บทที่ 19 ครอบครัวเราไม่เกี่ยวข้องกันอีกต่อไป!
ผู้ใหญ่บ้านซื้อไก่ย่างตัวหนึ่งและเหล้าหนึ่งไห แล้วพาทุกคนกลับหมู่บ้าน เขานำทุกอย่างขึ้นเขาไปด้วย ดูเหมือนเขาจะตั้งใจไปแจ้งข่าวแก่พี่ชายผู้ล่วงลับ
ครอบครัวหลี่ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ต่างดีใจเมื่อได้เห็นโฉนดบ้านและที่ดิน ทุกคนพากันมาล้อมดูและสัมผัสอย่างตื่นเต้น จากนั้นก็ตั้งหน้าตั้งตาทำความสะอาดบ้านใหม่ด้วยความกระตือรือร้น
ในห้องใหญ่มีย่าหลี่และเจียอินอาศัยอยู่ ส่วนห้องตะวันตกเป็นที่พักของพี่น้องเจียเหริน
ห้องทางทิศใต้ของปีกตะวันออกจึงมอบให้หลี่เหล่าเออร์และภรรยา ส่วนห้องทางทิศเหนือให้หลี่เหล่าซาน
ห้องทางทิศใต้ของปีกตะวันตกถูกมอบให้หลี่เหล่าซือและเถาหงอิง ส่วนห้องทางทิศเหนือถูกล็อกและใช้เป็นคลังเก็บของชั่วคราว
นอกจากนี้ ห้องปีกทั้งสองยังถูกแบ่งให้ชายและหญิงใช้เป็นห้องซักล้าง และใช้ตากเสื้อผ้าเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อหลีกเลี่ยงความอึดอัดใจจากการอยู่ร่วมกันของคนจำนวนมาก
ฤดูหนาวที่นี่ในเขตเมืองหลวงไม่อบอุ่นนัก แต่ทุกห้องมีเตียงอุ่น หรือคัง ทำให้ครอบครัวหลี่ยิ่งพึงพอใจมากขึ้น
หลี่เหล่าเออร์เดินตามหลังแม่และยุ่งอยู่กับการทำรายการ
หลี่เหล่าเออร์เดินตามย่าหลี่ คอยช่วยจดรายการสิ่งของที่จำเป็น ไม่ว่าจะเป็นเสื่อสำหรับปูเตียง กระดาษติดหน้าต่าง น้ำมัน เกลือ ซีอิ๊ว น้ำส้มสายชู ข้าว แป้ง ธัญพืช หม้อดิน และไหเก็บของ
ย่าหลี่กำลังอุ้มเจียอิน นางส่งเงินให้เถาหงอิงและจ้าวอวี้หรู ให้หลี่เหล่าสือและเจียอี้ตามไปช่วยขนของในตัวเมืองทันที
ส่วนเจียอินนั้น แม้จะช่วยอะไรไม่ได้ แต่นางก็ไม่ก่อปัญหาให้ยุ่งยาก แค่ร้องไห้เล็กน้อยตอนหิว หรือเข้านอนเมื่อง่วงเท่านั้น พฤติกรรมอันน่ารักเช่นนี้ทำให้ย่าหลี่และทุกคนในครอบครัวยิ่งรักใคร่ ใครผ่านมาก็ต้องหอมแก้มเล็ก ๆ ของนางคนละที
เสียงครึกครื้นในบ้านตระกูลหลี่ดังไปจนชาวบ้านในหมู่บ้านชิงสุ่ยได้ยิน
หญิงสามคนที่เพิ่งกลับจากไร่มารวมตัวกันที่หน้าหมู่บ้านเพื่อพูดคุย
“ได้ยินจากเมียผู้ใหญ่บ้านว่า มีคนย้ายเข้ามาอยู่ในลานบ้านใหญ่ที่เชิงเขาแล้ว”
หญิงคนหนึ่งที่อาศัยอยู่ใกล้บ้านผู้ใหญ่บ้านรีบเล่าเรื่องที่ได้ยินให้คนอื่นฟัง
“ลานบ้านนั้นมีคนซื้อไปแล้วหรือ? ใช้เงินเท่าไหร่กัน? ช่างกล้านัก พวกเขาไม่รู้หรือว่าจางเหล่ากุ้ยตายอย่างไร?” หญิงคนหนึ่งเอ่ยอย่างตกใจ
“ได้ยินมาว่าร้อยตำลึงเงิน แถมครอบครัวนี้จ่ายเงินโดยไม่กะพริบตาเลย” หญิงอีกคนทำท่าประกอบอย่างตื่นเต้นเหมือนอยู่ในเหตุการณ์
“ครอบครัวนี้คงรวยมากแน่ ๆ ถึงแม้ลานบ้านจะสกปรกไปบ้าง แต่มันเป็นบ้านที่ดีจริง ๆ ได้ยินว่าตอนจางเหล่ากุ้ยสร้างใช้เงินเกินร้อยตำลึง นี่ยังได้ที่ดินสิบหมู่ด้วย เรียกได้ว่าคุ้มค่าจริง ๆ!”
"ใครบอกไม่ใช่ล่ะ? ผู้ใหญ่บ้านบอกว่าครอบครัวนี้มาหาญาติในหมู่บ้านเมื่อวาน เพื่อขอที่พักอาศัยชั่วคราวจากญาติ แต่ญาติไม่ยอมรับไว้ จนต้องซื้อบ้านเอง ไม่รู้ว่าญาติคนนั้นคิดอะไรอยู่ ถึงได้ปฏิเสธคนรวยขนาดนี้”
ภรรยาหลิวไท่จู้ที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากนั้น สีหน้าเขียวแดงไปหมด ฟังแล้วรู้สึกเสียดายจนท้องบิดไปหมด
เธอหันหลังแล้ววิ่งไปทางลานที่เชิงเขา…
ในขณะเดียวกัน ตระกูลหลี่กำลังยุ่งอยู่กับการทำความสะอาด ล้างพื้นหินจนสะอาดเอี่ยม นางยืนนิ่งมองอยู่พักใหญ่เหมือนคนตกอยู่ในภวังค์ ก่อนเดินกลับบ้านไปอย่างเลื่อนลอย
ที่บ้านของนาง กัวซื่อกำลังจุดไฟเตรียมทำอาหาร เมื่อเห็นลูกสะใภ้เดินกลับมาอย่างซึมเซา กำลังจะจะด่าว่านางขี้เกียจ แต่เมื่อได้ยินว่าครอบครัวหลี่ซื้อบ้านหลังใหญ่ด้วยเงินร้อยตำลึง นางถึงกับลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้
“เป็นไปไม่ได้! ครอบครัวหลี่มีเงินขนาดนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่?”
นางกัดฟันพูดอย่างเสียดาย “ถ้ารู้แบบนี้ เราน่าจะกักตัวพวกเขาไว้ตั้งแต่เมื่อวาน แม้จะไล่พวกเขาไป ก็ต้องรีดเงินออกมาให้ได้ก่อน!”
นางหันไปสั่งเสียงดัง “ไปดูที่นั่นเดี๋ยวนี้!”
กัวซื่อไม่ยอมแพ้ นางรู้ว่าย่าหลี่เป็นป้าของลูกๆ นาง ตอนนี้ย่าหลี่รวยขนาดนี้ จะปล่อยให้หลานเดือดร้อนอยู่ได้ยังไง
นางต้องเอาเงินจากย่าหลี่มาให้ได้ !
หลิวไท่จู้และหลิวไหล่ฝูต่างก็คิดเหมือนกัน และทั้งครอบครัววิ่งตรงไปที่เชิงเขา
“โธ่เอ๋ย พี่สาว ท่านนี่แปลกจริง ออกจากบ้านไปโดยไม่บอกกันสักคำ ข้าสั่งให้สะใภ้ทำอาหารรอพวกท่านตั้งแต่เช้า แต่พอเปิดประตู กลับไม่เห็นใครเลย”
ทันทีที่เข้ามาในลานบ้าน กัวซื่อก็รีบเดินไปหาย่าหลี่พร้อมส่งยิ้มอย่างกระตือรือร้นยิ่งกว่าวันก่อนหลายเท่า
ย่าหลี่เหลือบตามองอย่างเย็นชา ก่อนตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ไม่กลัวว่าพวกเราจะไปอยู่บ้านเจ้าหรือ?”
กัวซื่อถึงกับหน้าเสีย แต่ยังแถอย่างไม่อาย...
พี่สาวเข้าใจผิดไปแล้ว ท่านก็เห็นแล้วว่าครอบครัวเราจนจริงๆ มีบ้านแค่ไม่กี่หลัง จะไม่กลัวหรือว่าพี่สาวจะไม่พอใจ?”
พูดจบ นางก็มองลานบ้านกว้างด้วยสายตาโลภพลางเอ่ยต่อ
“พี่สาว ข้าได้ยินมาว่าท่านซื้อบ้านหลังนี้หรือ? โอ้โฮ ดูสิ มันรกมากเลย ทุกอย่างต้องจัดการใหม่หมด เดี๋ยวข้าเรียกจูจูกับคนอื่นมาช่วยนะ”
หลิวไท่จู้กับพรรคพวกแกล้งทำท่าพับแขนเสื้อเตรียมจะช่วย แต่ความจริงสายตาพวกเขากลับจับจ้องไปที่ถุงสัมภาระของตระกูลหลี่
ในขณะเดียวกัน หลี่เหล่าซือและเถาหงอิงก็กลับมาจากข้างนอก สีหน้าของทั้งคู่ดูไม่ดีเลยเมื่อเห็นครอบครัวหลิวอยู่ในบ้าน
หลี่เหล่าซือเอ่ยไล่ทันทีอย่างไม่อ้อมค้อม
“เราไม่ต้องการความช่วยเหลือจากพวกเจ้า รีบไปเสียเถอะ!”
หลิวไหล่ฝูที่ไม่ชอบหลี่เหล่าซืออยู่แล้ว พอได้ยินคำนี้ความอิจฉาริษยาและความไม่พอใจก็พลุ่งพล่านเหมือนไฟลุกโชน
“เจ้าแค่ซื้อบ้านหลังเดียว มีอะไรให้น่าภูมิใจ? ข้าจะบอกให้นะ ครอบครัวของเราอยู่ในหมู่บ้านนี้มานานกว่าสิบปี ถ้าพวกเจ้ากล้าหาเรื่องเรา พวกเจ้าอยู่ที่นี่ไม่ได้แน่!”
เจียอินเพิ่งถูกเถาหงอิงอุ้มขึ้นจากเปลและกำลังงัวเงียได้ที่ แต่เสียงเอะอะของครอบครัวหลิวทำให้เด็กน้อยรู้สึกเหนื่อยหน่ายยิ่งกว่าเดิม
นี่เป็นครั้งที่หาได้ยากที่นางจะร้องไห้ออกมาเสียงดัง!
“แว้….แอ๊ ๆ ๆ ”
เสียงร้องนี้เหมือนการจุดประกายรังแตนรบกวนตระกูลหลี่ พวกเขาทุกคนรีบโยนงานที่ทำอยู่ทิ้งและพากันวิ่งมาดู
“ฟู่หนิวเออร์เป็นอะไร? กลัวหรือเปล่า?”
“คงตกใจสิ ได้ยินเสียงหมาเห่าทันทีที่ตื่นขึ้นมา!”
ย่าหลี่ที่กำลังอุ้มหลานสาวอยู่ก็พลอยใจเสียไปด้วย แม้ก่อนหน้านี้จะยังอ่อนใจต่อครอบครัวหลิวอยู่บ้าง แต่ตอนนี้ความรู้สึกนั้นหายวับไปทันที
นางกอดหลานสาวพร้อมทั้งปลอบโยน ก่อนจะชี้นิ้วไปที่ประตู ไล่คนออกไปอย่างไม่ลังเล
“รีบไปเสีย แล้วอย่ากลับมาอีกนะ! อย่างที่พูดไปเมื่อคืน หลิวเกินเออร์ตายไปแล้ว ครอบครัวเราสองบ้านก็ไม่เกี่ยวข้องกันอีกต่อไป!
อีแก่! เจ้ากล้าดียังไงมาไล่พวกข้า!”
หลิวไหล่ฝูที่อารมณ์ร้อนยกมือขึ้นหมายจะทำร้ายนาง แต่หลี่เหล่าซือคว้าแขนเขาไว้แน่น
หลิวไหล่ฝูร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด เหงื่อเย็นแตกพลั่กบนหน้าผาก
กัวซื่อที่เป็นแม่ของหลิวไหล่ฝูตั้งใจจะเข้ามาช่วยลูกชาย แต่พอเห็นสายตาของหลี่เหล่าซือก็หวาดกลัวจนไม่กล้าขยับ
หลิวไหล่ฝูเจ็บจนแทบจะหมดสติ เขารู้สึกเหมือนแขนจะหัก ก่อนที่หลี่เหล่าซือจะโยนเขาออกไปอย่างแรง
“ไสหัวไป! อย่ามาให้ข้าเห็นหน้าอีก!”
ครอบครัวตระกูลหลิวรีบวิ่งเข้ามาช่วยหลิวไหล่ฝู ก่อนจะพากันเดินเซซังออกไปจากบ้าน
เจียอินที่เฝ้ามองอยู่รู้สึกสะใจจนอดไม่ได้ที่จะถ่มน้ำลายใส่พวกเขา
แต่ด้วยแรงที่มีเพียงน้อยนิด น้ำลายกลับไหลเลอะมุมปากแล้วหยดลงคอแทน
ย่าหลี่กับหลี่เหล่าซือเห็นเข้าก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้
“โอ้โฮ ฟู่หนิวเออร์ของข้าช่างเก่งกล้า ขนาดถ่มน้ำลายใส่พวกมันได้!”
“ถึงจะเด็ก แต่ฟู่หนิวเออร์ก็ดูออกว่าใครดีใครร้าย!”
ทุกคนพากันหัวเราะและหยอกล้อเจียอิน จนเด็กน้อยหน้าแดงด้วยความอาย
ย่าหลี่โบกมือเรียกทุกคน ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ครอบครัวเราได้ตั้งหลักแล้ว แม้ในอนาคตจะมีทั้งเรื่องดีและเรื่องร้าย แต่พวกเราต้องมีความมุ่งมั่นและร่วมมือกันเพื่อใช้ชีวิตให้ดี!”
คนในครอบครัวหลี่ตอบรับเป็นเสียงเดียว
“อย่าห่วงเลยแม่ พวกเราจะตั้งใจทำงานหนัก!”
“ย่าจ๋า พวกเราก็จะเป็นเด็กดีด้วย”
เมื่อดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า บ้านหลังใหม่ก็พร้อมสำหรับการอยู่อาศัย
เถาหงอิงทำโจ๊กหม้อใหญ่ ใส่ผักป่าลงไป และฉีกเนื้อไก่ย่างที่ซื้อมาจากในเมืองใส่ลงไปด้วย อาหารมื้อแรกในบ้านหลังใหม่ก็พร้อมแล้ว
ทุกคนนั่งล้อมวงกัน แม้จะเห็นอู๋ชุ่ยฮวากับอู๋เออร์โกวที่คอยแต่จ้องจะแย่งไก่ย่างจนดูไม่น่ามอง แต่ทุกคนก็รู้สึกอบอุ่นและสบายใจ
หลังจากวิ่งรอนแรมกันมานานเกือบสองเดือน ในที่สุดพวกเขาก็มีบ้านแล้ว
ฤดูใบไม้ร่วงใกล้เข้ามา ครอบครัวหลี่ไม่มีเวลามานั่งซาบซึ้งกับความสำเร็จ พอรุ่งเช้าก็ลุกขึ้นมาขยันขันแข็งทำงานต่อทันที