บทที่ 1 ภาพจงขุยกินผี
แคว้นต้าฉี มณฑลชิงโจว อำเภออวิ๋นเหอ
ยามอาทิตย์อัสดง สายน้ำสะท้อนแสงสีทองระยิบระยับ ลมพัดไหวกิ่งหลิวริมน้ำ ผู้คนที่เดินผ่านไปมามักหันมองไปยังบางจุดด้วยสายตาประหลาดใจ บ้างแฝงความสงสาร บ้างแฝงความสงสัย
ใต้ต้นไม้ใหญ่มีชายหนุ่มพยากรณ์คนหนึ่ง นุ่งห่มชุดผ้าฝ้ายสีเขียวธรรมดา ที่มีรอยปะบางจุด ทว่าชุดของเขากลับสะอาดสะอ้านอย่างยิ่ง ใบหน้าของเขาสง่างามและดูเป็นผู้มีความรู้มีการศึกษา
“ทำนายหยินหยางตัดห้าธาตุ เห็นดวงอาทิตย์ดวงจันทร์ในฝ่ามือ”
“ตรวจฮวงจุ้ยค้นหกแดน ถือจักรวาลในแขนเสื้อ”
ธงที่เขาปักไว้พลิ้วไหวไปตามสายลม ตัวอักษรที่เขียนไว้อย่างหรูหราบนธงตัดกับความจริงที่ว่า วันนี้ทั้งวันไม่มีใครสนใจแม้แต่จะหยุดมอง แต่จางจิ่วหยางไม่ได้เร่งร้อนอะไร เขาพิงต้นหลิวปิดเปลือกตาอย่างสบายใจ
ในจิตของเขามีภาพหนึ่งที่สว่างไสว เปล่งประกายแสงเรืองรอง
ภาพวาดในจิตนั้นเป็นบุรุษผู้หนึ่ง มีใบหน้าเคร่งขรึมดุจเหล็กสลัก เขาสวมชุดขุนนาง มีดาบวิเศษประดับเอว ตาเบิกกว้างดุจระฆังทอง ในมือจับปีศาจร้ายทำท่าจะกัดกิน องค์รวมของภาพนั้นเต็มไปด้วยความน่าเกรงขาม!
ข้างภาพมีอักษรโบราณสิบตัวแผ่แสงสีทองสว่างไสว
“องค์เทพผู้ปกป้องบ้านเรือนและมอบพร จงขุย!”
เมื่อมองภาพ "จงขุยกินผี" นี้ จางจิ่วหยางถอนหายใจเบาในใจ อันที่จริงเขาไม่ได้เป็นคนของโลกนี้ หากแต่เป็นคนที่ทะลุมิติจากโลกเดิม
ในชีวิตก่อน เขาเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย เพียงก่อนเรียนจบไม่นาน เขาได้รับข่าวร้ายว่าปู่ของเขาเสียชีวิต เมื่อกลับบ้านไปจัดการสิ่งของของปู่ เขาได้พบเสื้อคลุมม่วงและสมุดเล่มหนึ่งใต้เตียงของปู่ ซึ่งทำให้เขารู้ว่าปู่ผู้ที่เป็นเพียงหมอพื้นบ้านในหมู่บ้านแท้จริงแล้วคือพรตเต๋าแห่งลัทธิเต๋าสายหนึ่ง
สมุดที่พบชื่อว่า "แผนภาพตำแหน่งเทพแห่งจิตแท้" ซึ่งจางจิ่วหยางเคยค้นข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตพบว่า นักพรตชื่อดังแห่งราชวงศ์หนานฉาวเคยเขียนตำรานี้เพื่อจัดอันดับเทพในลัทธิเต๋า แต่เล่มที่ปู่ของเขาทิ้งไว้กลับไม่เหมือนกัน ภายในสมุดมีเพียงภาพวาดเทพเจ้าต่าง ๆ น้อยคำอธิบาย และยังรวมถึงเทพจากพุทธศาสนาด้วย เช่น พระโพธิสัตว์กวนอิม และพระอรหันต์ปราบมังกร
จางจิ่วหยางที่ปกติชอบวาดภาพอยู่แล้ว พบว่าภาพวาดในสมุดนั้นมีเทคนิคที่ยอดเยี่ยม จึงพยายามศึกษาและลอกเลียนแบบ จนกระทั่งวันหนึ่งเขาเผลอหลับไปและพบว่าตนเองทะลุมิติมายังโลกนี้ พร้อมกับสิงร่างของคนที่มีชื่อเดียวกับเขา
พูดถึงเจ้าของร่างเดิม ชีวิตของเขานั้นน่าสงสารไม่น้อย เขาเป็นเด็กกำพร้า ถูกเลี้ยงดูโดยนักพยากรณ์ในอำเภอชื่อหลินเซี่ยจื่อ แต่ไม่นานมานี้ หลินเซี่ยจื่อออกไปทำธุระนอกเมือง กลับถูกสัตว์ร้ายโจมตีจนเสียชีวิต ร่างของเขายังหากุ๊ดกู่ไม่เจอ
จางจิ่วหยางในร่างนี้พยายามยอมรับความจริงและหาทางเอาชีวิตรอด จึงจำเป็นต้องสืบทอดอาชีพของหลินเซี่ยจื่อเพื่อหาเลี้ยงชีพ แต่เพราะเขาดูอ่อนวัย แม้จะประกาศตนเป็นศิษย์ของหลินเซี่ยจื่อ คนที่ยอมมาพยากรณ์กลับมีเพียงน้อยนิด
“หลินเซี่ยจื่อ ถ้ามีฝีมือจริง คงไม่ถูกสัตว์ร้ายกัดกุ๊ดกู่ตายหรอก?”
“อาจารย์ยังหลอกลวง แล้วศิษย์ที่ปากยังไม่แตกจะพึ่งได้อย่างไร?”
ท้องร้องโครกคราก
ความหิวโหยแผ่ซ่านไปทั่วท้อง จางจิ่วหยางขมวดคิ้วหนักหน่วง วันเหล่านี้เขาพยายามค้นหาความลับในภาพแต่กลับไม่มีความคืบหน้าใด ๆ กลับกัน ความหิวโหยที่เหมือนจะเข้าไปในกระดูกกลับรุนแรงขึ้น แม้จะกินอิ่มเพียงใด ก็หิวอีกอย่างรวดเร็ว
“ความหิวโหยนี้มันอะไรกันแน่?”
ลมหนาวโชยมา
กลิ่นหอมลอยมาแตะจมูก จางจิ่วหยางยิ่งรู้สึกหิวหนัก แต่เมื่อเปิดตาขึ้นก็พบว่าไม่ใช่อาหาร หากแต่เป็นหญิงสาวสวยที่ดูดีเสียยิ่งกว่าอาหาร
นางสวมกระโปรงยาวสีแดงสลับขาว ปลายเท้าสัมผัสพื้น ผมยาวของนางปล่อยสยายพลิ้วไหวในลมเหมือนเพิ่งล้างน้ำมา สายตาของนางมองจางจิ่วหยางนิ่งเหมือนเจาะทะลุจิตใจเขา แม้จะเป็นสายตาของสาวงาม แต่กลับให้ความรู้สึกเย็นยะเยือกแปลกประหลาด
“ทำนายลายมือ โชคลาภ ความฝัน ข้าน้อยทำได้ทุกอย่าง หากไม่แม่นไม่คิดเงิน ท่านหญิงลองดูได้”
นางไม่ได้ตอบ หากแต่ค่อย ๆ หมุนศีรษะไปมองข้อความบนธงโดยไม่พูดจา อากัปกิริยาของนางดูเหมือนคนขาดสติ
แม้หญิงสาวผู้นี้จะดูแปลก แต่จางจิ่วหยางไม่ใส่ใจอะไรนัก ในเมื่อเป็นลูกค้ารายแรกของวันนี้ มีเงินจ่ายก็ถือว่าดีแล้ว
“หากท่านหญิงไม่สะดวกพูด ข้าแนะนำทำนายอักษร ดีไหม?”
จางจิ่วหยางชี้ไปที่พู่กันและหมึกบนโต๊ะ
คราวนี้นางเริ่มขยับตัว นางหยิบพู่กันขึ้นมาเขียนคำบนกระดาษอย่างช้า ๆ
คำว่า “เกียรติ” (荣)(หรง)
ทันใดนั้น จางจิ่วหยางตัวชาวาบ เพราะเขาไม่รู้จักตัวอักษรนี้!
สำหรับคนที่มั่นใจในฝีปากเช่นเขา การเจออุปสรรคใหญ่หลวงนี้ทำให้เขาเริ่มสงสัยว่านางอาจจงใจมาปั่นป่วน
“ใจเย็น ใจเย็น!”
จางจิ่วหยางสูดลมหายใจลึก สติเริ่มคืนมาเมื่อมองตัวอักษรนั้น จู่ ๆ ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้น
เขาจ้องมองตัวอักษรนั้นสักพัก ก่อนถอนหายใจและกล่าวว่า
“ไม่ดีเลย ไม่ดีเอามาก ๆ!”
เมื่อเห็นสายตาของหญิงสาวที่มองตรงมา จางจิ่วหยางพูดต่อ
“ท่านหญิงลองดูตัวอักษรนี้ ไม่ว่าทำนายสิ่งใดล้วนแต่เป็นลางร้าย”
“ข้างบนไฟสองดวงเหมือนเปลวเทียน ตรงกลางมีหลังคาเหมือนหมายถึงการปิดโลง ด้านล่างไม้ที่เปรียบเสมือนโลงศพ เป็นลางร้ายแรงมาก อาจถึงตายได้!”
จางจิ่วหยางพลางสังเกตปฏิกิริยาของหญิงสาว
การทำนายตัวอักษรเป็นเหมือนการเล่นคำพูด หญิงสาวผู้นี้ดูเหมือนจะไม่น่าโน้มน้าวง่าย เขาจึงต้องเริ่มด้วยคำพูดที่น่ากลัวเพื่อดึงความสนใจ จากนั้นจึงค่อยเสนอวิธีแก้ไขเพื่อเรียกค่าใช้จ่ายเพิ่ม
ทว่าสิ่งที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น หญิงสาวไม่เพียงไม่ตื่นตระหนกหรือโกรธ แต่กลับพยักหน้าอย่างพอใจ
“เจ้ามีฝีมือพอตัว”
นางเปิดปากพูดเป็นครั้งแรก เสียงของนางไพเราะเสนาะหู แต่ก็มีเสียงแทรกเหมือนทรายติดในลำคอที่แทบจะจับสังเกตไม่ได้
“ข้าต้องการถามเจ้าว่า ลู่เหยาเซิง…อยู่ที่ใด?”
ขณะที่เอ่ยชื่อนี้ น้ำเสียงของนางสั่นสะท้านขึ้นเล็กน้อย ออกเสียงหนักแน่นกว่าปกติ
ลู่เหยาเซิง?
จางจิ่วหยางนิ่งอึ้งไป แม้ว่าเขาจะไม่รู้จักบุคคลนี้ แต่ก็ยังยิ้มแย้มตอบด้วยความสงบ “ที่แท้ ท่านหญิงไม่ได้ต้องการทำนายอักษร แต่เพียงแค่อยากทดสอบฝีมือของข้าน้อยใช่หรือไม่?”
เขายื่นมือออกไปกล่าวว่า “อย่างไรก็ตาม เรื่องหนึ่งต้องแยกจากอีกเรื่องหนึ่ง ขอท่านหญิงชำระค่าทำนายอักษรก่อนเถิด”
เงินที่ได้มาถึงมือก่อนเท่านั้นจึงจะถือว่าเป็นของตนเอง ใครจะรู้ว่าหลังจากนี้เขาอาจถูกจับผิด?
“เท่าไร?”
“ท่านหญิงให้ตามใจ”
หญิงสาวลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเงิน หยิบถุงเงินออกมาวางบนโต๊ะ
ต๊อก ต๊อก~
ลูกอมสีดำเม็ดหนึ่งกลิ้งมาตรงหน้าจางจิ่วหยาง เขาหยิบขึ้นมาโดยไม่คิด และขมวดคิ้วทันที รู้สึกเหมือนถูกล้อเล่น
“ท่านให้ลูกอมเม็ดเดียวกับข้าทำไม? ช่างน่าโมโหนัก—”
คำพูดยังไม่ทันสิ้นสุด จางจิ่วหยางก็หยุดลง เพราะกลิ่นหอมแปลกประหลาดลอยออกมาจากลูกอม และในทันใดนั้น ความหิวโหยในท้องของเขาก็พุ่งขึ้นเหมือนคลื่นซัดแรงจนเขาต้องกลืนน้ำลาย ซ้ำยังจ้องมองลูกอมเม็ดนั้นอย่างไม่ละสายตา
เหมือนว่าสิ่งที่เขารอคอยมานานหลายวัน บัดนี้ได้ปรากฏขึ้นตรงหน้าแล้ว
นิ้วมือที่จับลูกอมเริ่มขยับเข้าใกล้ริมฝีปาก ความหิวโหยเริ่มกลืนกินสติของเขาทีละน้อย
ทว่าในขณะนั้น เสียงหนึ่งดังขึ้นอย่างเยือกเย็น
“ลู่เหยาเซิง...อยู่ที่ไหน?”
น้ำเสียงของหญิงสาวหนักแน่นยิ่งขึ้น ราวกับเก็บกลั้นความเคียดแค้นไว้ไม่อยู่ ส่งเสียงต่ำเหมือนคำรามของสัตว์ร้าย
จางจิ่วหยางเงยหน้าขึ้นโดยไม่ตั้งใจ ภาพที่เห็นทำให้เขาแทบหยุดหายใจ ขนลุกชันตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ขาสั่นสะท้าน
เพียงเห็นว่าดวงตาซ้ายของหญิงสาวกลายเป็นโพรงว่างเปล่า ไม่รู้ว่าเมื่อใดถูกควักออกไป เลือดสีดำไหลรินไม่หยุด
ใบหน้าที่เคยงดงามถูกเงามืดปกคลุมจนบิดเบี้ยวถึงที่สุด รอยน้ำหยดไหลรินจากตัวนาง ราวกับผีที่เพิ่งจมน้ำตาย ผมยาวของนางพันด้วยหญ้าสลายตัวและตะกอนโคลน
“เจ้ารับดวงตาข้าไปแล้ว เจ้าต้องบอกข้า ลู่เหยาเซิง...อยู่ที่ใด?!”
หญิงสาวค่อย ๆ ก้าวเข้ามาใกล้ ดวงตาข้างขวาเพียงข้างเดียวหมุนมองใบหน้าซีดเผือดของจางจิ่วหยาง
“บ้าจริง!”
จางจิ่วหยางในที่สุดก็เข้าใจว่า หญิงสาวที่มาทำนายโชคชะตานี้ ไม่ใช่คน แต่เป็นผี!
และลูกอมที่เขาเกือบกลืนลงไปนั้น แท้จริงคือ...ดวงตาของผีสาว!
จางจิ่วหยางรีบโยนดวงตาในมือทิ้งเหมือนถูกไฟฟ้าช็อต หมุนตัวเตรียมหนี แต่ผีสาวขยับเร็วกว่ามาก เส้นผมเหมือนสาหร่ายดำพุ่งเข้าพันตัวเขาไว้เหมือนเชือกเส้นใหญ่ ความเย็นจัดซึมเข้าสู่ร่างทำให้เขาแข็งทื่อ ไม่สามารถขัดขืนได้
เหมือนตกลงไปในน้ำแข็งในฤดูหนาว
“ลู่เหยาเซิงอยู่ที่ไหน...”
เสียงของผีสาวยังคงก้องกังวาน จางจิ่วหยางรู้สึกสิ้นหวัง เขาตั้งใจจะแต่งเรื่องขึ้นมาสักที่หนึ่งเพื่อหลอกล่อ แต่ร่างกายที่เย็นจนแข็งไปหมดทำให้เขาอ้าปากพูดไม่ได้
เจ้าควรให้ข้ามีปากพูดก่อนสิ!
ในขณะที่เขารู้สึกหมดหวัง จู่ ๆ บริเวณอกก็มีความร้อนพลุ่งพล่านขึ้น และในชั่วพริบตานั้น ผีสาวส่งเสียงกรีดร้องเจ็บปวด ก่อนจะหายตัวไปทันที
“จิ่ว! จิ่ว!”
จางจิ่วหยางสะดุ้งตื่นขึ้น ร่างเปียกโชกไปด้วยเหงื่อเย็น มองรอบกาย เห็นเพียงแสงอาทิตย์ยามเย็นและคลื่นน้ำที่กระเพื่อมเบา ๆ ราวกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นเป็นเพียงความฝัน
หญิงวัยกลางคนรูปร่างอวบอ้วนกำลังเขย่าตัวเขาเพื่อปลุก ใบหน้าฉายแววเป็นห่วง “จิ่ว เจ้าพิงต้นหลิวนอนหลับไป ตัวสั่นสะท้านจนข้าเรียกตั้งนานถึงจะตื่น อย่าให้โดนผีเข้าไปนะ”
นางหยุดเล็กน้อยก่อนมองไปยังแม่น้ำ เอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา “ครั้งหน้าอย่ามาตั้งแผงที่นี่เลย ที่แม่น้ำเสี่ยวอวิ๋นแห่งนี้...เคยมีคนจมน้ำตาย”
จางจิ่วหยางขอบคุณนาง หญิงคนนี้เป็นแม่ค้าหมูที่ถนนตะวันตก แม้ว่าจะเป็นผู้หญิง แต่เวลาเชือดหมูนั้นเด็ดขาดอย่างยิ่ง
นางเห็นสีหน้าขาวซีดของเขา จึงถอนหายใจเบา ๆ ก่อนหยิบเนื้อหมูก้อนหนึ่งขนาดเท่ากำปั้นจากตะกร้าวางลงตรงหน้า
“อย่าเกรงใจ นี่แค่เศษเหลือ แต่กินแล้วยังอร่อยอยู่”
นางกล่าวก่อนจากไป ทิ้งให้จางจิ่วหยางรู้สึกอบอุ่นในใจ เขาหันกลับไปมองแม่น้ำเสี่ยวอวิ๋น คิดในใจว่าโชคดีที่ทุกอย่างเป็นแค่ฝัน
แต่...ทำไมหน้าอกยังรู้สึกร้อน?
จางจิ่วหยางล้วงมือลงไป และทันทีที่เห็น สิ่งนั้นทำให้ดวงตาเบิกกว้าง
นั่นคือยันต์สีเหลืองที่พับเป็นรูปสามเหลี่ยม แขวนไว้ด้วยเชือกแดง มันห้อยอยู่บนอกของเขา
นี่คือของขวัญวันเกิดที่หลินเซี่ยจื่อให้เจ้าของร่างเดิม เขาสวมติดตัวไว้ตลอดเวลา แต่ตอนนี้ ด้านล่างของยันต์กลับมีรอยไหม้สีดำเหมือนโดนไฟเผา
จางจิ่วหยางมือสั่นเล็กน้อยเมื่อคลี่ยันต์ออก เขาเห็นคำว่า "聻"(หนี่) เขียนไว้ด้วยน้ำหมึกสีแดงชาด
ตามตำนาน คนตายกลายเป็นผี ผีตายกลายเป็นวิญญาณร้าย(聻) บางสถานที่ยังฝังอิฐวิญญาณร้ายไว้ตอนสร้างบ้านเพื่อป้องกันสิ่งชั่วร้าย
เมื่อครู่...ไม่ใช่ฝัน!
จางจิ่วหยางตกใจในใจ ก่อนจะนึกถึงอะไรบางอย่างได้ เขาเริ่มค้นหาบริเวณพุ่มไม้ริมแม่น้ำอย่างระมัดระวัง
ไม่นาน เขาพบสิ่งที่กำลังหา นั่นคือลูกตาสีดำเม็ดหนึ่ง นัยน์ตาแนวตั้งยังคงเคลื่อนไหวเบา ๆ
ท้องของเขาร้องอีกครั้งอย่างหิวโหย จางจิ่วหยางมองลูกตานั้น เขาควรจะรู้สึกกลัว แต่กลับกลืนน้ำลายแทน
“จงขุยกินผี...จงขุยกินผี...”
ความคิดบางอย่างที่น่าตกใจแวบเข้ามาในหัว ความสามารถของภาพจงขุยในจิตของเขา อาจจะไม่ใช่แค่...
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เขารู้สึกขยะแขยง แต่ในขณะเดียวกัน ก็รู้สึกถึงความตื่นเต้นบางอย่างที่ทำให้เขาสั่นไปทั้งตัว