ตอนที่ 1 งานนักล่าสมบัติ
ตอนที่ 1 งานนักล่าสมบัติ
รถตู้เก่าๆ คันหนึ่งจอดอยู่หน้าตึกแถวอิฐสีแดงสไตล์วิคตอเรียนชานเมืองลอนดอน แสงแดดที่หาได้ยากในหมู่เกาะบริเตนส่องกระทบตัวรถสีขาวและพื้นถนน ทำให้บริเวณหน้าบ้านดูสว่างขึ้น
เสียงสิ่งของชนกันดังมาจากหน้าต่างชั้นสองของบ้านหลังที่อยู่ใกล้รถที่สุด
“ตุ๊บ!” หนังสือและนิตยสารหนาๆ กองใหญ่ถูกโยนลงพื้นจากชั้นวางหนังสือ เผยให้เห็นหนังสือที่ซ่อนอยู่ด้านหลัง
“นึกไว้ไม่ผิดเลย ชั้นวางหนังสือกว้างขนาดนี้จะวางหนังสือแค่ชั้นเดียวได้ยังไง” เหลียงเอินใช้ไฟฉายส่องไปที่ด้านในสุดของชั้นวางหนังสือ แล้วใช้มือที่สวมถุงมือหนาๆ หยิบของต่างๆ ออกมาทีละชิ้น
ของเหล่านั้นดูเหมือนจะถูกทิ้งไว้นานมาก ถึงแม้ว่าลอนดอนจะไม่ใช่เมืองที่มีฝุ่นมากนัก แต่ของทุกชิ้นก็ปกคลุมไปด้วยฝุ่นหนาเตอะ
เมื่อหนังสือถูกหยิบออกมาจากช่องชั้นวาง ฝุ่นก็ฟุ้งกระจายไปทั่วห้องเล็กๆ โชคดีที่เหลียงเอินสวมหน้ากากกันฝุ่นแบบใช้สำหรับพ่นสีจึงไม่เป็นอะไร
ด้วยเหตุผลบางอย่าง หลังจากเรียนจบมหาวิทยาลัยในไอร์แลนด์ เหลียงเอินไม่ได้ทำงานที่เกี่ยวข้องกับสาขาที่เรียน แต่กลับเลือกทำอาชีพนักล่าสมบัติอิสระในลอนดอน
น่าเสียดายที่โชคไม่ดีนัก สองเดือนที่ผ่านมาเขาทำงานเป็นแค่คนขนของ ตระเวนรับซื้อของเก่าต่างๆ
แต่ตอนนี้โชคชะตาเริ่มเข้าข้างเขาเสียที หลังจากไปตรวจสอบบ้านมาแล้วหกหลัง ในที่สุดเขาก็พบสิ่งของมีค่าในบ้านหลังที่เจ็ดที่เขาได้รับการว่าจ้างให้มาทำความสะอาด
“ถ้าไม่ได้อีกคงต้องขอเงินพ่อแม่แล้วล่ะ ครั้งนี้ขอให้ได้เงินเยอะๆ หน่อยเถอะ” เหลียงเอินบ่นพึมพำไปพลางขนของไปพลาง
หนังสือที่ซ่อนอยู่หลังชั้นวางมีไม่มากนัก และดูเหมือนจะไม่เก่าจนใกล้พัง ใช้เวลาเพียงสิบนาที เขาก็จัดเรียงของสิบกว่าชิ้นบนโต๊ะริมหน้าต่าง
ของเหล่านั้นเป็นหนังสือที่ดูเหมือนหุ้มด้วยปกหนังแท้หรือหนังเทียม เนื่องจากราคาหนังสือในยุโรปโดยทั่วไปค่อนข้างสูง หนังสือปกแข็งแม้จะเป็นมือสองก็ยังขายได้ราคาดี
จากนั้นเขาก็ค้นหาทุกซอกทุกมุม เมื่อแน่ใจแล้วว่าตรวจสอบห้องนั่งเล่นเล็กๆ นี้เสร็จสิ้นและไม่มีอะไรตกหล่น เหลียงเอินก็เริ่มจัดการกับของที่ได้มาวางไว้บนโต๊ะตัวเดิม
“ดอกไม้ทรนงกับชายชาติผยอง(1) ปี 1962 ฮอบบิท ปี 1968 อะเทลอ็อฟเดอะทูซิตีส์ ปี 1951...”
หลังจากเช็ดฝุ่นหนาๆ บนปกหนังสือด้วยผ้าแห้ง เหลียงเอินพบว่าหนังสือเหล่านี้ล้วนเป็นหนังสือปกแข็งที่ตีพิมพ์ก่อนปี 1970 ทั้งหมด
แม้ว่าหนังสือสิบกว่าเล่มนี้จะดูเก่า แต่เมื่อเปิดดู เหลียงเอินพบว่าหนังสือเหล่านี้ส่วนใหญ่ยังใหม่เอี่ยม ดูเหมือนไม่เคยถูกเปิดอ่านเลย
หนังสือเก่าในอังกฤษราคาไม่ใช่ถูกๆ ดังนั้นหนังสือเหล่านี้สามารถขายได้อย่างน้อยสี่ถึงห้าร้อยปอนด์
เห็นได้ชัดว่า เนื่องจากผู้อยู่อาศัยในตึกแถวเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นคนงานที่มีรายได้น้อย หนังสือวรรณกรรมปกแข็งแบบนี้จึงไม่น่าใช่ของที่พวกเขาซื้อเอง
จากสถานการณ์ปัจจุบัน เหลียงเอินตัดสินใจได้อย่างง่ายดายว่าผู้อยู่อาศัยก่อนหน้าคงได้หนังสือเหล่านี้มาโดยบังเอิญ แล้วก็ทิ้งไว้จนฝุ่นจับ
จนกระทั่งเจ้าของบ้านต้องการขายบ้าน เหลียงเอินได้รับการว่าจ้างให้มาทำความสะอาดบ้านที่ถูกทิ้งร้างมานานอย่างน้อยหนึ่งหรือสองปี จึงได้พบกับหนังสือชุดนี้
การค้นพบดังกล่าวทำให้เหลียงเอินรู้สึกตื่นเต้น เพราะหนังสือปกแข็งเหล่านี้แม้จะเป็นหนังสือขายดีทั่วไป แต่ถ้าขายเป็นหนังสือมือสองในร้านรับซื้อที่เหมาะสม อาจขายได้ในราคาสี่ถึงห้าร้อยปอนด์ทีเดียว
สำหรับงานปัจจุบันของเขา งานทำความสะอาดธรรมดาแทบจะหาเงินไม่ได้เลย รายได้หลักจริงๆ คือการหาของที่คนอื่นไม่ต้องการหรือลืมไว้ในระหว่างการทำความสะอาด เช่นเดียวกับสัญญาที่เหลียงเอินเซ็น ค่าจ้างที่เจ้าของบ้านจ่ายให้เหลียงเอินเป็นเพียงครึ่งเดียวของราคาตลาด แต่ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า นอกเหนือจากตัวบ้านแล้ว สิ่งของอื่นๆ ที่พบทั้งหมดจะตกเป็นของเขา
แต่การจะหาของดีได้หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับโชคล้วนๆ ช่วงสองเดือนที่ผ่านมาที่เขาทำงานทำความสะอาดหลายครั้ง สิ่งที่เขาได้มากที่สุดคือการพบไฟแช็กซิปโป้ฝาเงินรุ่นลิมิเต็ดเอดิชั่นแกะสลักในกองขยะของบ้านหลังหนึ่ง แล้วแลกเป็นเงินได้หนึ่งร้อยห้าสิบปอนด์กว่าๆ
หลังจากตรวจสอบหนังสือราคาแพงเหล่านี้ทั้งหมดและบรรจุลงในกระเป๋าหนังสือใบใหญ่ที่เขาเตรียมมา เหลียงเอินก็เอาเก้าอี้มาวาง ถอดหน้ากากกันฝุ่นออก นั่งลงที่หน้าต่างพลางสูดอากาศบริสุทธิ์ มองท้องฟ้าสีครามกับเมฆขาว แล้วก็เหม่อลอย
เขาอายุ 24 ปี มาจากโลกคู่ขนาน สองเดือนก่อน เขาตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าชีวิตของเขาเปลี่ยนไปเป็นคนอื่นในโลกใบนี้
หลังจากใช้เวลาหลายวันในการสรุปความทรงจำในหัว เหลียงเอินพบว่าประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ และการเมืองของทั้งสองโลกนั้นแตกต่างกันเล็กน้อย อาจมองได้ว่าเป็นโลกคู่แฝด
อย่างเช่น โลกนี้ก็มีราชวงศ์โจว ฉิน ฮั่น ถังเช่นกัน มีทวีปยุโรป เอเชีย แอฟริกา แม้แต่เครือญาติของเขาก็เหมือนกับชาติที่แล้ว แทบไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
เหตุผลที่ใช้คำว่า ‘แทบ’ เพราะโดยรวมแล้วทั้งสองโลกไม่แตกต่างกันมากนัก แต่ในบางแง่มุมเล็กๆ น้อยๆ ทั้งสองโลกกลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ตัวอย่างเช่น ความเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่ที่สุดของเหลียงเอินเมื่อเทียบกับตัวเขาในโลกก่อน คือการเปลี่ยนจากคนจีนเป็นคนเชื้อสายจีน-ไอริช
เหตุผลที่เกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ เพราะญาติของเขาในโลกนี้ซึ่งห่างหายไปนานกว่าครึ่งศตวรรษ เลือกผู้สืบทอดมรดกเป็นพ่อของเหลียงเอิน ไม่ใช่ลุงของเขาเหมือนในโลกเดิม
ส่วนเหตุผลที่เลือกทำงานนี้ก็ง่ายมาก นั่นคือสิ่งที่ติดตัวเขามาด้วยนอกจากความทรงจำแล้ว ก็คือสิ่งที่เรียกว่ามรดกของนักสำรวจประวัติศาสตร์ เพื่อที่จะเปิดใช้งาน ‘สกิลพิเศษ’ นี้ เขาต้องทำตามเงื่อนไขต่างๆ
แต่เขาไม่คาดคิดว่างานนี้จะยากลำบากในการหาเงินมาก จนถึงตอนนี้ เงินที่เขามีก็เพียงพอแค่ดำรงชีวิตให้รอดไปวันๆ เท่านั้น
“ไพ่” เมื่อนึกถึงตรงนี้ เหลียงเอินก็ใช้ความคิดเรียกใช้ฟังก์ชันเดียวที่สามารถใช้ได้ในสกิลพิเศษของเขา ทันใดนั้น ไพ่ใบหนึ่งก็ปรากฏขึ้นบนจอประสาทตา
นี่คือสกิลพิเศษของเหลียงเอินอันเป็นรูปธรรมของมรดกนั้น แต่ที่น่าเสียดายคือ ตอนนี้ไพ่ใบนี้เป็นสีเทา หมายความว่ามันยังไม่ถูกเปิดใช้งาน
ตรงกลางไพ่ ตัวอักษรสีทองปรากฏอยู่บนนั้น [การสำรวจเสร็จสมบูรณ์ สามารถเปิดใช้งานได้]
“หืม?” เมื่อเห็นคำว่า ‘สามารถเปิดใช้งานได้’ ในส่วนสถานะสุดท้าย เหลียงเอินก็ลุกพรึ่บอย่างรวดเร็วจนเก้าอี้ล้มคว่ำ
เพราะก่อนหน้านี้ ถ้อยคำบนไพ่จะปรากฏคำว่า ‘การสำรวจไม่เสร็จสมบูรณ์’ และคำสุดท้ายก็คือ ‘ยังไม่เปิดใช้งาน’ อยู่เสมอ
“หมายความว่า การที่ฉันหาหนังสือพวกนี้เจอ นับเป็นการสำรวจที่ได้รับการยอมรับ ส่วนก่อนหน้านี้ไม่ว่าจะเป็นการอ่านหนังสือหรือการเจอไฟแช็กสีเงินก็ไม่นับสินะ” เหลียงเอินที่สงบสติอารมณ์ลงแล้วสรุปกฎออกมาได้อย่างรวดเร็ว
จากการคาดเดาของเขา หนังสือเหล่านี้ถือว่าเป็นสิ่งของที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ ดังนั้นการหาหนังสือเหล่านี้เจอจึงถือเป็นการสำรวจที่ได้รับการยอมรับจากสกิลพิเศษ ส่วนไฟแช็กนั้น คุณค่าทางประวัติศาสตร์น้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด
“เอาล่ะ ลองดูซิว่าแกเป็นไอเทมแบบไหนกันแน่” หลังจากสูดหายใจเข้าลึกๆ เหลียงเอินก็ใช้ความคิดของเขาแตะที่ไพ่ใบนี้
………………………………………………
• ดอกไม้ทรนงกับชายชาติผยอง (Pride and Prejudice) นวนิยายเชิงเรียลลิสติก บทประพันธ์ของ เจน ออสเตน ในยุคสมัยนั้นยังเป็นยุคของนิยายเชิงเพ้อฝัน แต่ถือว่าแหวกประเพณีการประพันธ์ในยุคเดียวกันอย่างมาก หนังสือได้รับคำวิจารณ์ค่อนข้างดี และขายหมดในเวลาอันรวดเร็ว แม้แต่ในปัจจุบัน สาวทรงเสน่ห์ ติดอันดับหนังสือยอดนิยมในการสำรวจของสถาบันการศึกษาต่างๆ ตลอดจนองค์กรหนังสือทั่วโลก