต่าง
จากนั้นเขาก็เปิดไฟนีออนบนเคาน์เตอร์ด้วยสีหน้าตื่นเต้น หยิบถุงมือไหมจากลิ้นชักใต้เคาน์เตอร์ออกมาสวม
“ขอดูหน่อยซิ” เพียร์ซเปิดกล่องอย่างระมัดระวัง ทันใดนั้นก็เบิกตาโพลง “นี่มัน... ฮัมมิงเบิร์ดเหรอ?”
“ใช่ ปืนพกอัตโนมัติขนาดเล็กที่สุดในโลกที่ผลิตเป็นจำนวนมาก” เมื่อเห็นสีหน้าประหลาดใจของเพื่อน เหลียงเอินก็ยิ้มออก “ฉันนึกว่านายจะไม่รู้จักของพรรค์นี้ซะอีก”
“ที่บ้านฉันไม่ค่อยได้สัมผัสกับของอะไรพวกนี้หรอก แต่ในฐานะคนคลั่งไคล้พวกปืนลูกโม่ ปืนพิเศษแบบนี้ฉันจะไม่รู้จักได้ยังไง?” เพียร์ซพูดพลางหยิบแว่นขยายและเครื่องมือบางอย่างออกมาตรวจสอบกล่องและปืนอย่างละเอียด
“นี่เป็นรุ่นขนาด 2.7 มิลลิเมตร แถมยังเป็นแบบชุบนิกเกิลคุณภาพสูงอีกด้วย” หลังจากตรวจสอบโดยพลิกไปมาหลายรอบ เพียร์ซก็วางแว่นขยายลง
“แต่ของแบบเดียวกันนี้ผลิตออกมาแค่พันกว่ากระบอก ถูกจัดเป็นของฟุ่มเฟือยสำหรับชนชั้นสูงตั้งแต่แรก นายไปหาเจอในตึกแถวย่านลอนดอนตะวันออกได้ยังไงกัน...”
“แต่ความจริงก็อย่างที่เห็น ปืนอยู่ตรงหน้านายแล้ว” เหลียงเอินยิ้มแล้วก็ยักไหล่ “งั้นนายลองประเมินราคาดูสิ ถ้านายให้ราคาสมเหตุสมผล ฉันก็ขายให้นาย”
“ดีใจที่นายให้ฉันเป็นตัวเลือกแรกที่ทำการค้าด้วยนะ ลอว์เรนซ์” เมื่อเห็นว่าเหลียงเอินพูดอย่างตรงไปตรงมา เพียร์ซก็เปิดอกคุยเช่นกัน
“นายช่วยฉันได้เยอะเลยนะ เพราะช่วงนี้ฉันกำลังพยายามขยายธุรกิจไปยังพวกเศรษฐีในเขตเคนซิงตัน-เชลซี ปืนกระบอกนี้ช่วยฉันถีบประตูเข้าไปหาพวกเขาได้”
“แต่ปัญหาคือ ตอนนี้มีเงินสดอยู่ในมือไม่มากน่ะสิ” เพียร์ซยักไหล่ด้วยสีหน้าผิดหวัง
“สามเดือนก่อน ตลาดในลอนดอนเพิ่งผลิตปืนรุ่นธรรมดาออกมาขาย ราคา 29,000 ปอนด์ ปืนของนายที่เป็นแบบชุบนิกเกิลน่าจะแพงกว่า 10% ถึง 20% นอกจากนี้ กระสุนของฮัมมิงเบิร์ด ราคาสูงถึง 70 ปอนด์ต่อนัด...”
“งั้น 20,000 ปอนด์แล้วกัน ปืนกระบอกนี้เป็นของนายแล้ว” เหลียงเอินคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเสนอราคาเป็นตัวเลขกลมๆ แล้วปิดกล่องทั้งสองใบก่อนจะดันไปให้เพียร์ซ
เหลียงเอินรู้ว่าราคาตลาดเป็นเรื่องหนึ่ง แต่จะขายได้ในราคานั้นหรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ในความคิดของเขา การคบหาสมาคมระหว่างเพื่อน ควรจะเป็นทั้งผู้ให้และผู้รับ ไม่ใช่ให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสียสละฝ่ายเดียว ดังนั้นหลังจากที่เขาได้รับความช่วยเหลือจากเพียร์ซมานักต่อนัก ตอนนี้พอเขามีโอกาสก็ควรจะตอบแทนบ้าง
ที่สำคัญยิ่งกว่านั้น จากการคบหากันมาสี่ปี เหลียงเอินรู้ดีกว่าใครว่าครอบครัวของเพียร์ซเป็นคนที่มีจริยธรรมสูง น่าเชื่อถือ
และนี่ก็เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ร้านขายของเก่าของเขาเติบโตช้า แต่ยังสามารถดำเนินธุรกิจในลอนดอนสืบมาได้ห้าชั่วอายุคน รวมเวลากว่าร้อยปี
“แต่ตอนนี้ฉันมีเงินสดแค่ห้าพันกว่าปอนด์...” เมื่อได้ยินเหลียงเอินพูดอย่างนั้น เพียร์ซก็ยิ่งกระปรี้กระเปร่า “งั้นนายรอฉันแป๊บนึงนะ ฉันขอไปถามพ่อก่อน...”
“ไม่จำเป็นหรอก เพื่อน” เมื่อตัดสินใจจะทำความดีแล้ว เหลียงเอินก็จะทำมันให้ถึงที่สุด “นายมีเงินสดแค่ไหนก็ให้ฉันแค่นั้น ส่วนที่เหลือค่อยเขียนใบเรียกเก็บเงินไว้ก็ได้ มีเมื่อไหร่ค่อยให้ฉัน”
สิบห้านาทีต่อมา เหลียงเอินเดินออกจากร้านของเพียร์ซพร้อมกับเงิน 5,520 ปอนด์ ใบเรียกเก็บเงิน และเครื่องตรวจจับโลหะหนึ่งเครื่อง
เดิมทีเขาคิดว่าเมื่อมีเงินมากขึ้นก็จะซื้ออุปกรณ์ตรวจจับที่ดีขึ้น ซื้อเครื่องตรวจจับโลหะมือสองสภาพ 90% จากร้าน แต่เพียร์ซกลับยัดเครื่องตรวจจับโลหะนั้นให้เขาโดยไม่ยอมรับเงินแม้แต่เหรียญเดียว เขาต้องการใช้เครื่องตรวจจับโลหะนี้เพื่อเตรียมการสำหรับการค้นหาสมบัติในขั้นต่อไป เพราะความแตกต่างระหว่างสองโลกทำให้ซากปรักหักพังทางประวัติศาสตร์ที่มีชื่อเสียงบางแห่งไม่เคยถูกค้นพบ
ถึงแม้จะพิจารณาถึงความแตกต่างของโลกคู่ขนานแล้ว ซากปรักหักพังเหล่านั้นอาจจะไม่มีอยู่จริงก็ได้ แต่อย่างน้อยก็มีมากกว่าครึ่งที่น่าจะยังคงอยู่เหมือนกับในชาติที่แล้ว แค่ยังไม่มีใครค้นพบ
ยกตัวอย่างง่ายๆ มหากาพย์อีเลียดในโลกนี้กับมหากาพย์อีเลียดในโลกก่อนแทบไม่แตกต่าง แต่เมืองทรอยกลับไม่เคยถูกนักประวัติศาสตร์ค้นพบ
เป็นเพราะความแตกต่างดังกล่าว รวมถึงสกิลพิเศษที่ทำให้เหลียงเอินตัดสินใจเลือกเส้นทางนี้
แต่ถึงแม้ความฝันจะยิ่งใหญ่แค่ไหน หลายสิ่งหลายอย่างก็ต้องเริ่มจากสิ่งที่ง่ายที่สุด เพราะงานด้านโบราณคดีในยุคนี้เป็นระบบมาก ไม่เหมือนกับในศตวรรษที่ 19 ที่เต็มไปด้วยความสับสนและความบ้าคลั่ง
ด้วยสถานะปัจจุบันของเขา ถ้าเขาไปตุรกีเพื่อตามหาเมืองทรอยโดยตรง นอกจากเขาจะไม่ได้รับชื่อเสียงและผลประโยชน์เหมือนกับผู้ค้นพบคนเดิม แต่สิ่งที่เป็นไปได้ว่าจะเกิดขึ้นคือเขาอาจเสียแม้แต่กางเกงใน หรืออาจจะหายตัวไปเลยก็ได้
หลังจากสลัดความคิดต่างๆ ออกไปจากหัว เหลียงเอินก็ขับรถตู้คันเล็กของเขาไปยังตลาดของเก่าอัลฟี่ที่ถนนเชิร์ช
ในภาษาอังกฤษ คำที่ใช้เรียกของเก่ามีสองคำ ‘วินเทจ’ หมายถึงของเก่าในยุคสมัยใหม่ มักจะมีอายุไม่ถึงร้อยปี
ส่วน ‘ของโบราณ’ หมายถึงสิ่งของที่มีอายุมากกว่า 100 ปี นั่นคือของเก่าในความหมายทั่วไปของชาวจีน
ตลาดอัลฟี่เป็นตลาดของเก่าที่มีประวัติยาวนาน เน้นการขายของเก่าระดับ ‘ของโบราณ’ เป็นหลัก
ถึงแม้จะดูเก่าและทรุดโทรม ร้านค้าที่ปล่อยร้างก็มีอยู่ทั่วไป แต่ภายใต้ตึกที่ทรุดโทรมนั้นคือตลาดของเก่าที่ใหญ่ที่สุดในลอนดอน
ตลาดมีร้านค้าประมาณร้อยร้าน ขายเครื่องประดับ ของเก่า เฟอร์นิเจอร์ ภาพเขียน เสื้อผ้า และสินค้าเก่าประเภทต่างๆ ซึ่งมีของมีค่ามากมาย
แฟชั่นนิสต้า ดารา เศรษฐี และแม้แต่ชนชั้นสูงก็มักจะมาซื้อของที่ถูกใจจากที่นี่
เหลียงเอินมาที่นี่ไม่ใช่เพื่อหาของถูก ด้วยความเชี่ยวชาญของพ่อค้าในท้องถิ่น ของดีๆ น่าจะถูกพวกเขาคัดเลือกและตั้งราคาสูงไว้ก่อนแล้ว
เหตุผลที่เขาต้องมาที่นี่ คือเขาต้องการทำความเข้าใจว่าสกิลพิเศษของเขาใช้งานอย่างไร
ต้องยอมรับว่าสกิลพิเศษนี้เป็นของดี ผลลัพธ์ที่ผ่านมาสามารถพิสูจน์ได้
แต่ปัญหาคือ นอกจากคำอธิบายสั้นๆ บนการ์ดแล้ว สกิลพิเศษนี้ไม่มีคู่มือการใช้งาน ดังนั้นเจ้าตัวจึงต้องลองผิดลองถูก ค่อยๆ สำรวจกันไป
จากประสบการณ์ก่อนหน้านี้ พลังของสกิลพิเศษนี้ส่วนใหญ่จะใช้ผ่านการ์ดต่างๆ แต่ตอนนี้ปัญหาอยู่ที่เหลียงเอินไม่รู้ว่าจะหาการ์ดใบใหม่ได้อย่างไร
โชคดีที่ชาติที่แล้วเขาอ่านนิยายแนวนี้มาเยอะ ดังนั้นจึงสามารถลองวิธีต่างๆ จากนิยายเหล่านั้นในตลาดของเก่าดูว่าจะได้ผลหรือไม่
ที่นี่ต่างจากตลาดของเก่าทั่วไป ตลาดอัลฟี่แทบไม่มีแผงขายของกลางแจ้ง ร้านค้าทุกแห่งมีร้านค้าเป็นของตัวเอง
ดังนั้นหลังจากเดินเล่นและหาอะไรกินรองท้องบ้างแล้ว เหลียงเอินก็ไปที่ร้านขายของเก่าเบ็ดเตล็ดแห่งหนึ่ง