ตอนที่แล้วบทที่ 11 หุบเขานอกเมือง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 13 สำนักเงาพฤกษา

บทที่ 12 เข้าหุบเขา


บทที่ 12 เข้าหุบเขา

“ขอรับใต้เท้า” ทุกคนตอบรับโดยพร้อมกัน จี้กุนซือโบกมือตอบและพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนลง “เฉินอันและหลี่อินอยู่ก่อน ส่วนพวกเจ้ากลับไปทำงานได้”

ภายหลังทุกคนแยกย้าย ที่ตรงนี้จึงเหลือทหารเพียงแค่สองคนยืนอยู่ตรงกลาง หลี่เหยียนมองพวกเขา คนหนึ่งอายุราวสามสิบกว่า อีกคนอายุราวยี่สิบกว่า ทั้งสองสูงไล่เลี่ยกัน คนที่มีอายุมากกว่าหน้าค่อนข้างเหลี่ยมและผิวแดง ส่วนคนที่อายุน้อยกว่าหน้ากลม ตาโต และผิวขาว

คนทั้งสองสวมใส่ชุดทหาร จี้กุนซือชี้ไปยังคนหน้าเหลี่ยมและแนะนำตัวให้ “เขาชื่อเฉินอัน” ถัดจากนั้นจึงชี้ไปยังอีกคนหนึ่ง “ส่วนคนนี้หลี่อิน ปกติพวกเขามีหน้าที่ดูแลเรื่องจิปาถะในหุบเขา ทราบเรื่องราวในกองทัพดี หากข้าไม่อยู่ เจ้าก็ออกคำสั่งกับพวกเขาได้ หากจะเข้าเมืองไปทำงานก็ให้พวกเขาร่วมทางไปด้วย ประการแรกเลย มีพวกเขาเจ้าจะทำงานได้สะดวก ส่วนประการที่สอง พวกเขาจะคอยดูแลความปลอดภัยของเจ้า เพราะที่นี่คือเมืองชายแดน ทหารข้าศึกมักจะลักลอบเข้ามาสืบข่าว หากทราบว่าเจ้าเป็นศิษย์ข้าคงประสงค์ร้าย”

หลี่เหยียนได้ยินจึงรู้สึกกังวล แต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกอบอุ่นและโค้งคำนับตอบรับ “ขอบคุณท่านอาจารย์ขอรับ” ก่อนหน้านี้ ตอนเขาเรียกหาอีกฝ่ายเป็นอาจารย์ยังค่อนข้างขัดเขิน ทว่าปัจจุบันสามารถเรียกออกมาได้จากใจจริง

เฉินอันกับหลี่อินพลันประสานมือคารวะจี้กุนซือ “ขอรับใต้เท้า วางใจได้เลยขอรับ”

“ดี พวกเจ้าไปเตรียมของใช้จำเป็นให้เขาเสีย เรียบร้อยแล้วให้นำไปส่งมอบ”

“ขอรับใต้เท้า”

กล่าวคำจบเรียบร้อย จี้กุนซือจึงเรียกหลี่เหยียนและเดินนำเข้าไปด้านใน หลี่เหยียนหันหลังให้จึงไม่ได้เห็น ว่าเฉินอันและหลี่อินกำลังมองหน้ากันและหันมองแผ่นหลังของเขาด้วยสายตาที่ผันแปร

หลี่เหยียนคิดว่าตนเองจะได้อยู่ในบ้านหินสักหลังจากสองแถวด้านข้าง แต่กลับได้เห็นอาจารย์เดินนำตรงไปโดยไม่สนใจบ้านสองข้างทาง ยามเมื่อเดินผ่านบ้านหินหลังสุดท้ายจึงเลี้ยวขวาจนได้เห็นหุบเขา บนหน้าผาข้างทางปรากฏตัวอักษรสีแดงเขียนเอาไว้ว่า “จวนกุนซือ”

หลี่เหยียนที่พบเห็นจึงคิด ว่าที่นี่เป็นหุบเขา เหตุใดเรียกว่าจวนกุนซือ แต่เขาก็ยังคงเดินตามอาจารย์เข้าไปด้านในหุบเขาต่อ

ด้านในหุบเขาขนาดไม่ใหญ่ กว้างประมาณห้าถึงหกสิบจ้าง สามด้านเป็นภูเขาที่มียอดสูงชัน ทางลาดแทบจะเป็นแนวตั้ง มีต้นไม้และพุ่มไม้ที่สูงบ้างเตี้ยบ้างขึ้นเต็มตั้งแต่ตีนเขาถึงยอดเขา กล่าวคือมีทางเข้าออกได้เพียงหนึ่ง และมีบ้านหินเรียงกันอยู่ทางขวาประมาณสามถึงสี่หลัง ปัจจุบันฟ้ามืดแล้วจึงมองไม่ค่อยเห็นด้านในหุบเขา

ทันใดนี้เองที่ปรากฏเสียงฝีเท้าดังตามจากด้านหลัง หลี่เหยียนหันกลับไปมอง พบเห็นคนสองคนเดินมาในความมืด เมื่อเข้ามาใกล้ได้ระยะ จึงเห็นว่าเป็นเฉินอันกับหลี่อิน

คนทั้งสองถือสิ่งของมา คาดว่าเป็นของใช้ที่อาจารย์สั่งให้เตรียม และพวกเขาค่อนข้างตามมาเร็วมาก เห็นได้ว่าใช้เวลาจัดเตรียมแค่เล็กน้อย

คนทั้งสองเดินผ่านหลี่เหยียนไปยังบ้านหิน ไม่ช้าจึงปรากฏแสงไฟสว่างขึ้นด้านในบ้าน พวกมันลอดผ่านหน้าต่างและประตู ทำให้มองเห็นด้านในหุบเขาได้ชัดมากขึ้น

จี้กุนซือหันไปพูดกับหลี่เหยียนว่า “วันนี้ดึกแล้ว เดี๋ยวเฉินอันกับหลี่อินจะพาเจ้าไปดูรอบ ๆ กินข้าวแล้วนอนเสีย วันนี้เจ้าเดินทางจากบ้านมาร่วมร้อยลี้ พักผ่อนเสียก่อน พรุ่งนี้เช้าค่อยมาพบข้า แล้วเดี๋ยวข้าจะเล่าเรื่องราวของสำนักให้ฟัง”

ขณะกำลังพูดกล่าว เฉินอันกับหลี่อินก็เดินกลับมาพร้อมสีหน้ายิ้มแย้ม “คุณชายหลี่ ที่นี่มีคนแวะเวียนมาทำความสะอาดทุกวันอยู่แล้ว พวกเขาเพียงแค่เอาของใช้มาให้ขอรับ”

จี้กุนซือพบเห็นพวกเขามาแล้วจึงสั่งต่อ “พวกเจ้านำหลี่เหยียนไป ประเดี๋ยวนำอาหารมาให้ก็พอ” พูดจบ เขาจึงยิ้มให้หลี่เหยียนก่อนจะเดินต่อไปยังบ้านหินหลังแรกที่ใกล้กับทางเข้าและหายเข้าไปด้านในบ้าน

หลี่เหยียนมองแผ่นหลังของจี้กุนซือพลางคิดในใจ ‘ท่านอาจารย์ทำงานรวดเร็วและเด็ดขาดดีจริง’

เฉินอันยิ้มแย้มพลางกล่าวคำออก “เช่นนั้นเชิญคุณชายหลี่ทางด้านนี้ขอรับ” หลี่เหยียนขอบคุณตอบรับและเดินตามพวกเขาไป

เฉินอันเป็นคนช่างพูด ส่วนหลี่อินเพียงแค่ทำตาม ทว่าทำงานว่องไว นานครั้งจะมีพูดส่งเสียงบ้าง ขณะพวกเขาพูดคุยกันไป หลี่เหยียนเริ่มทราบเรื่องราวต่าง ๆ ที่แท้แม่ทัพหงจะจัดหาจวนในเมืองให้จี้กุนซือ เพียงแต่จี้กุนซือรักความสงบและไม่อยากอยู่ในเมือง สุดท้ายจึงเลือกหุบเขาแห่งนี้และแยกออกมาอยู่เพียงผู้เดียว แต่แม่ทัพหงหรือจะยอมให้ขุนนางคนหนึ่งมาอยู่ในที่เช่นนี้ กระทั่งพยายามเกลี้ยกล่อมหลายต่อหลายครั้ง แต่จี้กุนซือก็ยังยืนกรานไม่ยอมเข้าเมือง

แม่ทัพหงจึงทำได้แค่ให้คนมาคอยช่วยทำความสะอาดในหุบเขาและถางป่าภายนอก รวมถึงจัดการสร้างบ้าน ส่งทหารมาเฝ้ายาม รวมถึงบ่าวไพร่สำหรับดูแลความเป็นอยู่ แต่สุดท้ายจี้กุนซือตอบรับเอาไว้แค่ทหารยี่สิบนายกับผู้หญิงสำหรับทำงานบ้านสามคน ส่วนอื่นที่เหลือส่งกลับไปหมดสิ้น อันที่จริงจี้กุนซืออยากอยู่ตามลำพังด้วยซ้ำ แต่อีกทางก็ไม่อยากขัดใจผู้เป็นแม่ทัพ ส่วนจวนกุนซือนั้นก็ตั้งไปตามตำแหน่ง

ในหุบเขามีบ้านสี่หลัง หลังแรกใกล้กับทางเข้า เป็นที่อยู่ของจี้กุนซือ หลังข้างกันสำหรับใช้ฝึกวิทยายุทธ์ ส่วนอีกสองหลังว่างเปล่าไร้คนอยู่อาศัย

เฉินอันกล่าวว่า ปกติที่แห่งนี้ห้ามผู้ใดเข้า ยกเว้นจี้กุนซือจะอนุญาตแล้วจึงทำได้ นอกเหนือจากนั้นจะมีเพียงแค่คนส่งอาหารและทำความสะอาดที่เข้ามาได้ หากไม่แล้วจะถูกจี้กุนซือไล่ออกไป และยามใดกลับเข้าเมือง เมื่อนั้นจะถูกแม่ทัพหงลงโทษ และนอกจากบ้านทั้งสี่หลัง ในหุบเขายังมีห้องน้ำและห้องอาบน้ำอยู่ที่มุมบ้าน

สุดท้าย หลี่เหยียนจึงเลือกบ้านหินหลังที่อยู่ลึกสุดติดกับหน้าผา เฉินอันเดินนำเข้าไปก่อนเพื่อจัดการวางที่นอนไว้บนเตียง ส่วนหลี่อินกับหลี่เหยียนเดินตามหลังเข้าไป

ภายในบ้านหินค่อนข้างกว้างขวาง คาดว่าเพราะเป็นทหารสร้างและเน้นด้านการใช้งาน มันจึงกว้าง แข็งแรง และทนทาน

ส่วนประตูบ้านหันไปทางทิศใต้ สภาพค่อนข้างแตกต่างจากด้านในหุบเขา เพราะพื้นบ้านปูด้วยหินกับเศษหินค่อนข้างสะอาดเป็นระเบียบ รวมถึงมีเครื่องเรือนที่จำเป็นครบครัน แต่พอวางอยู่ในบ้านหลังใหญ่จึงดูเล็กไปบ้าง

ติดผนังด้านเหนือมีเตียงไม้ขนาดใหญ่วางอยู่ รวมถึงชั้นวางอ่างล้างหน้าและอุปกรณ์สำหรับล้างหน้าอยู่ติดกับผนังทางด้านตะวันออก และยังมีชั้นวางหนังสือสี่ชั้นอยู่ติดกับผนังด้านตะวันตก บนชั้นมีหนังสือวางเรียงอยู่จำนวนหนึ่ง

นอกจากตรงนี้ตรงหน้าต่างด้านทิศใต้ยังมีโต๊ะไม้ตั้งอยู่ บนโต๊ะวางไว้ซึ่งถ้วยชา กาน้ำ เก้าอี้สองตัว รวมถึงกล่องไม้ไผ่สีน้ำตาลสองใบข้างโต๊ะวางเรียงและสูงเกือบเท่าโต๊ะ คาดว่าคงเอาไว้ใส่เสื้อผ้าและของใช้

ด้านทิศเหนือและทิศตะวันตกของบ้านหินติดกับภูเขา ทางตะวันออกติดกับบ้านหลังอื่น ดังนั้นจึงมีหน้าต่างบานใหญ่เพียงแค่ด้านเดียวกับที่เป็นประตูหัน ทิศหันเข้าไปในหุบเขามีหน้าต่างสูงแบ่งเป็นช่องที่เปิดเอาไว้เพื่อไม่ให้มีกลิ่นอับ นอกจากนี้ยังมีลมเย็นพัดเข้ามาทำให้รู้สึกสบาย

“คุณชายหลี่เชิญพักผ่อนก่อนนะขอรับ ในกาน้ำเป็นน้ำร้อน ประเดี๋ยวจะมีคนนำอาหารมาส่งให้ พวกข้าไม่อาจอยู่ที่นี่นานนัก ใต้เท้าจี้ไม่ชอบให้คนนอกอยู่ที่นี่ หากว่าไม่มีอะไรแล้ว พวกข้าขอตัวก่อนขอรับ” เฉินอันและหลี่อินที่วางของเสร็จเรียบร้อยจึงหันมาบอกกล่าวกับหลี่เหยียน

หลี่เหยียนที่กำลังสำรวจห้อง ยามได้ยินเช่นนั้นจึงรีบหันมองพวกเขา “ขอบคุณขอรับ เชิญพวกท่านทั้งสองทำธุระตามสบายขอรับ” คนทั้งสองคารวะตอบรับแล้วจึงเดินออกไป

หลี่เหยียนเดินไปที่โต๊ะ วางห่อผ้าไว้บนโต๊ะและเดินต่อไปยังกล่องหวายสีน้ำตาลข้างโต๊ะ ยามเปิดกล่องทั้งสองใบ พบว่าด้านในว่างเปล่า แต่มีผ้าสีดำปูรองเอาไว้ คาดว่าน่าจะเอาไว้ใส่เสื้อผ้า

หลี่เหยียนเดินกลับไปหยิบห่อผ้าบนโต๊ะและกางออก เพื่อนำเสื้อผ้าฝ้ายหยาบหลายตัวออกมาวางเรียงไว้ในกล่อง เสื้อผ้าเหล่านี้ พี่สาวสี่กับแม่เป็นคนเย็บให้เขาด้วยตัวเอง แม้เนื้อห้าค่อนข้างหยาบ และบางตัวยังตัดเย็บจากเสื้อผ้าเก่า แต่หลี่เหยียนกลับรู้สึกอบอุ่น ราวกับว่าแค่ได้เห็นพวกมันก็เหมือนอยู่ใกล้บ้าน และเหมือนได้เห็นแม่กับพี่สี่

สัมภาระที่เขานำมาด้วยไม่ได้มากมาย ขณะที่กล่องใส่ค่อนข้างใหญ่ เขานำเสื้อผ้าเหล่านั้นทั้งหมดใส่ลงไปในกล่องใบเดียวก็ใช้พื้นที่ไปเพียงแค่สามถึงสี่ในสิบ หลี่เหยียนครุ่นคิด สุดท้ายจึงนำผักดองและเสบียงในห่อผ้าออกมาวางเรียงไว้บนโต๊ะข้างผนัง โดยไม่ได้ใส่พวกมันลงในกล่องอีกใบ

ภายหลังปิดกล่อง หลี่เหยียนจึงดึงเก้าอี้มานั่งหน้าโต๊ะ รินน้ำใส่แก้ว พบว่าน้ำยังร้อน คาดว่าคงมีคนเพิ่งนำมาเปลี่ยน รวมถึงทำความสะอาดที่นี่ทุกวัน

วันนี้นับเป็นวันที่ชวนเหนื่อยล้า ทั้งเดินทางไกลร่วมสองร้อยลี้ ระหว่างทางยังได้กินแค่เสบียงกับน้ำเล็กน้อย ตอนนี้จึงทั้งหิวและกระหายน้ำ ร่างกายยังอ่อนเพลีย ภายนอกก็มืดมากแล้ว ตอนนี้เขาจึงไม่มีอารมณ์ออกไปรับชมทัศนียภาพ ได้แต่นั่งดื่มน้ำพลางคิดอะไรไปเรื่อย

หลี่เหยียนทบทวนเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ และการที่เขาได้มานั่งที่นี่มันเหมือนดังฝันไป จนกระทั่งผ่านไปสักพักหนึ่ง ภายหลังได้ดื่มน้ำดับกระหายจึงเริ่มรู้สึกหิวและอ่อนเพลียมากยิ่งขึ้นจนคิดในใจว่า ‘โชคดีที่วันนี้อาจารย์ไม่ได้สั่งให้ทำอะไร หากไม่แล้วคงไม่มีเรี่ยวแรง ถึงเวลาคงได้ขายหน้าเป็นแน่’

และขณะกำลังครุ่นคิดอะไรไปเรื่อย ตอนนี้เองที่ด้านนอกปรากฏเสียงฝีเท้า ประตูบ้านไม่ได้ปิด และที่นี่ก็เป็นหุบเขา กลางคืนจึงได้ยินเสียงฝีเท้าที่ค่อนข้างชัดเจน หลี่เหยียนจึงคิดว่าน่าจะเป็นคนมาส่งอาหาร ยามนี้หันไปมอง จึงได้เห็นว่ามีคนยืนอยู่หน้าประตู เป็นผู้หญิงคนหนึ่งถือถาดไม้ยืนอยู่

หลี่เหยียนลุกขึ้นเดินไปที่ประตู พบเห็นผู้หญิงคนนั้นยืนอยู่ด้วยท่าทีนอบน้อม เขาจึงต้องเอ่ยคำด้วยความสุภาพว่า “ห้องครัวอยู่ตรงใดกัน ครั้งหน้าข้าไปรับมาเองดีกว่า”

ผู้หญิงคนนั้นที่ได้ยินจึงหน้าซีดรีบร้อนตอบคำกลับ “คุณชายหลี่ เช่นนั้นไม่ได้ หากใต้เท้าจี้ทราบเรื่องพวกเราได้แย่แน่เจ้าค่ะ” ขณะหลี่เหยียนกำลังรับถาดกลายเป็นต้องชะงัก กระทั่งถามออกด้วยความสงสัย “เพราะอะไรกัน?” อีกฝ่ายจึงตอบกลับมา “สถานที่เช่นนั้นจะให้ใต้เท้ากับคุณชายเข้าไปได้อย่างไร เป็นที่สำหรับบ่าวไพร่ในครัวเรือนเจ้าค่ะ”

หลี่เหยียนที่ได้ยินยิ่งงุนงง แต่คิดอยู่ครู่หนึ่งก็เข้าใจ เพราะตอนเขาอยู่บ้านนั้นคิดไปไหนก็ไปได้ แต่ตอนนี้และที่นี่ สถานะของเขาเปลี่ยนไปแล้ว แต่เพราะเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันจึงยังไม่ชิน ทว่าเขาก็ทราบดีว่าเรื่องราวของชนชั้นมันเป็นเช่นนี้ กฎของสังคมไม่ใช่อะไรที่เขาจะเปลี่ยนแปลงมันได้ ยามนี้จึงรับถาดมาและตอบรับ “เช่นนั้นครั้งหน้าก็เพียงนำอาหารมาวางไว้บนโต๊ะในบ้านก็แล้วกันขอรับ”

ผู้หญิงคนนั้นที่ได้ยินจึงมองมา และราวกับนึกอะไรขึ้นได้ “คุณชายหลี่ ที่หุบเขานี้ นอกจากส่งข้าวกับทำความสะอาดแล้ว พวกข้าไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามา ใต้เท้าจี้ยังกำชับเอาไว้ว่าห้ามเข้าบ้านสี่หลังที่นี่ เพราะเดี๋ยวจะรบกวนเวลาท่านทำงาน

ทุกครั้งที่ท่านกลับมาจะปิดประตูเอาไว้ หากพวกข้าได้เห็นป้ายไม้แขวนที่มือจับประตูบ้าน ก็จะวางอาหารไว้บนแท่นหินหน้าบ้าน ผ่านไปชั่วระยะจึงแวะมาเก็บ ถ้าหากท่านไม่ได้กินก็จะเอากลับไป ทำใหม่ และนำมาส่งอีกครั้ง

ส่วนเรื่องการทำความสะอาดห้องของใต้เท้าจี้ก็จำเป็นต้องให้ท่านอนุญาตเสียก่อนจึงมีคนเข้ามาทำ ส่วนห้องของคุณชายกับห้องข้างเคียงที่ไม่มีคนอยู่ พวกข้าจะคอยแวะเวียนมาทำความสะอาดทุกวันโดยไม่ต้องขออนุญาตใต้เท้าจี้ เพียงแต่ปัจจุบันคุณชายมาอยู่ที่นี่แล้ว พวกข้าก็เข้ามาไม่ได้แล้วเจ้าค่ะ"

หลี่เหยียนที่ได้ฟังจึงเพิ่งสังเกตเห็น ว่าบริเวณมือจับประตูมีป้ายไม้สีดำแขวนเอาไว้ คาดว่าอาจารย์คงใช้งานในช่วงที่ฝึกเวลา การแขวนเอาไว้เพื่อบอกกล่าวว่าห้ามรบกวน ถึงแม้ว่าเขาจะยังไม่ทราบเรื่องของวิทยายุทธ์ที่ซับซ้อนและลึกล้ำ แต่ก็พอได้ยินได้ฟังมาบ้าง กล่าวกันว่าช่วงเวลาที่ฝึกพลังภายในห้ามมีการรบกวน หากไม่แล้วจะเกิดปัญหาขึ้น ยามนี้คิดได้แล้วก็เข้าใจ

อีกฝ่ายยังบอกกล่าวส่งท้ายว่า เมื่อใดทานเสร็จแล้วก็เพียงแค่นำจานชามไปวางไว้บนแท่นหินหน้าบ้าน สักพักหนึ่งจะมีคนมาเก็บไป พูดจบคำจึงโค้งคำนับให้หลี่เหยียนและจากไป

อาหารที่นี่ แม้ไม่ใช่อาหารเลิศรส แต่ก็เป็นอาหารที่หลี่เหยียนไม่เคยได้กินมาก่อน เป็นเหตุให้เขากินอย่างเอร็ดอร่อย แต่พอกินไปก็นึกถึงพ่อแม่ที่บ้านและครุ่นคิด ว่าพวกท่านจะได้กินข้าวกันบ้างหรือยัง คิดถึงตนเองหรือไม่ เพียงความคิดเหล่านี้บังเกิดเขาก็รู้สึกเศร้าหมองขึ้นมา

ภายหลังทานเรียบร้อย เขาค่อยลุกขึ้นนำจานชามใส่ถาดและเดินออกไปภายนอก พบว่าหน้าประตูมีแท่นหินอยู่ จึงวางถาดไว้บนนั้น ต่อมาจึงเงยหน้ามองต้นไม้สูงใหญ่ที่ขึ้นเต็มไปหมดจนสุดสายตา พร้อมกับชมดาวที่สาดส่องแสงสู่เบื้องล่าง

ภายหลังชื่นชมอยู่ชั่วครู่หนึ่ง เขาหันกลับมาพร้อมได้เห็นว่าไม่ไกลมีบ่อน้ำ มันตั้งอยู่ตรงข้ามกับบ้านหินของเขาและอยู่ใกล้กับแท่นหิน ทว่าตอนนี้เขาเพิ่งจากบ้านเกิดเป็นครั้งแรก ทำให้ความคิดมากมายไหลเวียนฟุ้งซ่านและคิดถึงบ้าน

แน่นอนว่าภายหลังกินอาหารอิ่มท้องย่อมเกิดความง่วงงุน สุดท้ายเขาละทิ้งความคิดเดินเล่น ก่อนจะกลับเข้าบ้านไปล้างหน้าล้างตา ปิดประตูและหน้าต่างให้เรียบร้อย พอนอนบนเตียงก็เกิดคิดถึงพ่อแม่และต้นไม้ใบหญ้าที่หมู่บ้าน สุดท้ายจึงผล็อยหลับไป

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด