บทที่ 11 หุบเขานอกเมือง
บทที่ 11 หุบเขานอกเมือง
หลี่เหยียนเดินตามจี้กุนซือไปต่อจนกระทั่งถึงประตูใหญ่ของลานฝึก เพียงก้าวออกจากประตู จี้กุนซือจึงมองยังกลุ่มคนที่กำลังรอคอยอยู่ไกลห่าง สุดท้ายจึงหยุดเท้าหน้าประตู หลี่เหยียนที่เดินตามออกมากำลังจะบอกผู้เป็นอาจารย์ ว่าขอไปแจ้งเรื่องราวให้หลี่กั๋วซินทราบก่อน ทว่ายังไม่ทันได้พูด จี้กุนซือหันกลับมองมาและยิ้มให้ “ในกลุ่มคนที่รออยู่ตรงนั้น มีใครที่มาส่งเจ้าหรือไม่?”
หลี่เหยียนรีบตอบรับ “อาจารย์มีสายตาเฉียบคมขอรับ มีญาติผู้ใหญ่มาส่งข้าอยู่ในกลุ่มคนขอรับ”
“ถ้าเช่นนั้นก็ไปบอกเขาเสียก่อน ถัดจากนั้นค่อยไปกับข้า” จี้กุนซือตอบรับ
“ขอรับ ขอบคุณท่านอาจารย์ขอรับ” หลี่เหยียนยินดี ภายหลังโค้งคำนับให้จี้กุนซือจึงเดินไปทางกลุ่มคน
ทหารที่ยืนเฝ้าหน้าลานฝึกย่อมได้ยินการสนทนาของคนทั้งสอง ทำให้ทราบว่าเด็กคนนี้เป็นศิษย์ของจี้กุนซือแล้ว และพวกเขาทราบดีว่าจี้กุนซือเลือกศิษย์อย่างเข้มงวดแค่ไหน ยามนี้พวกเขาจึงอิจฉาหลี่เหยียน และทหารคนหนึ่งที่คล้ายจะเป็นหัวหน้า เขาก้าวเดินออกมาคารวะจี้กุนซือ “ขอแสดงความยินดีกับจี้กุนซือขอรับ ในที่สุดท่านก็สมหวัง” จี้กุนซือพยักหน้ารับ ยิ้ม และยืนกอดอกอยู่ที่เดิม
หัวหน้าทหารคนนั้นแสดงความยินดีเสร็จเรียบร้อยจึงกลับไปยืนประจำตำแหน่งพลางคิดในใจว่า ‘จะต้องหาโอกาสทำความสนิทสนมกับศิษย์ของจี้กุนซือเอาไว้ มีอาจารย์เป็นยอดคนเช่นนี้ ภายหน้าเด็กคนนั้นจะต้องเก่งกาจ หากสร้างสัมพันธ์ที่ดีด้วยได้ ภายหน้าจะได้มีที่พึ่งพิงในกองทัพ’ แต่สุดท้ายเขาก็ส่ายศีรษะ เพราะทราบดีว่าคนที่คิดเช่นตนเองคงมีไม่น้อย
หลี่เหยียนย่อมไม่ทราบความคิดของผู้อื่น และตอนนี้เขาเดินมาถึงจุดที่กลุ่มคนรอคอยอยู่กันแล้ว เขาทราบดีว่าไม่ควรปล่อยให้ผู้เป็นอาจารย์รอนาน ดังนั้นจึงต้องรีบบอกกล่าว สุดท้ายเขาจึงดึงหลี่กั๋วซินที่เดินเข้ามาหาด้วยสีหน้ามีความหวังเพื่อหลบไปคุยกันข้างเคียง ตอนแรกนั้นหลี่กั๋วซินยังใจเย็นได้อยู่ แต่พอได้ฟังต่อกลับอ้าปากกว้างจนพูดอะไรไม่ออก
หลี่เหยียนบอกเล่าจบ หลี่กั๋วซินยืนนิ่งอึ้ง จนหลี่เหยียนพยายามเรียกอยู่หลายครั้ง แม้อีกฝ่ายยังอึ้งแต่ก็ตอบรับ “โอ้ โอ้” ออกมา หลี่เหยียนทราบดีว่าอาการเช่นนี้ไม่ต่างอะไรกับตนเองก่อนหน้านี้ กระทั่งรู้สึกผิด
พบเห็นว่าในเวลาอันสั้นหลี่กั๋วซินคงไม่อาจตั้งสติได้ เขาจึงทำได้เพียงโค้งคำนับให้และรีบเดินไปยังรถม้า หยิบสัมภาระของตนและเดินกลับไปยังประตูใหญ่ของลานฝึก
หลี่เหยียนเดินมาหยุดตรงหน้าผู้เป็นอาจารย์ เขาไม่รีบพูด แต่เลือกที่จะโค้งคำนับให้ก่อน “ศิษย์บอกกล่าวลุงในหมู่บ้านแล้วขอรับ”
จี้กุนซือที่ได้ยินจึงยิ้มรับ “ดีแล้ว เช่นนั้นกลับจวนไปพร้อมข้า” ภายหลังหยุดไปชั่วครู่หนึ่ง “แต่ข้าไม่ชอบให้มีใครเดินตามเยอะแยะ ดังนั้นจึงมีแค่เจ้าและข้าที่กลับไป”
หลี่เหยียนที่ได้ยินเกิดรู้สึกประหลาดใจ เพราะเคยได้ยินผู้ใหญ่ในหมู่บ้านบอกเล่า ว่ายามขุนนางออกไปภายนอกมักจะมีผู้คนห้อมล้อมจนน่าเกรงขาม บางคนยังไล่ชาวบ้านที่ขวางทางและกีดกันไม่ให้เข้าใกล้ เพียงแต่เขาไม่คิดอะไรให้มากความ เพราะอย่างไรเขาก็ยังไม่เคยได้เห็นขุนนางที่มีคนห้อมล้อมเช่นนั้น
กล่าวจบ จี้กุนซือจึงสะบัดแขนเสื้อหันหลังเดินไปทางหนึ่ง แขนเสื้อยามนี้พลิ้วไสว ท่วงท่าการเดินเป็นประหนึ่งสายน้ำไหลริน
หลี่เหยียนมองตามแผ่นหลังของผู้เป็นอาจารย์ด้วยความงุนงง อีกฝ่ายเลือกเดินด้วยขา ไม่มีคนรับใช้ห้อมล้อม ทหารองครักษ์ก็ไม่มี รถม้าหรือม้าขี่ก็ไม่มีเช่นกัน สุดท้ายหลี่เหยียนจึงได้แต่ยิ้มแห้งและคิดในใจว่า ‘ไม่เห็นเหมือนที่เคยได้ยินมาเลยสักนิด โดยเฉพาะเรื่องที่บัณฑิตชราเล่า ว่าขุนนางยามออกไปภายนอกเป็นอย่างไรยิ่งไม่เหมือน’ แต่เพราะตอนนี้ไม่ใช่เวลาให้คิดมาก เขาจึงรีบสะพายห่อผ้าและวิ่งตามไป
ภายหลังศิษย์อาจารย์จากไปแล้ว กลุ่มคนในพื้นที่จึงเริ่มส่งเสียง เพราะตอนจี้กุนซือยืนอยู่หน้าประตูก็มีหลายคนจดจำเขาได้ ยามได้เห็นหลี่เหยียนออกมาพร้อมกัน และจี้กุนซือยังเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างกับหลี่เหยียน ก่อนที่เด็กหนุ่มจะเดินมาทางนี้ ดึงคนคนหนึ่งไปคุยกันด้านข้าง
เรื่องราวทั้งหมดถือเป็นจุดสนใจ กระทั่งมีคนสอดรู้หลายคนแอบเข้าไปใกล้ ถึงแม้ว่าหลี่เหยียนจะบอกเล่าเสียงเบาให้หลี่กั๋วซินได้ฟัง แต่ไม่ได้กระซิบข้างหู ดังนั้นหากมีใครอยู่ใกล้และตั้งใจฟังย่อมได้ยิน โดยเฉพาะสีหน้าตกใจและนิ่งค้างของหลี่กั๋วซิน ต่อให้ไม่คิดอะไรมาก แค่พบเห็นสีหน้าก็มากพอกระตุ้นความอยากรู้ของผู้คน
จนกระทั่งหลี่เหยียนแยกตัวไปสักพัก หลี่กั๋วซินจึงได้สติและคิดในใจ “ที่แท้คนผู้นั้นคือจี้กุนซือ แต่ที่หลี่เหยียนพูดนั้นเป็นเรื่องจริงงั้นหรือ นี่มันเรื่องอะไรกัน หลี่เหยียนได้เป็นศิษย์จี้กุนซืองั้นหรือนี่ ทั้งยังได้เป็นทหารชั้นรองปราบศัตรู สวรรค์โปรด นี่มันเรื่องจริงหรือนี่?”
หลี่กั๋วซินไม่ใช่คนไม่เคยเห็นโลกกว้าง เขาจึงพอทราบตำแหน่งในกองทัพอยู่บ้าง และจำได้ ว่าตำแหน่งดังกล่าวคือขุนนางรองระดับแปดขั้นล่าง ไม่ใช่อะไรที่ทหารใหม่จะได้รับ และถึงแม้จะเป็นทหารผ่านสมรภูมิ หากไม่มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ก็เลื่อนขั้นได้ยากเย็นแสนเข็ญ
ตอนนี้หลี่กั๋วซินกำลังรู้สึกสับสนจนไม่ทราบว่าควรวางตัวอย่างไร สุดท้ายภายหลังค่อย ๆ ตั้งสติ ทำใจให้สงบ เขาเริ่มสงสัยว่าเหตุใดจี้กุนซือถึงเลือกหลี่เหยียน ทั้งที่หลี่เหยียนเป็นแค่เด็กหนุ่มที่เติบโตในหมู่บ้านชนบทไกลห่าง เขาได้เห็นหลี่เหยียนตั้งแต่เด็กจนโตทุกช่วงอายุ แต่ไม่เคยตระหนักว่าเด็กคนนี้มีอะไรที่พิเศษ หากจะมีข้อดี คงเป็นเรื่องที่ใจเย็นกว่าเด็กวัยเดียวกัน แต่มันก็ไม่น่าจะใช่เหตุผลหลักที่จี้กุนซือเลือก
ขณะเขากำลังครุ่นคิด กลุ่มคนที่แอบฟังพวกเขาคุยกันก่อนหน้านี้เริ่มนำเรื่องราวที่ได้ยินไปคาดเดาและบอกต่อผู้อื่น ภายหลังจี้กุนซือจากไป กลุ่มคนจึงเริ่มแตกตื่น หลายคนมองว่าเป็นไปไม่ได้ คนที่เพิ่งมาสมัครหรือจะเป็นศิษย์ของจี้กุนซือได้ เรื่องราวนี้น่าเหลือเชื่อจนเกินไป หลายคนพยายามเข้ามารุมสอบถามจากหลี่กั๋วซิน เป็นเหตุให้หลี่กั๋วซินต้องวิงเวียน ทำได้แค่รีบตอบไปสองสามประโยคก่อนจะรีบร้อนหนีจากฝูงชน
ภายหลังหลี่กั๋วซินแกะเชือกรถม้าจึงขับรถม้าออกไป เขาคิดหาโรงเตี๊ยมเข้าพัก เพื่อทำใจกับเรื่องราวที่เพิ่งได้ทราบ พรุ่งนี้เช้าจะได้รีบเดินทางกลับไปบอกให้พ่อแม่ของหลี่เหยียน ไม่ใช่ เกรงว่าจะต้องบอกให้ทุกคนในหมู่บ้านทราบ ว่ามีเด็กน้อยคนหนึ่งของหมู่บ้านก้าวหน้าใหญ่โตแล้ว
ส่วนกลุ่มคนที่รุมล้อมกันอยู่ที่เดิม พอได้ทราบความจริง หลายคนเริ่มครุ่นคิดว่าจะหาทางสืบเรื่องนี้ให้ชัดเจนได้อย่างไร และญาติพี่น้องของตนพอจะมีโอกาสได้เป็นศิษย์ของจี้กุนซือบ้างหรือไม่ พวกเขาเริ่มคิดกันไปต่าง ๆ นานาสารพัด
ตอนนี้หลี่เหยียนกำลังเดินตามจี้กุนซือจนมาถึงประตูเมืองทิศเหนือ ตลอดทาง ทุกย่างก้าวของจี้กุนซือไร้เสียง ท่าทีเหมือนเดินเล่น ทว่าเร็วมาก โชคดีที่หลี่เหยียนตามผู้ใหญ่ไปล่าสัตว์ในป่าตั้งแต่ยังเด็กจึงพอตามได้ทัน ถึงแม้จะไม่ได้ใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี แต่ก็ใช้ไปถึงเจ็ดหรือแปดส่วน ขณะที่ผู้เป็นอาจารย์กลับเดินอย่างสบาย มันยิ่งทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นกับเส้นทางชีวิตในภายหน้า
เมื่อมาถึงประตูเมือง หลี่เหยียนรู้สึกประหลาดใจ เพราะคิดว่าจวนกุนซือหรือจะอยู่ขอบเมืองเช่นนี้ แต่ก็ได้ทราบว่าตนเองคิดผิด เพราะผู้เป็นอาจารย์ไม่ได้หยุดเท้า รวมถึงไม่ได้เลี้ยวเปลี่ยนทิศทางด้วยเช่นกัน
ยามเมื่อมาถึงประตูเมือง บริเวณนั้นมีทหารราวเจ็ดถึงแปดนาย นำโดยหัวหน้าทหารกำลังตรวจคนเข้าเมือง หลี่เหยียนสำรวจมอง พบว่าไม่ใช่หลิวเฉิงหย่งกับพรรคพวก คาดว่าคงเปลี่ยนเวรกันไปแล้ว
ทางด้านหัวหน้าทหารคนนั้น ยามพบเห็นจี้กุนซือจึงรีบร้อนแสดงความเคารพ จี้กุนซือพยักหน้าตอบและเดินผ่านแถวตรวจออกจากเมืองไป ส่วนหลี่เหยียนทำได้แค่รีบตามหลัง
ภายหลังจี้กุนซือกับหลี่เหยียนออกพ้นจากประตูเมือง หัวหน้าทหารคนนั้นจึงมองแผ่นหลังของหลี่เหยียนพลางพึมพำกับตนเองว่า “แปลกนัก เหตุใดไม่คุ้นหน้าคุ้นตา ไม่ใช่ทหารองครักษ์ของจวนกุนซือ แล้วเป็นใครกันถึงได้อยู่กับใต้เท้าจี้”
หลี่เหยียนเดินตามจี้กุนซือออกมาภายนอกเมืองด้วยความสับสน เพราะนอกเมืองมีถนนเพียงหนึ่งสายที่ทอดยาวไปทางเหนือ สองข้างทางเป็นภูเขา และพวกเขากำลังออกห่างจากเมืองไปเรื่อย จนหลี่เหยียนเริ่มคิด
‘หรือว่าจวนของอาจารย์จะอยู่ในเมืองที่ไกลห่างออกไปหลายสิบลี้ ได้ยินมาว่าแถบนั้นก็มีทหารประจำการ แต่ออกจะไกลไปเสียหน่อย หากเดินทางไปกลับทุกวันโดยไม่มีรถม้าหรือม้าขี่คงลำบากไม่น้อย แม้ว่าระยะทางหลายสิบลี้จะไม่ใช่เรื่องยากลำบาก แต่หากต้องเดินทางแบบเดิมทุกวันคงน่าเบื่อแย่’
ระหว่างทาง จี้กุนซือไม่พูด ราวกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง เขากำลังก้าวเดินไปด้านหน้าเรื่อย ๆ ขณะที่หลี่เหยียนทำได้แค่เดินตามด้วยความคิดฟุ้งซ่าน
ภายหลังเดินออกจากเมืองราวสองลี้ จี้กุนซือจึงเลี้ยวไปทางภูเขาด้านตะวันตก หลี่เหยียนสำรวจมอง พบว่าใกล้เคียงมีทางขึ้นเขาทอดยาวเข้าไปในภูเขา ถนนสายนี้เป็นทางที่พวกเขาใช้เดินทางเข้าเมืองเมื่อเช้า ข้างทางมีทางขึ้นเขาเช่นเดียวกันนี้ให้พบเห็นอยู่ไม่น้อย เขาจึงไม่เคยสนใจ ทว่าตอนนี้กำลังจะเลี้ยวขึ้นเขาเสียแล้ว
ภูเขาทางตะวันตกใหญ่กว่าภูเขาทางตะวันออก เนื่องจากภูเขาทางตะวันออกยาวเพียงไม่กี่ร้อยลี้ เลยออกไปคือที่ราบภาคกลาง ที่แห่งนั้นสามารถควบม้าขี่ ส่วนทางตะวันตกในไม่ทราบว่ามันไกลเพียงใด แต่คนในพื้นที่ทราบว่าหากเข้าไปสักสี่หรือห้าร้อยลี้จะพบเจอสัตว์ร้ายมากมาย คิดเข้าไปก็เท่ากับตายไปครึ่งตัวแล้ว เพราะถึงแม้จะเป็นยอดฝีมือแห่งยุทธภพก็ไม่กล้าเข้าไปลึก
แม่ทัพหงเคยนำพากลุ่มยอดฝีมือเดินทางเข้าไปประมาณสี่ร้อยลี้ ครั้งนั้นพบเจอสัตว์ร้ายและแมลงมีพิษมากมาย แม้ว่าจะรีบถอนตัวกลับออกมา แต่ผู้ใต้บัญชาก็เสียชีวิตไปหลายคน ใบหน้าของเขายังถูกหางสัตว์ร้ายฟาดเล่นงานจนเกิดแผลเป็นอันน่าสะพรึง และหากหลบช้ากว่านั้นสลักเล็กน้อย หางสัตว์ร้ายอาจเสียบเข้าที่หัวจนเสียชีวิตคาที่
จี้กุนซือพาหลี่เหยียนเดินขึ้นบันไดหิน คนทั้งสองเดินทางต้นไม้สูงใหญ่ บริเวณใต้ต้นไม้มีพุ่มไม้ขึ้นรก ปัจจุบันเวลาห้าโมงเย็นแล้ว ช่วงกลางวันของต้นฤดูใบไม้ร่วงค่อนข้างยาวนาน แม้พระอาทิตย์ตกไปแล้ว ท้องฟ้ากลับยังสว่าง แต่ด้วยใบไม้หนาทึบบนต้นไม้ใหญ่บังแสงทำให้ป่ามืด กระทั่งได้ยินเสียงนกร้องดังมาเป็นระยะกังวานไปทั่วป่า
เมื่อเดินขึ้นไปได้ประมาณหนึ่งลี้จึงถึงบันไดขั้นสุดท้าย ตรงหน้าเริ่มสว่างมากขึ้นพร้อมปรากฏลานกว้าง ที่น่าจะกว้างกว่าร้อยจ้าง และลานกว้างแห่งนี้ยังถูกรายล้อมด้วยต้นไม้สูงใหญ่ และยังมีทางเดินกว้างให้คนราวสองถึงสามคนเดินโดยพร้อมกันได้อยู่ตรงข้ามกับบันไดหิน
สถานที่เช่นในป่า การจะหาพื้นที่ราบขนาดใหญ่เช่นนี้นับเป็นเรื่องยาก คาดว่าที่นี่คงถูกปรับเปลี่ยนผิวดินเพื่อสร้างขึ้น สองข้างทางที่ตรงข้ามกับบันไดหินปรากฏบ้านหินสีเขียวอมฟ้าหลังใหญ่เรียงต่อกัน แต่ละแถวมีราวสี่ถึงห้าหลัง แม้ดูค่อนข้างธรรมดา แต่ก็สะอาดสะอ้านและเป็นระเบียบ ลานกว้างตรงกลางยังปูด้วยหินสีเขียวอมฟ้า บางจุดมีกระสอบทรายและบ่อทรายจัดวางเอาไว้อย่างเป็นระเบียบ
หลี่เหยียนเดินมาถึงลานตรงกลาง จึงได้เห็นทหารแปดนายยืนถือหอกเรียงกันสองแถว สายตาของพวกเขาเหล่านั้นมองมาทางบันไดด้วยท่าทีระมัดระวัง ยามพบเห็นจี้กุนซือ ทุกคนต่างคารวะและยืนตรงหลีกทางให้ แม้มีมองหลี่เหยียนสองถึงสามครั้งแต่ก็ไม่ได้สอบถามอะไรออกมา
จี้กุนซือพยักหน้าให้พวกเขาและเดินนำเข้าไป แต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าวพลันต้องหยุดและหันไปพูดกับทหารคนหนึ่ง “จริงด้วย เจ้าไปเรียกผู้อื่นออกมา ข้ามีเรื่องประกาศให้ทราบ”
“ขอรับ” ทหารนายนั้นรับคำและรีบวิ่งไปยังกลางลานพร้อมตะโกนเสียงดัง “ใต้เท้ากลับมาแล้ว ทุกคนรวมพล” เพียงไม่นาน คนกว่าสิบจึงเดินออกมาจากบ้านหินทั้งสองข้างทาง
หลี่เหยียนที่เดินตามผู้เป็นอาจารย์มาตลอด เมื่อครู่เขาได้เห็น ว่านอกจากทหารแปดนายตรงบันไดแล้ว ยังมีคนอื่นที่เดินเข้าออกบ้านหินทั้งสองข้างทาง รวมถึงมีควันสีเขียวลอยล่องจากหลังคาบ้านบางหลัง ทั้งยังมีกลิ่นหอมให้สูดดม แต่เพราะตอนนี้ฟ้าเริ่มมืด แสงไฟในบ้านก็ไม่สว่างมากพอ ทำให้เขามองไม่ค่อยเห็นด้านใน
ยามเมื่อทุกคนมารวมตัวกันเรียบร้อย จี้กุนซือจึงเดินมายังกลางลาน หันกลับมาเรียกหลี่เหยียนให้เดินเข้าไปหา จนกระทั่งเขามายืนด้านหน้ากลุ่มคน ตอนนี้จึงได้เห็น ว่านอกจากทหารทั้งแปดนายเมื่อครู่ ยังมีอีกสิบสองนายที่สวมใส่ชุดทหารเหมือนกัน รวมถึงหญิงวัยกลางคนอีกสามคน
ผู้หญิงทั้งสามคนกับทหารสองคนที่อยู่ตรงกลางต่างมองหลี่เหยียนด้วยความสนใจ ส่วนผู้อื่นนั้นทำแค่ยืนนิ่งรอคำสั่ง
“นี่คือศิษย์คนใหม่ของข้า หลี่เหยียน นับจากนี้เขาจะอยู่ที่นี่” จี้กุนซือชี้ไปทางหลี่เหยียน ก่อนจะหันมาบอกกล่าวว่า “ที่แห่งนี้คือสถานที่ที่ข้าใช้พำนักอาศัย มีทหารยี่สิบนาย ท่านแม่ทัพส่งให้มาคอยช่วยดูแล ส่วนผู้หญิงทั้งสามคนมีหน้าที่ทำอาหารและซักผ้า”
หลี่เหยียนมองพวกเขา แต่ก็ได้พบว่ามีบางคนมองมาด้วยสายตาแปลก ๆ จนเป็นเหตุทำให้เขาต้องงุนงง