ตอนที่ 4 เพื่อน
ตอนที่ 4 เพื่อน
“ไง ลอว์เรนซ์ ช่วงนี้เป็นไงบ้าง เจออะไรเจ๋งๆ หรือเปล่า?”
เช้าวันต่อมา เหลียงเอินขับรถบรรทุกของที่ได้มาเมื่อวานไปยังหน้าร้านของเก่า ทันทีที่เขาผลักประตูเข้าไป เสียงกระดิ่งประตูก็ดังขึ้น เพียร์ซ มอร์ฟี เจ้าของร้านที่อยู่หลังเคาน์เตอร์ก็เดินออกมาต้อนรับเขา
เพียร์ซเป็นหนุ่มรูปร่างสูงผอม ผมสีแดงสดใส สวมแว่นกรอบทอง แต่งตัวด้วยสูทลายตารางสก็อตเก่าๆ ดูเหมือนนักวิชาการมากกว่านักธุรกิจ
“ขอบคุณนะที่อวยพร ครั้งนี้ฉันโชคดีจริงๆ” เหลียงเอินพูดพลางวางกล่องกระดาษลงบนเคาน์เตอร์ แล้วชี้ไปที่รถด้านหลัง
“อ้อ ก่อนหน้านี้นายไม่ได้บอกว่าพื้นไม้ในบ้านนายพังหลายจุด อยากเปลี่ยนใหม่หรอกเหรอ ฉันเจอตู้ไม้โอ๊คเก่า ๆ รื้อแผ่นไม้ออกมาได้เยอะเลย น่าจะพอดีกับที่นายจะเปลี่ยนพื้นพังๆ นั่นเลยล่ะ”
“ฮ่า นายนี่สมกับเป็นเพื่อนรักของฉันจริงๆ” เพียร์ซเปิดบานประตูข้างเคาน์เตอร์ออกมา กอดเหลียงเอินแน่น แล้วรับกุญแจรถไปขนของ
เพียร์ซเป็นเพื่อนที่เหลียงเอินรู้จักตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย เป็นชาวอังกฤษเชื้อสายไอริช
เพราะครอบครัวเปิดร้านขายของโบราณ เขาจึงไปเรียนภาควิชาโบราณคดีที่มหาวิทยาลัยคอร์ก ประเทศไอร์แลนด์ และได้อยู่หอพักเดียวกับเหลียงเอิน
หลังเรียนจบ ด้วยเหตุการณ์แลกเปลี่ยนชีวิตและหวังจะได้เปรียบ เหลียงเอินจึงขอคำแนะนำเรื่องอาชีพจากเพื่อน ๆ และหลังจากฟังคำแนะนำของเพียร์ซ เขาถึงได้มาลอนดอน
ต้องขอบคุณเพียร์ซอีกเช่นกัน เหลียงเอินจึงมีงานทำและได้ที่พักในลอนดอน ซึ่งเป็นสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยสำหรับเขา
ต้องรู้ก่อนว่างานประเภทนี้ไม่ใช่ใครอยากทำก็ได้ ถ้าไม่มีคนในท้องถิ่นที่ไว้ใจได้ช่วยหาข่าวและค้ำประกัน คนนอกอาจจะหาข่าวในด้านนี้ไม่ได้เลย
สองเดือนที่อยู่ในลอนดอน นอกจากการเรียนรู้ด้วยตนเองแล้ว เหลียงเอินก็เรียนรู้วิธีการต่างๆ ในด้านนี้จากเพียร์ซเป็นหลัก
แม้แต่รถตู้มือสองคันนั้นก็ได้มาจากเพียร์ซ ซื้อต่อจากเจ้าของคนก่อนในราคาถูก
สำหรับเพียร์ซ ครอบครัวเขามีความเชื่อว่าตราบใดที่พอจะมีกำลังช่วยเหลือ ก็ควรจะช่วยเหลือผู้อื่น โดยเฉพาะมิตรสหาย เพราะความช่วยเหลือเหล่านี้จะได้รับผลตอบแทนในท้ายที่สุด
ถึงแม้ในฐานะมือใหม่ เหลียงเอินจะยังหาของมีค่าได้ไม่มากนักในช่วงนี้ เพราะประสบการณ์ยังน้อยและโชคไม่ดี แต่เขาก็เต็มใจช่วยร้านเล็กๆ นี้เท่าที่จะทำได้ เพื่อตอบแทนบุญคุณ
เรื่องนี้ เพียร์ซที่เพิ่งเริ่มรับช่วงกิจการครอบครัวก็เข้าใจว่าทำไมพ่อของเขาถึงสอนให้เขาทำดีกับคนอื่น ถึงแม้บางครั้งอาจต้องใช้ความพยายามมากกว่าปกติ
“แผ่นไม้พวกนี้ดีมาก ถึงแม้จะมีสีเดิมอยู่ แต่ใช้สารเคมีทั่วไปเช็ดก็ออกแล้ว” ไม่นานเพียร์ซก็ขนแผ่นไม้จากตู้หนังสือที่เหลียงเอินรื้อออกมาจากรถตู้เข้ามาข้างในร้าน
“เอาล่ะ ขอดูหน่อยว่านายได้ของดีอะไรมาบ้าง” หลังจากช่วยเหลียงเอินวางแผ่นไม้โอ๊คหนาๆ เพียร์ซก็พูดพลางเปิดกล่องกระดาษที่เหลียงเอินนำมา
“ฮ่าๆ หนังสือปกแข็ง เกือบทั้งหมดเป็นหนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์” เพียร์ซหยิบหนังสือปกแข็งที่ห่อด้วยหนังสีน้ำตาลหรือสีดำออกมาเล่มแล้วเล่มเล่า เมื่อเห็นชื่อเรื่องบนปก เขาก็ดูตื่นเต้นมาก
“ฤดูกาลออกงานสังคมของลอนดอนช่วงฤดูหนาวกำลังจะมาถึง คนรวยทั้งหลายกำลังหาซื้อของที่จะช่วยส่งเสริมฐานะของพวกเขาอยู่พอดี หนังสือประเภทนี้ถือว่าขายดีเลยล่ะ เพราะคนรวยอยากได้มันไปตกแต่งชั้นหนังสือ”
การใช้หนังสือตกแต่งบ้านเป็นธรรมเนียมเหมือนกันทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับหนังสือวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี หนังสือประวัติศาสตร์เหมาะกับโอกาสทำนองนี้มากกว่า
ดังนั้นในสถานที่อย่างลอนดอน หนังสือปกแข็งที่สภาพดี และสภาพดูดี จึงเป็นสินค้าที่ขายออกง่าย แม้เพียร์ซจะไม่ใช่คนขายหนังสือมือสอง เขาก็พอจะหาผู้ซื้อได้
“เยี่ยมมาก เห็นได้ชัดว่าเจ้าของเดิมไม่ค่อยได้อ่านหนังสือพวกนี้ หนังสือเลยแทบไม่มีรอยขีดข่วน” หลังจากพลิกดูคร่าวๆ เพียร์ซก็ปิดหนังสือเล่มหนาในมือ
“มีลูกค้าคนหนึ่งฝากให้ฉันหาของแบบนี้พอดี นายช่วยให้ฉันปิดการขายสำเร็จ”
“หนังสือพวกนี้มีค่ามากเหรอ?” เหลียงเอินถามด้วยความอยากรู้ เพราะเขาไม่ค่อยมีความรู้เรื่องนี้ “ฉันคิดว่ามันน่าจะเหมือนกับหนังสือมือสองราคาถูกที่เราซื้อกันตอนเรียนมหาลัยซะอีก”
“ไม่เลย เพื่อน” เพียร์ซส่ายหัวทันทีที่ได้ยินคำพูดของเหลียงเอิน “หนังสือพวกนี้ตีพิมพ์มากว่าครึ่งศตวรรษแล้ว ถือเป็นของโบราณ และขึ้นชื่อว่าเป็นของโบราณ ราคาก็ไม่เทียบเท่ากับของมือสองอยู่แล้ว”
“อ๋อ อย่างนี้นี่เอง!” เหลียงเอินพยักหน้า เห็นได้ชัดว่าความทรงจำจากโลกอีกใบทำให้เขาคิดว่าของที่มีอายุสี่ถึงห้าสิบปียังไม่นับเป็นของโบราณ
“แล้วหนังสือพวกนี้ขายได้ประมาณเท่าไหร่?” หลังจากที่เพียร์ซพลิกดูหนังสือสิบสองเล่มในกล่องเสร็จแล้ว เหลียงเอินก็คุยธุรกิจกับเขาอย่างจริงจัง สำหรับชาวอังกฤษ เพื่อนก็คือเพื่อน แต่ธุรกิจก็คือธุรกิจ
“หนังสือของนายสภาพใหม่คิดเป็น 90% แถมยังเป็นหนังสือเก่าอายุหลายสิบปี มีสองเล่มที่เป็นฉบับหายาก” เพียร์ซดันแว่นขึ้น แล้วมองหนังสือบนโต๊ะ
“อิงตามราคาตลาดตอนนี้ หนังสือที่ถูกที่สุดอย่างต่ำก็ 30 ปอนด์แล้ว ส่วนที่แพงที่สุดอย่างต่ำก็ 150 ปอนด์”
“งั้นนายให้เท่าไหร่?”
“520 ปอนด์ เพราะฉันก็ต้องกินกำไรเหมือนกัน”
“ได้สิ ได้สิ” หลังจากได้ยินราคาสุดท้ายจากปากเพียร์ซ เหลียงเอินก็พยักหน้าทันที แสดงว่ายอมรับราคา
ราคานี้ถือว่ายุติธรรมมากแล้ว ถึงเขารู้ดีว่าเพียร์ซน่าจะขายหนังสือพวกนี้ได้ถึง 900 ปอนด์ หรือแม้แต่ 1100 ปอนด์
แต่ถ้าไปหาผู้ซื้อรายอื่น หรือเอาไปขายเอง มีโอกาสถึง 90% ที่จะขายได้ไม่เกิน 520 ปอนด์
หลังจากนับเงินสด 520 ปอนด์ให้เหลียงเอินและเก็บหนังสือเข้าที่เข้าทาง เพียร์ซก็ยิ้มเผล่อีกครั้ง “ดูเหมือนธุรกิจของนายจะเริ่มต้นจริงจังแล้วสินะ อ้อ ยังมีอะไรเจ๋งๆ อีกหรือเปล่า?”
“แน่นอน บางทีนี่อาจจะเป็นของมีค่าจริงๆ” เหลียงเอินพูดพลางล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อโค้ต “จริงด้วย นายมีใบอนุญาตซื้อขายอาวุธปืนไหม?”
ที่นี่ต่างจากอังกฤษในโลกอีกใบ อังกฤษในโลกนี้มีข้อกำหนดเรื่องการครอบครองปืนที่ผ่อนคลายกว่า ใกล้เคียงกับแคนาดา แต่ถึงอย่างนั้น การทำธุรกิจประเภทนี้ก็ยังจำเป็นต้องดำเนินการตามขั้นตอนต่างๆ
“มิสิ นี่ไง ใบอนุญาตที่พ่อฉันทำไว้ น่าเสียดายที่ต้องจ่ายเงินเพื่อรักษาใบอนุญาตนี้ทุกปีมานานสิบกว่าปีแล้ว แต่ปืนที่ร้านเราขายไปรวมกันไม่ถึงสิบกระบอก”
เพียร์ซพูดพลางหยิบใบอนุญาตจากลิ้นชักออกมาให้เหลียงเอินดู “อย่าบอกนะว่านายเจอปืน?”
“ใช่ ฉันเจอของมีค่าชิ้นนี้ในช่องลับของตู้หนังสือไม้โอ๊ค” เหลียงเอินวางกล่องสองใบลงบนโต๊ะ “วันนี้โชคดีเข้าข้างฉันจริงๆ”