บทที่ 893 รวมตัวขั้นหลอมรวม
"กวาดล้าง? เจ้าบอกจะกวาดล้างแล้วจะกวาดล้างได้อย่างนั้นหรือ? คนจากอาญาจักรโบราณปะปนอยู่ในหมู่พวกเขา เจ้าแยกพวกเขาออกจากกันได้หรือ?" สุ่ยหยุนฉีแค่นเสียงเย็นชา สายตาเต็มไปด้วยโทสะมองจ้องไปยังอู๋เมิ่ง
แต่ฟ่านเทียนหมิงกลับยืนข้างหน้าผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา กล่าวอย่างต่อเนื่องว่า
"ในเมื่อเจ้ากังวล เช่นนั้นทำไมไม่ทำลายค่ายกลส่งตัวที่เชื่อมไปยังอาณาจักรโบราณทั้งหมดเสียเลยล่ะ?"
"เจ้ากล้าหรือไม่?"
"นั่นแหละ! อาณาจักรโบราณเป็นเผ่าพันธุ์ที่เหลือรอดจากเซียน แถมยังได้รับการปกป้องจากเส้นทางสวรรค์ หากเจ้าไม่กล้าก็อย่ามาโวยวายที่นี่อีก!"
"นี่เป็นกฎที่ถูกตั้งไว้โดยกษัตริย์องค์แรกแห่งแคว้นอู๋ฉือ!"
"หึหึ" ฟ่านเทียนหมิงหัวเราะเบาๆ
"เจ้าหมายถึงตระกูลกงเอ๋อใช่หรือไม่?"
เมื่อคำพูดนี้หลุดออกมา สุ่ยหยุนฉีที่ก่อนหน้านี้เต็มไปด้วยความดุดันก็เงียบลงทันที ขณะนี้พวกเขาทั้งสามกำลังแย่งชิงตำแหน่งกษัตริย์ แย่งชิงราชบัลลังก์จากตระกูลกงเอ๋อมา
การเอาเรื่องนี้มาใช้ข่มขู่กันในตอนนี้ดูจะไม่เหมาะสมเสียเลย
อย่างไรก็ตาม การห้ามใครก็ตามลักลอบพาคนจากอาณาจักรโบราณมาเป็นสิ่งที่กลายเป็นฉันทามติไปแล้ว เพราะความวุ่นวายของอาณาจักรโบราณเมื่อหลายหมื่นปีก่อนได้สร้างผลกระทบที่ไม่อาจย้อนกลับได้บนแผ่นดินแห่งการฝึกตน
หากไม่ใช่เพราะความยากลำบากในการข้ามช่องว่างของผู้ฝึกตนขั้นหลอมรวม แคว้นอู๋ฉืออาจไม่มีอยู่บนโลกนี้อีกแล้ว
"พวกเจ้าไม่กลัวว่าจะเกิดขึ้นอีกครั้งหรือ?"
"ข้าบอกแล้วว่ากวาดล้างให้สิ้นซากก็พอ!"
ในตอนนี้ อู๋เมิ่งดูเหมือนจะเข้าใจสถานการณ์ตรงหน้า จึงก้าวขึ้นมาข้างหน้าพูดว่า
"พื้นที่ต้าซีโจวและผิงตูโจว สองแห่งนี้ข้าจะจัดการกวาดล้างให้สิ้นซาก หากมีผู้ฝึกตนจากอาณาจักรโบราณเหลือรอดแม้แต่คนเดียว ข้าจะรับผิดชอบทั้งหมด!"
"รับผิดชอบ? เจ้ารับไหวหรือ?" สุ่ยหยุนฉีแค่นเสียงเย็นชา
เห็นได้ชัดว่าฟ่านเทียนหมิงตั้งใจจะปกป้องอู๋เมิ่งและหากเรื่องราวสงบลง ด้วยความแข็งแกร่งของผู้ฝึกตนขั้นหลอมรวมจากหน่วยเทียนหลง ตำแหน่งกษัตริย์คงจะถูกตัดสินไปโดยปริยาย ถึงตอนนั้น สุ่ยหยุนฉีคงไม่มีโอกาสอีกแล้ว
ดังนั้นเขาจึงต้องฉวยโอกาสนี้ไว้ให้ได้และจะไม่ปล่อยอู๋เมิ่งไปง่ายๆ
"งั้นเจ้าว่าเราควรทำอย่างไร?" ฟ่านเทียนหมิงย้อนถามกลับ
"หัวหน้าผู้คุมแห่งหน่วยเทียนหลง ง่ายมาก ทำลายพลังฝึกตนทั้งหมดของเขาเสีย!"
"ไม่มีทาง!"
"หึ!"
คนของหน่วยเทียนหลงทั้งสองตอบปฏิเสธแทบจะพร้อมกัน
และในขณะนั้นเอง สุ่ยหยุนฉีก็ไม่ยอมอ่อนข้อ
"ดี! ดี! ในเมื่อหน่วยเทียนหลงไม่ยอมทำตามกฎ เช่นนั้นข้าก็ไม่สนแล้วว่าหายนะจะมาเยือน!"
พูดจบเขาก็สะบัดฝ่ามือเบาๆตรงไปยังหน่วยเทียนหลง
ชั่วพริบตาภูเขาก็เหมือนพังทลาย ดินแดนที่เคยเป็นเพียงซากปรักหักพังก็พังทลายลงอีกครั้ง ผู้ฝึกตนที่อยู่ด้านในต้องพบกับความเสียหายหนัก
เพียงฝ่ามือนี้ทำให้ผู้ฝึกตนหลายร้อยคนเสียชีวิตทันที
ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกตนขั้นทองหรือขั้นปฐมภูมิ ต่างก็ไม่อาจต้านทานพลังอันร้ายกาจนี้ได้ แม้แต่ผู้ฝึกตนขั้นเปลี่ยนจิตบางคนที่หนีไม่ทันก็ต้องบาดเจ็บสาหัส
"เจ้านี่มันหาเรื่องตาย!"
ฟ่านเทียนหมิงตวาดลั่น ร่างกายที่โค้งงอพุ่งพลังอันน่ากลัวออกมา
เขากระทืบเท้าลงพื้น คลื่นเสียงแผ่กระจายออกมา ท่วงท่าการเคลื่อนไหวของเขานั้นต่างจากสุ่ยหยุนฉีโดยสิ้นเชิง ท่าทางของฟ่านเทียนหมิงนั้นรุนแรงและเฉียบคมยิ่งนัก ราวกับดาบที่พุ่งออกจากฝัก พุ่งตรงเข้าไปหาศัตรูด้วยพลังอันยากจะหยุดยั้งได้
เพียงแค่ลมหายใจ การต่อสู้ครั้งใหญ่ดูเหมือนจะปะทุขึ้นเหนือท้องฟ้าแห่งเมืองหลวง ร่างหลายสายปรากฏขึ้นในทันที
หนงซิ่วหยวนจากสำนักเสินหนง กงเหยียนอวี้จากสำนักเทียนกง ฮวาชูซีจากหน่วยฮวาเยว่ หยุนหยาจากวังหลวง และแม้แต่หลัวจิ่วจงที่อยู่ห่างไกลในถ้ำสวรรค์ก็ปรากฏตัวขึ้นหน้าเขตหน่วยเทียนหลง
ภาพเหตุการณ์นี้คือการรวมตัวของแปดผู้ฝึกตนขั้นหลอมรวมแห่งจงโจว!
ในตอนนี้ผู้ฝึกตนเกือบทั้งหมดในเมืองหลวงต่างมองไปยังหน่วยเทียนหลง เหตุการณ์ยิ่งใหญ่เช่นนี้ ไม่ต้องพูดถึงการเห็น แม้แต่การได้ยินก็แทบจะไม่มีในชั่วชีวิต
“หยุดมือซะ!”
หลัวจิ่วจงโบยบินเข้ามาแทรกระหว่างสุ่ยหยุนฉีและฟ่านเทียนหมิง ดับเปลวเพลิงแห่งการต่อสู้ที่เริ่มปะทุลง
สำหรับผู้ฝึกตนต่ำกว่าขั้นเปลี่ยนจิตต่อให้ล้มตายไปเท่าไหร่ก็ไม่มีใครสนใจ
แต่ระหว่างขั้นหลอมรวม การต่อสู้กันนั้นแทบไม่เคยเกิดขึ้นในช่วงหลายพันปี
หากไม่ใช่เพราะเหตุนี้ คนแห่งจงโจวเหล่านี้คงไม่เลือกเจรจากับเป่ยโจว
การสูญเสียผู้ฝึกตนขั้นหลอมรวมแม้แต่คนเดียวคือการสูญเสียอย่างใหญ่หลวง ในช่วงพันปีที่ผ่านมา มีเพียงอู๋เมิ่งเท่านั้นที่เลื่อนขึ้นมาเป็นผู้ฝึกตนขั้นหลอมรวม หากฟ่านเทียนหมิงหรือสุ่ยหยุนฉีได้รับบาดเจ็บสาหัสหรือตายไปจะเป็นความเสียหายที่ไม่อาจคำนวณได้สำหรับแคว้นอู๋ฉือ
“กฎต้องไม่ถูกทำลาย”
“กฎอย่างนั้นหรือ?” สุ่ยหยุนฉีหัวเราะเย็นๆสายตามองไปที่อู๋เมิ่ง
“กฎมันมีประโยชน์หรือ?”
“ที่นี่ไม่ใช่สถานที่สำหรับการเจรจา เชิญทุกท่านตามข้ามา”
หลัวจิ่วจงกล่าวอีกครั้ง การโต้เถียงของผู้ฝึกตนขั้นหลอมรวมทั้งแปดในที่สาธารณะไม่ใช่เรื่องที่ดีเลย
แม้ว่าสุ่ยหยุนฉีและฟ่านเทียนหมิงจะไม่พอใจ แต่ทั้งสองก็ยับยั้งความโกรธไว้และร่วมเดินทางกับกลุ่มคนอื่นกลายเป็นแสงรุ้งลอยไปยังถ้ำสวรรค์ของหลัวจิ่วจง
ท่ามกลางฝูงชน อี้ถิงเซิงมองดูฉากที่เขาจงใจวางแผนขึ้นมา แล้วพูดกับเฉินโม่ที่อยู่ข้างๆว่า
“ช่างลำบากพวกเขาจริงๆ”
“ลำบากเรื่องอะไร?”
“ก็การแสดงละครใหญ่ให้ข้าดูไงล่ะ”
“การแสดง?”
เฉินโม่ดูไม่เข้าใจนัก นี่มันดูไม่เหมือนการแสดงเลย
แต่สำหรับเขา ฉากนี้คือสิ่งที่เขาอยากเห็นมากที่สุด ยิ่งจงโจวยุ่งเหยิงมากเท่าไหร่ก็ยิ่งเป็นประโยชน์ต่อเขาเท่านั้น
นอกจากนี้เขายังมีเรื่องใหญ่ต้องทำ!
“ใช่ ก็เป็นการแสดงแหละ แต่ช่างเถอะ ข้าจะเล่นตามน้ำกับพวกเขาหน่อย” อี้ถิงเซิงยักไหล่ไม่ใส่ใจนัก
“ข้าไม่มีเวลาคุยแล้ว มากับข้า”
“ไปที่ไหน?”
“ไปหุบเขาสมุนไพรลับ”
“ที่นั่นคืออะไร?”
“ไปถึงเจ้าก็รู้เอง” เฉินโม่เดินนำหน้าพลางกล่าว
“ช่วยเปลี่ยนรูปลักษณ์พวกเราให้ดูธรรมดาและซ่อนพลังไว้ในระดับปฐมภูมิด้วย”
“ง่ายนิดเดียว!”
อี้ถิงเซิงดีดนิ้วเบาๆในทันใดรูปลักษณ์และพลังการฝึกตนของทั้งสองเปลี่ยนไปจนไม่เหลือเค้าเดิม
เฉินโม่มองสำรวจตัวเองและพี่รองข้างๆที่ดูเหมือนคนแปลกหน้า แม้ว่าเขาจะอยู่ในขั้นเปลี่ยนจิตระดับสอง แต่ก็ยังไม่สามารถมองเห็นผ่านการพรางตัวนี้ได้
วิชาแปลงร่างของเซียนมายาจันทรานั้นถึงขั้นเชี่ยวชาญเป็นเลิศ แม้แต่อี้ถิงเซิงซึ่งอยู่ขั้นเปลี่ยนจิตยังสามารถหลอกผู้ฝึกตนขั้นหลอมรวมได้ง่ายๆ แล้วคนอื่นจะเหลืออะไร?
“ไปกันเถอะ”
เฉินโม่เดินนำหน้า ส่วนอี้ถิงเซิงก็ตามหลังอย่างไม่ใส่ใจ
ตั้งแต่ออกจากดินแดนลับมา อี้ถิงเซิงก็ใช้ชีวิตเหมือนคนดูละคร ตื่นเต้นกับทุกสิ่งตรงหน้า
สำหรับเขาโลกภายนอกต่อให้สนุกหรือสมจริงแค่ไหน เมื่อม่านมายาสลายไปทุกสิ่งก็เหลือเพียงความว่างเปล่าดุจความฝันกลางวัน
โลกเช่นนี้ เขาเคยสัมผัสมานับครั้งในวังจันทรา สิ่งเดียวที่แตกต่างคือความหลากหลายเท่านั้น
ดังนั้น…
ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ก็ถือว่ามีชีวิตเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งช่วง
ทั้งสองก้าวเข้าสู่ดินแดนลับแห่งเกาะเทพอิทธิฤทธิ์
เมื่อมองเกาะที่งดงามตระการตาตรงหน้า อี้ถิงเซิงก็ยิ้มออกมาอย่างมีความสุข
แต่เฉินโม่กลับไม่เหมือนเขา
ครั้งนี้เป้าหมายของเฉินโม่ชัดเจนมาก
หนึ่งนำบัวอัคคีเพลิงลุกที่เขาเคยจุดประกายไว้กลับไป
สองค้นหาพืชวิญญาณระดับเจ็ดในตำนาน
สามเก็บเกี่ยวสมบัติจากธรรมชาติให้ได้มากที่สุด!
“ยี้ ย้า”
ตุ๊กตาไม้จิ๋วที่ทำหน้าที่พายเรือกลับมาเทียบท่าที่ชายฝั่งอีกครั้ง เฉินโม่จ่ายผลึกวิญญาณสองก้อนอย่างไม่ใส่ใจจากนั้นก็พาอี้ถิงเซิงลงเรือ
ขณะที่น้ำในแม่น้ำเรืองแสงส่องประกาย เฉินโม่มองไปยังเกาะเบื้องหน้า ส่วนอี้ถิงเซิงกลับยื่นมือลงไปในน้ำ
ทันใดนั้นเองหนวดน้ำพุ่งออกมาจากแม่น้ำพันแขนอี้ถิงเซิงหมายจะดึงเขาลงไปในน้ำ
(จบบท)