ตอนที่ 86 แผนการของฉันคือ… (ฟรี)
ตอนที่ 86 แผนการของฉันคือ…
ขณะที่สวี่จื้อครุ่นคิดถึงสิ่งต่างๆ อยู่พักหนึ่ง เอ้อเมิ่งก็ตื่นขึ้นมาพอดี
เมื่อตื่นจากการหลับใหล ดูเหมือนมันจะรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยต่อความง่วงที่มาเยือนอย่างกะทันหัน เมื่อมันเห็นว่าตัวเองเผลอหลับต่อหน้าสวี่จื้อโดยไม่มีการระวังตัวใดๆ มันกระทืบอุ้งเท้าสองทีด้วยความไม่พอใจ หลังจากได้ระบายอารมณ์แล้ว มันก็สลายกลายเป็นควัน และกลับไปยืนเชิดหน้าบนที่สูงตามเดิม
เมื่อเห็นว่าการยกระดับเสร็จสิ้นแล้ว สวี่จื้อก็หยิบเครื่องเกมขึ้นมา และตรวจสอบแผงสเตตัสของมัน
[ เอ้อเมิ่ง ( เลเวล 2 ) ]
[ จิตวิญญาณ : 150 ]
[ ร่างกาย : 0 ( เนื่องจากแฟมิเลียของคุณเป็นสายพันธุ์พิเศษ การโจมตีทางกายภาพจึงไม่มีผลใดๆ ต่อตัวมัน ) ]
[ พลัง : มอธ ]
[ สกิล : ความฝัน ( เลเวล 3 ) ความกลัว ( เลเวล 3 ) ความโกลาหล ( เลเวล 2 ) ความคล่องตัว ( เลเวล 1 ) หยั่งรู้ ( เลเวล 1 ) ]
[ สกิลพิเศษ : ถักทอฝันร้าย ]
สิ่งเดียวที่เพิ่มขึ้นคือจิตวิญญาณ แต่จากเลเวล 1 ถึงเลเวล 2 มันกลับเพิ่มมามากถึง 50 แต้ม
“นี่มันสุดยอดไปเลย”
เมื่อเทียบดูแล้ว แก่นพลังที่เสียไปนั้นก็ถือว่าคุ้มค่า
หลังจากเสี่ยวเจินกลับมาหลังจากนำทางผู้รอดชีวิตกลุ่มสุดท้ายไปยังฐานในย่านเมืองเกา แฟมิเลียของสวี่จื้อก็ถือว่าอยู่กันครบอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา เมื่อเป็นแบบนี้ เธอก็คิดว่าถึงเวลาจัดการเรื่องของอวี้เสิ่นเวยแล้ว
จากนั้น เธอก็ลูบหัวเสี่ยวไต้ที่ได้รับอนุญาตให้อยู่ในกระเป๋า และเอ่ยปากออกคำสั่งมันว่า
“เอาเมล็ดปรสิตมาให้ฉัน”
เมื่อได้ยิน เสี่ยวไต้ก็โผล่หัวออกจากกระเป๋า ยืดขยายกิ่งก้านบนหัวให้ยาวขึ้น เมื่อผลไม้ขนาดเท่าผลบลูเบอร์รี่สุกงอม มันก็ใช้กิ่งก้านอื่นๆ แทนมือเด็ดผลนั้นออกมา และวางลงฝ่ามือของสวี่จื้อด้วยความแข็งขัน จากนั้นก็ทำท่าเหมือนกับถูกมือไปมา แสดงอารมณ์ออกมาเพื่อบ่งบอกถึงความเหนื่อยล้า
“พอเลย อย่าเสแสร้งให้มากนัก” สวี่จื้อกล่าว แค่นี้จะเหนื่อยได้ยังไง มันก็แค่ผลๆ เดียวเท่านั้น
“เอางี้ หลังจากฆ่าคนพวกนั้นทั้งหมดแล้ว แก่นพลังครึ่งหนึ่งที่ได้มา ฉันจะเอามาให้กิน”
ส่วนที่เหลืออีกครึ่งหนึ่ง เธอจะเก็บเอาไว้ใช้สำหรับจุดประสงค์อื่น
ทันทีที่มันได้ยินว่ามีอาหาร ตัวมันที่ยังไม่ค่อยฉลาดนักก็ลืมการเสแสร้งแบบเด็กๆ ก่อนหน้านี้ไปเสียสนิท และส่ายตัวไปมาด้วยความสุข
เมื่อสวี่จื้อได้เห็น เธอก็รู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย ดูเหมือนเหล็กก้อนนี้ยากที่จะหลอมเป็นดาบจริงๆ
เอ้อเมิ่งตอนที่อยู่ในเลเวล 1 ยังดูฉลาดกว่ามันที่อยู่ในเลเวล 26 เสียอีก
หลังจากเห็นทุกสิ่งจากมุมสูง สีหน้าของเอ้อเมิ่งก็เต็มไปด้วยความดูถูกเหยียดหยามเหมือนกับมนุษย์
เมื่อเห็นแฟมิเลียทั้งสองที่ยากจะควบคุม และดูแล สวี่จื้อก็รู้สึกปวดหัว
หากอยู่ในสถานการณ์วิกฤต เธอจะยังพึ่งพาพวกมันได้อยู่หรือเปล่าเนี่ย
หลังจากได้รับเมล็ดปรสิต สวี่จื้อก็เก็บเสี่ยวไต้เข้าไปในกระเป๋าแล้วเดินออกจากห้อง มุ่งตรงไปหาฮั่วเจ๋อ และพูดกับเขาว่า “ลองกินนี่ดูหน่อย”
ฮั่วเจ๋อตาบอดจึงมองไม่เห็น แต่เมื่อสวี่จื้อขอให้เขายื่นมือออกมา เขาก็รู้สึกได้ว่ามีของเล็กๆ บางอย่างตกลงมาบนฝ่ามือนั้น
“นี่คืออะไร?” น้ำเสียงของฮั่วเจ๋อค่อนข้างไม่สบายใจ
“ผลไม้ที่ฉันเก็บได้จากข้างนอก มันดูเหมือนผลบลูเบอร์รี่ แต่ฉันไม่แน่ใจว่ามันมีพิษหรือเปล่า จึงอยากให้นายลองกินดูก่อน”
สีหน้าของฮั่วเจ๋อดูตื่นตระหนกหลังจากได้ยิน “จำเป็นต้องกินของแบบนี้ด้วยเหรอ?”
“ฉันบอกให้กินก็กินสิ จะพูดมากไปทำไม”
สวี่จื้อไม่คิดจะให้ทางเลือกอื่น น้ำเสียงของเธอจึงเข้มขึ้น เมื่อฮั่วเจ๋อได้ยินน้ำเสียงของเธอ เขาก็ไม่กล้าปฏิเสธ ดังนั้นเขาจึงทำได้แค่โยนผลไม้เข้าปากด้วยหน้าตาบูดบึ้ง เขาไม่กล้าเคี้ยวมันด้วยซ้ำ และกลืนมันลงท้องตรงๆ
หากปราศจากการกระตุ้นจากเสี่ยวไต้และสวี่จื้อ เมล็ดปรสิตก็จะไม่งอกเงย และจะอยู่อย่างเงียบ ๆ ในร่างกายของโฮสต์ สวี่จื้อรู้เรื่องนี้อย่างชัดเจน แต่เธอก็ยังถามเพื่อปิดบังจุดประสงค์ที่แท้จริงว่า “รู้สึกเป็นไงบ้าง เจ็บตรงไหนบ้างหรือเปล่า มันดูเหมือนน่าจะมีพิษอยู่”
หากมันดูเหมือนจะมีพิษ แล้วทำไมถึงเอามาให้ผมกินล่ะ?
ฮั่วเจ๋อรู้สึกโกรธ แต่เขาไม่กล้าแสดงมันออกมา
ไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองหรือเปล่า แต่จริงๆ แล้วเขารู้สึกไม่ค่อยดีนัก แต่ก็อธิบายไม่ค่อยถูกว่ามันเป็นความรู้สึกยังไงกันแน่ ความรู้สึกนั้นแวบหนึ่งก็หายไป เหมือนไม่มีอยู่จริง
อันที่จริง มันเป็นผลกระทบทางจิต แค่ฮั่วเจ๋อยังไม่รู้ตัวก็เท่านั้นเอง
เพื่อไม่ให้เขาจับพิรุธอะไรได้ สวี่จื้อก็เลือกที่จะพูดเสริมไปอีกประโยค “นายก็ยังดูสบายดีนี่ หรือว่ามันจะเป็นพิษแบบออกฤทธิ์ช้ากันนะ”
เมื่อได้ยิน หัวใจที่ผ่อนคลายลงเล็กน้อยของฮั่วเจ๋อก็กลับมากระสับกระส่ายอีกครั้ง
เมื่อพูดจบ สวี่จื้อก็เดินกลับไปที่ห้อง และเตรียมพักผ่อนสักพักเพื่อออมแรง แม้ว่าร่างกายของเธอจะแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมมากแล้ว แต่จิตใจของเธอก็ยังรู้สึกเหนื่อยล้าอย่างช่วยไม่ได้ พรุ่งนี้จะเป็นการต่อสู้ครั้งใหญ่ เธอจึงไม่อยากให้มีอะไรผิดพลาดเกิดขึ้น
เช้าวันรุ่งขึ้นมาถึง เมื่อเสี่ยวเจินกลับมาจากข้างนอกมือเปล่า สวี่จื้อปลุกทุกคนให้ตื่น
“ทุกอย่างพร้อมแล้ว ถึงเวลาไปจัดการกับผู้บวงสรวงกันแล้ว”
เนื่องจากฮั่วเจ๋อตาบอด สวี่จื้อจึงไม่จำเป็นต้องปิดตาของอวี้เสิ่นเวยอีกต่อไป ในเวลานี้ ฮั่วเจ๋อ ไม่รู้ว่าสถานการณ์ระหว่างตัวเองกับอวี้เสิ่นเวยได้เปลี่ยนไปแล้ว เขาจึงแค่พูดด้วยความลังเลว่า
“ผู้บวงสรวงมีสาวกหลายร้อยคนคอยปกป้องอยู่ หากเรากลับไปทั้งๆ แบบนี้ ยากจะมีโอกาสรอด!”
ฮั่วเจ๋อรู้สึกกังวล แม้ว่าเขาจะรับรู้ว่าสวี่จื้อแข็งแกร่ง แต่เขาก็ไม่เคยเห็นขีดจำกัดสูงสุดของเธอมาก่อน
แม้ว่าสาวกระดับต่ำหลายร้อยคนนั้นจะไม่มีสมอง แต่พวกเขาก็ยังพอจะประสานงานกันภายใต้คำสั่งของผู้บวงสรวงได้ ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่สวี่จื้อจะรับมือได้โดยลำพังอย่างแน่นอน
“นายคิดว่าฉันจะเอาตัวเองไปเสี่ยง และเอาชีวิตตัวเองไปล้อเล่นเหรอ แม้แต่ฉันยังไม่กลัว แล้วนายจะกลัวไปทำไม?”
เมื่อได้ยิน ฮั่วเจ๋อก็รู้สึกว่าสิ่งที่สวี่จื้อพูดนั้นสมเหตุสมผล แต่ในขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกไม่สบายใจมากยิ่งขึ้น เมื่อได้เห็นความมั่นใจของสวี่จื้อ เขาเริ่มรู้สึกว่าสิ่งต่างๆ นั้นต่างจากที่เคยคิดเอาไว้
เขาไม่เข้าใจแผนการของสวี่จื้อ ไม่รู้ว่าเธอต้องการทำอะไรกันแน่ แต่ตอนนี้เขาวิ่งหนีไปไหนไม่ได้ และยังตาบอด จึงมีทางเลือกเดียวนั่นคือ ทำตามความต้องการของเธอ แม้จะรู้สึกไม่สบายใจนัก แต่เขาก็ทำได้เพียงอธิษฐานว่าเธอจะรักษาสัญญา
นี่เป็นความรู้สึกที่มีผู้อื่นควบคุมชะตากรรมของตัวเองอย่างสมบูรณ์งั้นเหรอ?
หลังจากขึ้นรถแล้ว ฮั่วเจ๋อซึ่งไม่เต็มใจที่จะยอมรับชะตากรรมของตัวเอง และรู้สึกทำอะไรไม่ถูก ก็เอ่ยปากถามสวี่จื้อด้วยความลังเลว่า “หลังจากไปถึงที่นั่นแล้ว คุณจะทำยังไงต่อ”
สวี่จื้อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ดูเหมือนว่าเธอกำลังคิดอย่างหนัก จากนั้นก็ให้คำตอบเขาหลังจากนั้นประมาณ 5 วินาที “ฆ่าทุกคนที่ขวางทาง แล้วผลักคนที่ฉันเลือกให้กลายเป็นผู้สมัครตำแหน่งอาร์คบิชอป”
หา ของแบบนั้นจะเรียกว่าแผนการได้ยังไง?
ฮั่วเจ๋อรู้สึกปวดหัวเล็กน้อย แต่เมื่อเขาได้ยินคำว่า ‘ผลักคนที่ฉันเลือกให้กลายเป็นผู้สมัครตำแหน่งอาร์คบิชอป’ เขาก็รู้สึกประหลาดใจ
นั่นไม่ได้พูดถึงเขาหรอกเหรอ?
สวี่จื้อทำตามสัญญาจริงๆ
สำหรับเขา ขอแค่เธอทำตามสัญญาที่ได้ให้ไว้ เขาก็ไม่มีสิ่งใดให้ต้องกังวล
ฮั่วเจ๋อจึงเผยรอยยิ้มแห่งความมั่นใจออกมา
อวี้เสิ่นเวยเห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้นด้วยดวงตาของตัวเอง แต่เธอก็ยังคงนิ่งเงียบ
สวี่จื้อสตาร์ท และเปิดเพลง เมื่อเห็นว่าเป็นเพลงท้องถิ่น เขาก็เดาว่าเจ้าของรถคนก่อนคงจะเป็นชายวัยกลางคน เพราะทุกเพลงล้วนเป็นเพลงยอดนิยมเมื่อ 20 ถึง 30 ก่อน ตอนนี้จึงดูค่อนข้างล้าสมัย
รถของสวี่จื้อแล่นไปตามถนน เคลื่อนตัวผ่านหมอกหนาทึบในเมืองรกร้าง เมื่อเสียงเพลงดังมาจากหน้าต่างที่เปิดอยู่ มันก็ดึงดูดความสนใจของบางสิ่งในเงามือ
สวี่จื้อจึงพูดกับอีกสองคนในรถว่า
“นั่งดีๆ เราจะเลี้ยวหักศอกกันแล้ว”